“ฮะ...เฮีย...O_o!!”
“พาฉันไปด้วย...ฮือๆ...”
ฉันแสร้งทำเป็นบีบน้ำตาให้น่าสงสารพลางช้อนตาขึ้นมองหน้าหมอนั่นผ่านเส้นผมที่ปรกลงบังตา แสงสว่างจากไฟฉายทำให้ฉันมองเห็นหน้าคนที่กำลังชี้นิ้วมาที่ฉันรางๆ ชายหนุ่มหน้าตาออกแนวตี๋เชื้อสายจีน ผมเซ็ตตั้งชี้เป็นหัวหนาม ตอนนี้เบิกตาโตยิ่งกว่าไข่ห่าน ใบหน้าขาวนวลของเขาซีดอย่างกับไก่ต้ม ริมฝีปากแดงเริ่มซีดพร้อมกับเหงื่อเม็ดเป้งผุดขึ้นเต็มหน้า
ฉันไถคางขึ้นไปเกยบนไหล่ของคนที่ฉันกำลังเกาะหลังอย่างยากลำบากเพราะหมอนี่สูงซะเหลือเกิน แถมผมรากไทรสีแดงของเขาก็ทิ่มหน้าทิ่มตาฉันจนรำคาญ เขาพยายามเหลือบหางตามามองฉันอย่างยากลำบาก หน้าตาของเขาไม่ได้ต่างจากตาหัวหนามสักเท่าไหร่ แต่ดูแล้วหล่อกว่าโข พอเห็นฉัน เขาก็เกร็งตัวแข็งทื่อพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ
“หยะ...หยาง ตัว...ตัวอะไรเกาะหลังเฮีย...”
ตาหัวหนามที่อ้าปากค้างอยู่ไม่ได้ตอบอะไรแต่เบะปากคล้ายจะร้องไห้แทน
“บอกมาเร็ว! ตัวอะไรเกาะหลังเฮีย!”
นายหัวแดงตะคอกถามเสียงดังขึ้นเมื่อไม่ได้คำตอบ แต่ดูเหมือนคนที่ถูกถามวิญญาณจะออกจากร่างไปแล้ว ฉันเลยอาสาเป็นคนพูดแทน
“พา...ฉันออกไปที...ช่วยฉันด้วย....”
“อึก!” นายหัวแดงสะอึกไปเล็กน้อยพลางชี้นิ้วมาที่ฉันโดยไม่หันมามองสักนิด
“หยะ...หยาง แกแค่ตอบว่า...ใช่หรือไม่พอนะ ขะ...ข้างหลังเฮียนี่...คนใช่มั้ย...”
“ม่ายยย TOT”
คำตอบที่ได้ทำให้เขากลืนน้ำลายดังเอื๊อก ก่อนจะเค้นเสียงออกมาอย่างยากลำบาก
“งะ...งั้นก็แสดงว่า....”
“ขะ...ข้างหลังเฮีย... ผี! TOT”
“อ๊ากกก! =O=“
ไม่ใช่โว้ยยย!
ไม่รู้ว่าฉันโชคดีหรือโชคร้ายที่บ้าดีเดือดกระโดดขึ้นหลังอีตาหัวแดง โดยหารู้ไม่ว่าอีตานั่นกลัวผีจนขึ้นสมอง (ถึงจะเข้าใจผิดก็เถอะ) แถมฉันก็ไม่ถนัดขอความช่วยเหลือจากคนแปลกหน้าเสียด้วยสิ เพราะปกติแล้วฉันพูดไม่เก่งนัก ยิ่งถ้าไม่จำเป็นก็จะไม่ปริปากเลย จนบางครั้งแม่กับพี่คริสเตียนยังคิดว่าฉันเป็นใบ้
แต่กระนั้นก็เถอะ หมอนั่นกับอีตาหัวหนามอีกคนก็แบกฉันออกมาจากป่าช้านั่นได้ล่ะ แม้ว่าจะต้องโดนกระแทกจากศอกหรือแรงเหวี่ยงจนร่วงก้นจ้ำเบ้ากับพื้นก็ตาม สรุปแล้วการตัดสินใจครั้งนี้ทำให้ฉันสะบักสะบอมอยู่ไม่น้อย
“มันจะไม่มีได้ไง ก็พี่เคยเห็นอยู่นี่นา ไอ้ร้านค้าเนี่ย”
และนี่คือเสียงพี่คริสเตียนที่เถียงเรื่องที่ตั้งของร้านค้าไม่ยอมหยุดตั้งแต่ที่ฉันพาร่างประหนึ่งหนีตายจากสงครามกลับมายังหอพักเมื่อคืน
“ไม่เห็นจะมีเลย เมื่อวานหนูเดินหาก็เจอแต่ป่าช้า”
“มันต้องมีสิ พี่เคยเห็นอยู่แวบๆ”
“...ไม่มีซะหน่อย” ฉันเถียงกลับ
“งั้นเราไปดูกันว่ามีหรือไม่มี พอได้ข้อสรุปแล้วเดี๋ยวพี่กลับมาส่งละกัน อีกไม่กี่ชั่วโมงพี่ต้องไปแล้ว เดี๋ยวต้องรีบมาเตรียมตัวขนของอีก ไปๆ ขึ้นรถ”
พี่คริสเตียนบึ่งรถออกไปทางถนนเส้นใหญ่แล้วอ้อมไปทางซอยเล็กๆ ข้างหลังป่าช้า ไม่ถึงสิบนาทีก็เริ่มเห็นที่หมายอยู่ข้างหน้ารางๆ แต่พอเข้าไปใกล้เรื่อยๆ ก็ปรากฏว่าสถานที่ที่เข้าใจมาตลอดว่าเป็นร้านค้าแท้จริงแล้วคือวัดจีน และเยื้องๆ กันคือโรงเจหลังเล็กๆ มองไกลๆ จะเหมือนกับร้านขายของชำ
สายตาดีเหลือเกินนะพี่ชายฉัน ว่าแต่...ทำไมย่านนี้ถึงได้มีทั้งวัด มีทั้งป่าช้าเต็มรูปแบบเลยล่ะ -_-^
พอเห็นว่าสถานที่ข้างหน้าไม่ใช่ร้านค้าอย่างที่เข้าใจ พี่คริสเตียนจึงหัวเราะแก้เก้อก่อนจะดึงความสนใจไปที่เรื่องอื่นแทน
“อะ...เอ่อ เราลงไปเดินเล่นกันสักหน่อยดีกว่า จู่ๆ พี่ก็นึกอยากทำบุญขึ้นมา แหะๆ”
“(_ _)+”
“ยะ...อย่ามองพี่อย่างนั้นเซ่ คนเรามันก็ต้องมีผิดพลาดกันได้ เอ้า ลงๆ ไปได้แล้ว”
“(_ _)+”
“บอกว่าอย่ามองแบบนี้ไงเล่า!”
พอลงจากรถพี่แกก็เดินดุ่มๆ ไม่หันกลับมาสนใจสักนิด คลาดสายตาแวบเดียวเดินหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ครั้นจะให้ฉันฝ่าวงล้อมผู้มีจิตศรัทธาที่ยืนรอทำบุญอยู่ประเดี๋ยวก็จะตกใจรูปลักษณ์ฉันจนบุญแตกกระเจิงซะหมด ฉันจึงเปลี่ยนทิศตรงไปที่หลังวัด จนลับตาผู้คนพอสมควรจึงหยุดพัก แต่พอสำรวจรอบๆ ดูดีๆ ก็พบว่า...
โฮกกก นี่มันห้องเก็บป้ายชื่อคนตายนี่นา! แถมยังมีโลงไม้ทั้งกลางเก่ากลางใหม่วางเรียงซ้อนกันเต็มไปหมด โอ้ววว รู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูกเลยให้ตาย!
ทำเป็นบ่นไปงั้น แต่ก็ทรุดตัวลงนั่งบนพื้นข้างๆ คอนโดมิเนียมโลงศพ ด้วยความที่ห้องนี้ปูพื้นกระเบื้องและมีหน้าต่างเปิดอยู่หลายบาน อากาศโดยรอบจึงเย็นสบายเหมาะสำหรับการเอนหลังมาก ไม่ทันไรร่างอันอ่อนระโหยโรยแรงจากการพักผ่อนไม่พอเพราะเหตุการณ์เมื่อคืนก็ทำให้ฉันเอนตัวพิงโลงโดยอัตโนมัติ ก่อนริมฝีปากจะขยับฮัมเพลงอย่างสำราญใจ
“หื่อ ฮื้อ~ เจ้า...คือทายาท...คนต่อปาย~อัยๆๆ”
เอ่อ...จะว่าเป็นเพลงเดียวที่ฉันจำได้ก็ได้นะ ร้องไปพลางกระดิกนิ้วเท้าไปอย่างสบายอุราได้สักพัก เจ้าที่ที่นี่คงจะรำคาญเต็มทนจึงดลบันดาลให้โลงศพที่เรียงซ้อนกันอยู่โค่นครืนลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยจนเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
ครืน~ โครม!
โลงศพที่ตั้งอยู่บนสุดก็ดันร่วงลงมาครอบร่างฉันเสียมิดชนิดไม่ให้ตั้งตัวได้ทันอย่างประจวบเหมาะ โดยไม่กระแทกส่วนต่างๆ ของร่างกายแต่อย่างใด ประหนึ่งเจ้าที่ที่นี่ตั้งใจดลบันดาลอย่างไรอย่างนั้น แต่ก็ช่างเหอะ... ยกโลงบ้าๆ นี่ออกจากตัวก่อนที่จะมีใครมาเห็นดีกว่า
“ฮึบ!”
คิดพลันรวบรวมลมปราณก่อนจะออกแรงดันแผ่นไม้ตรงหน้าให้ยกขึ้น ทั้งๆ ที่มันเกือบจะพ้นตัวฉันอยู่แล้ว ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าของใครบางคนก็ดังขึ้น ทำให้ฉันต้องรีบชักมือกลับ ปล่อยให้โลงนี่ครอบร่างต่อไป