ณ สำนักเหยี่ยวเมฆา
"ข้าไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าจะได้รับเกียรติจากท่านประมุขพรรคมารทมิฬถึงขนาดให้ท่านประมุขมาเยือนถึงสำนักเช่นนี้ ช่างเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อเหลือเกิน"
"ข้าแค่อยากมาเยี่ยมเยียนสหายเก่าก็เท่านั้น จากที่ไม่ได้พบเจอกันมานานหวังว่าประมุขพรรคเหยี่ยวเมฆาคงจะสบายดี"
หลังจากพูดจบหยางหย่งเชี่ยก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาขว้างมีดบินไปที่ประมุขพรรคเหยี่ยวเมฆาอย่างแม่นยำ ไม่มีความลังเลในการลงมือเลยสักนิด เมื่อเทียบฝีมือกันแล้ว แทบจะพูดได้เลยว่า ประมุขพรรคเหยี่ยวเมฆา ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเลย
หลังจากขว้างมีดบินไปแล้ว ก็ตามด้วยฝ่ามือที่เขาซัดไปที่หน้าอกของประมุขพรรคเหยี่ยวเมฆา ถึงกับทำให้บุรุษผู้นั้นกระอักเลือดออกมาคำโต
หลังจากนั้นก็มีคนของพรรคมารทมิฬโผล่มาจากทุกทิศทาง ไม่สามารถนับจำนวนได้ บางคนถึงกับขี่สัตว์ในพันธะสัญญาออกมา เป็นที่ทราบกันดีในยุทธภพว่าพรรคมารทมิฬนั้นขึ้นชื่อเรื่องความเหี้ยมโหดและเฉียบขาด แต่ละคนในสำนักจะมีฝีมือฉกาจฉกรรจ์มากเมื่อเทียบกับบุคคลในยุทธภพ ซึ่งการมาในครั้งนี้ของพรรคมารทมิฬ ก็เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้ว ว่าจะเป็นการถล่มพรรคเหยี่ยวเมฆา ให้ราบเป็นหน้ากอง โทษฐานที่กล้าไปกระตุกหนวดเสือ สัตว์ในพันธสัญญาของสมาชิกพรรคมารทมิฬ เริ่มเผาทำลายบริเวณโดยรอบของพรรคเหยี่ยวเมฆา จนเหลือแต่ซากปรักหักพัง ใช้เวลาเพียงไม่ถึง 1 ชั่วยามพรรคเหยี่ยวเมฆาที่ว่ากว้างใหญ่ในยุทธภพก็ได้อันตรธานหายไปในชั่วพริบตา รวมถึงชีวิตของประมุขพรรคเหยี่ยวเมฆาด้วย เพียงแค่หยางหย่งเชี่ยสะบัดฝ่ามือเพียงครั้งหนึ่ง ดาบในมือของเขาก็สามารถตัดศีรษะของหัวหน้าพรรคเหยี่ยวเมฆาให้หลุดออกจากคอได้อย่างง่ายดายและนั่นยิ่งเท่ากับเป็นการสร้างความหวาดกลัวให้กับผู้ที่พบเห็นเป็นอย่างมาก ทำให้ทราบว่าฝีมือของประมุขพรรคมารทมิฬนั้นมีความล้ำเลิศเพียงใด หลังจากนี้จะมีผู้ใดยังกล้าไปกระตุกหนวดเสือได้อีกเล่า เมื่อคนของพรรคมารทมิฬจัดการถล่มพรรคเหยี่ยวเมฆาไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็เก็บกวาดทุกสิ่งทุกอย่างเสมือนว่าที่นั่นไม่เคยมีพรรคเหยี่ยวเมฆาตั้งอยู่มาก่อน จากข่าวความโหดเหี้ยมและเฉียบคมของพรรคมารทมิฬทำให้ชื่อเสียงของพรรคมารทมิฬยิ่งเลื่องลือออกไปไกล สร้างความหวาดกลัวให้กับผู้คนในยุทธภพมากขึ้นกว่าเดิม
ณ จวนตระกูลม่าน
"ท่านพ่อท่านว่าอย่างไรนะเจ้าคะ ท่านแม่ทัพปฏิเสธอย่างนั้นหรือ ไหนท่านพ่อบอกว่าเรื่องนี้จะจัดการให้ข้าอย่างไรเล่า ท่านก็รู้ว่าข้าหลงรักท่านแม่ทัพมาตั้งแต่ข้ายังเยาว์ ให้ข้าแต่งเป็นฮูหยินรองของเขาข้าก็ยอมด้วยเกียรติและฐานะของวงศ์ตระกูลม่านของเราแล้ว โดยศักดิ์จะต้องแต่งเป็นฮูหยินเอกเท่านั้น แต่เพราะด้วยความรักที่ข้ามีให้เขา ถึงกับต้องยอมลดตัวแต่งไปเป็นฮูหยินรอง ท่านพ่อสัญญาแล้วว่าจะไปคุยกับพระสนมชูเฟยให้กับข้า"
"พ่อรู้เถาเอ๋อร์ แต่จะให้พ่อทำเช่นไร เจ้าก็รู้ว่าท่านแม่ทัพนั้นมีความเด็ดเดี่ยวเพียงใด ถึงขนาดออกปากกับฮ่องเต้ว่าเขาจะมีฮูหยินเอกเพียงคนเดียวเท่านั้นฮ่องเต้ออกหน้าด้วยพระองค์เอง เขาก็ยังปฏิเสธแล้วเจ้าจะให้พ่อทำเช่นไรได้เล่า"
"ในปีนั้นถ้าไม่ได้ท่านแม่ทัพช่วยไว้ มีหรือที่จะมีเถาเอ๋อร์ในปัจจุบัน ถ้าไม่ใช่เขาข้าก็ไม่ยอมแต่งให้กับบุรุษใดเด็ดขาด"
ม่านเถาเอ๋อร์นั้นถือว่าเป็นบุตรีคนที่สามผู้ซึ่งเป็นหัวแก้วหัวแหวนของเสนาบดีฝ่ายซ้ายม่านชงชิง เมื่อบุตรีกล่าวออกมาเช่นนี้ เขาก็จนด้วยคำพูด ได้แต่ถอนหายใจและคิดไม่ออกกับปัญหานี้ว่าจะแก้เช่นไร เขาจึงให้สาวใช้นำตัวบุตรีคนโปรดกลับไปที่ห้องเสียก่อน เพื่อที่จะสงบสติอารมณ์และคิดหาแผนการต่อไป
"คุณหนูเจ้าขา ในเมื่อเราไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็ต้องเอาด้วยกล ในเมื่อท่านแม่ทัพเอ่ยปากว่าไม่ยอมที่จะรับฮูหยินรองเพิ่ม ถ้างั้นเราก็วางแผนเพื่อที่จะทำให้ท่านแม่ทัพต้องจำใจรับสิเจ้าค่ะ ในเมื่อท่านแม่ทัพเคยรับอนุมาแล้วครั้งหนึ่ง ถ้าหากว่าจะมีเหตุจำเป็นอีกก็ไม่ใช่เรื่องยากไม่ใช่หรือ"
"ใช่ทำไมข้าจึงคิดแผนการนี้ไม่ออกนะ ถือว่าเจ้ายังมีความฉลาดมากพอ ที่แนะนำแผนการนี้ให้ข้า เจ้าลองคิดมาซิว่าข้าควรจะวางแผนเช่นไรดี เพื่อที่จะให้ท่านแม่ทัพตกหลุมพรางนี้"
เมื่อได้ฟังแผนการจากสาวใช้คนสนิท สายตาของนางก็เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ ม่านเถาเอ๋อร์ระบายยิ้มแพรวพราวออกมาด้วยความชอบอกชอบใจ นั่นถือว่าเป็นวิธีมัดมือชกที่ดีที่สุดที่จะทำ ให้ท่านแม่ทัพยอมรับนางเป็นฮูหยินรองโดยไม่มีข้อโต้แย้งใด
"ดียิ่ง ดียิ่งนัก"
ในตอนนี้ นางไม่สนความเหมาะสมใดๆ ทั้งสิ้น เพียงเเค่ให้นางได้เขามาเป็นฮูหยินรองของชายที่นางรัก ก็เพียงพอแล้ว หลังจากที่นางได้ใกล้ชิดกับเขาเรื่องความรักนั้นสามารถทำให้เขารักนางได้ นางมีความมั่นใจเช่นนั้นมาโดยตลอด เพราะไม่ว่าตั้งแต่เล็กจนโต
สิ่งใดที่นางอยากจะได้ไม่เคยมีที่จะไม่ได้….
เมื่อคิดได้ดังนั้น นางจึงสั่งให้บ่าวรับใช้คนสนิทไปจัดการตามแผนที่ได้วางไว้ทันที และยังไม่ลืมกำชับไม่ให้ใครนำเรื่องนี้ไปบอกกับบิดาของนาง
ณ จวนตระกูลเหยียน
"วันนี้ข้ามีธุระพูดคุยกับลูกค้า เพื่อที่จะพูดคุยเกี่ยวกับอาวุธ ท่านจะไปด้วยกับข้าหรือไม่ ถ้าหากว่าข้าไปโดยไม่บอก ท่านก็จะมาโกรธข้าอีก"
"ทำไมเจ้าถึงพึ่งมาบอกพี่เป็นวันอื่นไม่ได้หรือ วันนี้พี่มีธุระเข้าไปคุยราชกิจกับฮ่องเต้"
"ไม่ได้เจ้าค่ะข้าได้นัดคุยธุระกับลูกค้าในวันนี้ไปเรียบร้อยแล้ว เพราะนี่ก็เป็นการเลื่อนนัดครั้งที่ 2 แล้ว หากผิดนัดอีกครั้ง คงจะไม่เป็นการน่าเชื่อถือแล้วกระมัง"
"ท่านอย่าห่วงเลยก็แค่คุยเรื่องสินค้าธรรมดาไม่มีอะไรหรอก เสร็จธุระแล้วตอนเย็นข้าจะรีบกลับมา เพราะว่าตอนเย็นเราจะต้องไปงานเลี้ยงที่จวนสกุลม่านอีกไม่ใช่หรือ"
"เอาตามที่เจ้าว่าก็ได้ ถ้างั้นตอนเย็นเดี๋ยวพี่จะรีบมารับเจ้า"
หลังจากคุยกับเหยียนเชี่ยหลงเสร็จแล้ว ฟ่านเหยาเหยาก็เดินทางไปยังที่นัดหมายกันไว้
"เป็นเช่นไรบ้างมีปัญหาอะไรหรือไม่"
"ตอนนี้ลูกค้าได้มาที่จุดนัดหมายเรียบร้อยแล้วขอรับนายหญิง"
"งั้นก็เข้าไปเถอะอย่าได้เสียเวลาให้เขาคอยนานเลย"
นางปิดบังใบหน้าและรูปโฉมเอาไว้ เพื่อที่ไม่ต้องการให้ผู้อื่นทราบว่านางนั้นคือผู้ใด เพราะเรื่องที่นางเองเป็นเจ้าของโรงหลอมอาวุธนั้นยังถือว่าเป็นความลับไม่มีผู้ใดล่วงรู้
ช่างเป็นเรื่องบังเอิญเสียเหลือเกินที่คนที่ต้องการเจรจาเรื่องอาวุธในครั้งนี้ คือหยางหย่งเชี่ย คนที่นางเคยช่วยชีวิตเขาเอาไว้ ตอนนี้นางกำลังใจเต้นไม่เป็นจังหวะด้วยกลัวเหลือเกินว่าเขาจะจดจำน้ำเสียงของนางได้ เพราะตอนที่นางเคยช่วยเขาไว้ครั้งที่แล้ว นางก็ปิดบังใบหน้าไว้ไม่ได้เปิดเผยโฉมหน้าให้เขาเห็น
"เชิญนั่งก่อนเถิดอย่าได้มากพิธีเลย"
เมื่อนางเดินเข้ามาในห้องโถงนั้น องครักษ์ลับของนางก็ได้แนะนำตัวว่านางคือเจ้าของโรงหลอมอาวุธ
เมื่อได้ยินเสียงและลักษณะท่าทางของนาง เขาก็รู้ทันทีว่านั่นคือนางผู้ที่เคยช่วยชีวิตเขาไว้ ช่างเป็นเรื่องบังเอิญ หรือว่าบุพเพที่ทำให้พวกเขาได้พบเจอกันอีกครั้ง จากที่เขาคิดว่าจะยอมถอย เพราะคิดว่านางมีเจ้าของแล้ว แต่ตอนนี้เขาคงต้องคิดใหม่อีกที เพราะหากว่าเป็นบุพเพ เขาจะไม่ยอมปล่อยมือนางไปเด็ดขาด
"ช่างเป็นเรื่องบังเอิญเสียจริง ข้าก็นึกว่าใครที่เป็นเจ้าของโรงหลอมอาวุธแห่งนี้ ที่แท้ก็ผู้มีพระคุณนั่นเอง"
นั่นไงกลัวสิ่งไหนมักจะได้สิ่งนั้นเสมอ นางว่าแล้วเขาจะต้องจำนางได้
อาหย่งถึงกับงงงวย กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นี่นายหญิงรู้จักกันกับประมุขพรรคมารทมิฬด้วยหรือ
ไม่เพียงแค่อาหย่งเท่านั้นที่ไม่เข้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แม้แต่องครักค์ที่อยู่ข้างกายของหยางหย่งเชี่ยเองก็งงเป็นไก่ตาแตกเช่นกันทำไมท่านประมุขถึงได้ยกยิ้มแบบนี้ ทั้งๆ ที่เขาไม่เคยแสดงท่าทีมีความสุขเช่นนี้มาก่อน
พวกเขากำลังตะลึงนี่ท่านประมุขกำลังยิ้มหรือ เป็นไปไม่ได้!!!หรือว่าพวกเขากำลังตาฝาด
"-" ฟ่านเหยาเหยา
"ผู้มีพระคุณจะไม่แนะนำตัวเองหน่อยหรือ ว่าท่านมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอย่างไร"
ถึงแม้ว่าเขาจะทราบอยู่แล้วว่านางนั้นเป็นใคร แต่เพียงแค่เขาต้องการให้นางเป็นคนแนะนำตัวกับเขาเอง
"มันสำคัญด้วยหรือกับการที่ท่านต้องการรู้จักชื่อแซ่ของข้า การช่วยคนไม่จำเป็นที่จะต้องหวังผลตอบแทนเสมอไป ในเมื่อข้าไม่ต้องการที่จะให้ท่านรู้จักตัวตนของข้าเพราะฉะนั้นข้าคิดว่าสิ่งนี้ไม่จำเป็น"
"ที่ข้ามาในวันนี้เพียงเพื่อต้องการที่จะคุยธุระเรื่องการค้าอาวุธเท่านั้น"
"และอีกอย่างหนึ่งสำหรับท่าน ข้าเคยช่วยชีวิตท่านไว้ คำกล่าวขอบคุณสักคำท่านก็ไม่กล่าวก่อนลา แบบนี้ถือว่าสมควรแล้วหรือ"
"อ๋อ ที่แท้ก็แค่น้อยใจที่ไม่ได้เจอหน้าข้าก่อนที่จะจากไป"
เดี๋ยวนะ!!!เขามีความมั่นอกมั่นใจนี้มาจากไหน นางน้อยใจอะไร? ไม่ได้เจอหน้าอะไร? นางแทบจะไม่ได้พูดอะไรกับเขาสักคำ เหตุใดเขาถึงได้หน้าหนาถึงเพียงนี้
"ข้าเกรงว่าท่านประมุขพรรคมารทมิฬคงจะเข้าใจความหมายของข้าผิดไป ข้าหาได้รู้สึกอย่างเช่นที่ท่านกล่าวมาเลยแม้แต่น้อย"
เขายิ้มให้นางอย่างอ่อนโยนและตอบกลับนางไปอย่างไม่ยี่หระ
"ข้าไม่ถือสา ท่านไม่ต้องรู้สึกเขินอาย ถ้าท่านจะบอกว่าท่านคิดถึงข้าเหมือนที่ข้าคิดถึงท่านแค่นี้พูดไม่ยากหรอก"
นางได้แต่อ้าปากค้างมองเขาอย่างตกตะลึง นี่เขากำลังพูดอะไร ก็จริงอยู่ที่เขามีใบหน้าที่ชวนให้ผู้คนรู้สึกหลงใหล แต่มันถูกต้องแล้วหรือ กับการที่เขาจะมาพูดจาหน้าด้านหน้าทนกับนางเช่นนี้
ไม่เพียงแค่ฟ่านเหยาเหยาเท่านั้น ที่ตกตะลึงแม้แต่องครักษ์ทั้งสองก็ตกตะลึงเช่นเดียวกัน นี่ท่านประมุขกำลังหยอกเหย้าแม่นางฟ่านเหยาเหยาอยู่หรือเกรงว่าพระอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตกแล้ว... พวกเขาไม่ได้หูฝาดไปใช่หรือไม่
"ข้าว่าเราหยุดคุยเรื่องไร้สาระ แล้วมาเข้าประเด็นเรื่องสำคัญของวันนี้กันเถอะ"
นางจะต้องหลบหนีออกจากสถานการณ์ที่ชวนให้กระอักกระอ่วนนี้เสียที เพราะใบหน้าของนางร้อนผ่าวไปหมดแล้ว ที่ถูกบุรุษเกี้ยวพาราสีโดยซึ่งหน้าเช่นนี้
"ท่านต้องการอาวุธชนิดใด ท่านลองกล่าวรายละเอียดมาให้ข้าได้ทราบที"
ก่อนที่เขาจะตอบ ก็ไม่ลืมยิ้มหวานให้กับนางทีหนึ่ง และจ้องมองนางด้วยดวงตาที่เป็นประกาย เขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน หลายวันที่เขาคิดว่าอยากจะเจอนาง แต่เขาก็ไม่กล้า เกรงว่าจะเป็นการไม่สมควร เขาก็คิดเพียงแค่ว่านางอาจจะเป็นผู้มีพระคุณที่ได้ช่วยชีวิตเขาไว้ จึงอยากจะไปเจอนางเพียงเท่านั้น แต่ใครเล่าจะรู้ดีไปกว่าตัวเขาเอง เมื่อได้เจอนางอีกครั้งมันทำให้หัวใจเขาที่นิ่งสงบมาโดยตลอด กำลังเต้นโครมคราม เพียงแค่ได้พบเจอหน้า และนางยังมีเรื่องให้เขาแปลกใจ นางถึงกับมีความรู้เรื่องการผลิตอาวุธ ที่แปลกประหลาดเหล่านี้ ช่างเป็นสตรีที่ทำให้ผู้คนรู้สึกเหลือเชื่อเสียจริง
"ข้าต้องการอาวุธที่มีพลังทำลายล้างสูง แต่สามารถพกพาได้สะดวก ขนาดไม่ใหญ่และดูไม่สะดุดุตา และลักษณะภายนอกดูไปแล้วจะต้องไม่เหมือนอาวุธ"
"และนี่คืออาวุธชิ้นแรก ชิ้นที่สองนั้นคือชุดเกราะที่มีลักษณะเบาเคลื่อนไหวร่างกายสะดวก ไม่หนักแต่มีความทนทาน ผู้มีพระคุณพอจะผลิตอาวุธที่กล่าวมาได้หรือไม่"
ฟ่านเหยาเหยาได้ฟังรายละเอียดทั้งหมดแล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้วมุ่น แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่สามารถทำได้ นางสามารถทำได้อยู่แล้ว ว่าแต่เงินถึง และดูแล้วเขาคงจะมีความสามารถในการจ่ายอยู่ไม่น้อย "ก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้แต่อาวุธตามลักษณะที่ท่านประมุขกล่าวมา" ยังไม่ทันที่นางจะได้พูดจบเขาก็พูดสวนขึ้นมาเสียก่อน
"เรียกพี่ว่า พี่หย่งเชี่ย แล้วกัน จะได้ดูสนิทสนมกันมากขึ้น เพราะดูจากอาวุธของเจ้ากับพี่แล้วก็สามารถเรียกเช่นนั้นได้"
เหล่าบรรดาองครักษ์ที่อยู่ข้างกายหยางหย่งเชี่ยตอนนี้พากัน ทำหน้าเหลอหลา แทบจะเป็นลมไปแล้ว
นี่ท่านประมุขกินยาลืมเขย่าขวดมาหรือไร หรือว่าท่านประมุขกำลังไม่สบายอยู่ หรือว่าพิษที่ได้รับยังตกค้างอยู่ในร่างกาย พวกเขาควรจะเชิญให้แม่นางเหยาเหยาตรวจอาการของท่านประมุขอีกรอบดีหรือไม่
"-" ฟ่านเหยาเหยา
"-" องครักษ์
"-" อาหย่ง
นี่ท่านประมุขคิดว่าพวกเขาอยู่กันเพียงลำพังหรือไร
"เหยาเอ๋อร์สามารถผลิตอาวุธให้พี่ได้หรือไม่เล่า"
เหยาเอ๋ออันใด นี่นางไปสนิทกับเขาตั้งแต่ตอนไหน หน้าหนา!!!หน้าหนา!!!เกินไปแล้ว
"เอ่อ ได้เจ้าค่ะ แต่ราคาอาจจะแพงไปสักหน่อยและต้องใช้เวลาในการทดสอบนานหน่อยด้วย เพราะข้า เอ่อ" ยังไม่ทันที่จะพูดจบก็เจอเข้ากับสายตาพิฆาตของเขา
"เพราะน้องไม่เคยประดิษฐ์อาวุธชนิดนี้มาก่อน อาจจะต้องใช้เวลาทดลองสักระยะ ได้ความอย่างไรข้าจะแจ้งท่านทราบอีกที" เมื่อได้ยินนางตอบเขาเช่นนั้นเขาก็ยกยิ้มมุมปากด้วยความพอใจ
ร้ายกาจเกินไปแล้ว สายตาพิฆาตที่เขาจ้องมองมาเมื่อสักครู่ ถึงกับทำให้นางรู้สึกหนาวเหน็บไปจนถึงขั้วกระดูกได้ เหตุใดในตอนแรก นางไม่ได้รู้สึกถึงความอันตรายนี้ของเขากัน
"งั้นก็ตกลงตามนี้ เจ้าว่าอย่างไรพี่ก็ว่าอย่างนั้น"
"-" ทุกคน