ทิพย์วารีพ่นลมหายใจออกไปเบาๆ ไม่คิดว่าเขาจะเสนอเงินเพื่อให้เธอทำอะไรแบบนั้น ยังไม่ได้คิดอะไรมากมาย คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ก็ลุกขึ้นเดินเข้ามาใกล้
“แค่สามเดือน หรือถ้าเธอสามารถทำให้แม่ฉันเปลี่ยนใจเรื่องแต่งงานได้ในเร็ววัน ฉันจะยกเลิกสัญญาทันที แต่เธอยังจะได้เงินเต็มจำนวน พูดง่ายๆคือยิ่งงานเสร็จเร็วยิ่งได้เงินเร็ว”
อคินรู้แค่ว่าอีกสามเดือนข้างหน้า เด็กสาวที่แม่ต้องการให้แต่งงานด้วยจะเรียนจบ ท่านตั้งใจรับเด็กคนนั้นกลับมาอยู่ที่บ้าน และที่สำคัญคือ ท่านคงจัดงานแต่งให้เขากับเด็กคนนั้นทันที เขามีเวลาแค่สามเดือนเท่านั้น มันไม่มากไปเลย สำหรับการหาใครสักคนไปทำให้แม่เขาเปลี่ยนใจ
“ไปหาคนอื่นเถอะค่ะ”
ทิพย์วารีสะบัดหน้าพรืด เดินเลี่ยงหนีเข้าไปหลังเคาน์เตอร์อย่างรวดเร็ว
มันมีเสี้ยววินาที ที่ทำให้หัวใจคนยื่นข้อเสนอปวดแปลบ แววตาผิดหวังปนเจ็บปวดจากดวงตากลมโต ทำให้เขาสงสัย เธอเป็นผู้หญิงที่ทำให้เขารู้สึกสงสัยตลอดเวลา ไม่รู้เลยว่าทำไมเธอถึงมีสีหน้าแบบนั้น
อคินเก็บความสงสัยนั้นไว้ในใจ เลือกเดินหนีไปจากร้าน เพราะสายตาคนในร้านเริ่มมองมาที่เขาแปลกๆ เขาไม่ล้มเลิกเพียงแค่นี้หรอก เขาไม่อยากแต่งงานกับใคร ยิ่งผู้หญิงคนนั้นยิ่งไม่อยาก ผู้หญิงที่แม่หาให้จะเป็นใครไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่ยัยเด็กในอุปการะสุดที่รักของแม่เขาเอง
“มีปัญหาอะไรกับลูกค้าเหรอวาว?”
“เปล่าค่ะ พวกเอเจนซี่หางานน่ะ”
ทิพย์วารีตอบเลี่ยงๆ ทำหน้าที่ตัวเองต่อเงียบๆ โดยพยายามไม่เก็บคำพูดของอคินมาคิดให้รกสมอง แต่มันทำไม่ได้เลย ความคิดที่ว่าเขาไม่อยากแต่งงานกับตัวเองทำให้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ เธอก็ไม่ได้อยากแต่งกับเขาสักหน่อย ถ้าไม่ใช่เพราะครอบครัวของคุณนิรามีบุญคุณกับเธอ เธออาจจะเป็นคนทำให้งานแต่งนั่นพังลงไปด้วยตัวเองก็ได้
สองวันต่อมา
กว่าจะเคลียร์งานของมหาวิทยาลัยเสร็จ พรประภาใช้เวลาถึงสองวัน เมื่อว่างก็รีบนำนาฬิกาข้อมือมาคืนเจ้าของมันทันที ร่างเพียวระหงเดินมาหยุดอยู่หน้าโต๊ะทำงาน เบื้องหน้าคือประตูบานใหญ่ ด้านบนติดป้ายผู้บริหารสูงสุดไว้
“สวัสดีค่ะ ท่าน”
แพรวิภาเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสาร ตกใจไม่น้อยที่เห็นท่านอธิการบดีของมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังยืนอยู่ มัวแต่ทำงานจนไม่มีสติฟังเสียง ไม่รับรู้การมาถึงของท่านเลยสักนิด แบบนี้เสี่ยงตกงานสุดๆ
“อคินอยู่ไหมจ๊ะหนูแพร”
“คุณคินทำงานอยู่ด้านในค่ะ เดี๋ยวดิฉันแจ้งให้นะคะ”
“ไม่เป็นไรจ๊ะ หนูแพรทำงานเถอะ”
เอ่ยอย่างเกรงใจเลขาสาวของอคิน เอกสารที่กองอยู่บนโต๊ะมีมาก จนพื้นที่ของโต๊ะแทบไม่มีที่ว่าง ท่านยิ้มให้ด้วยความรู้สึกเห็นใจ เดินไปเคาะประตูสองที ก่อนจะเปิดมันเข้าไปและปิดลงอย่างรวดเร็ว
“สวัสดีครับน้าพริม”
แม้จะไม่ใช่สายเลือดที่ใกล้ชิดกับพ่อแม่ แต่พรประภาเป็นญาติที่สนิทกับครอบครัว อคินเองจึงต้องรักษามารยาทนั้น ต่อหน้าบุคคลที่เป็นถึงอธิการบดีมหาวิทยาลัย
“น้ามารบกวนเวลาหรือเปล่า”
เดินไปนั่งที่โซฟา หลังจากเจ้าของห้องทำงานขนาดใหญ่ กุลีกุจอลุกขึ้นมาเชื้อเชิญให้นั่ง มองคนที่เดินไปชงชาหอมๆ ด้วยรอยยิ้ม ลูกชายท่านกับอคิน หน้าตาก็ไม่มีใครเป็นรองใคร เสียดายจริงๆ ท่านรู้สึกเสียดายทิพย์วารีที่ต้องเป็นของเขาอย่างไม่มีทางเลือก
“ไม่ครับ น้าพริมมีธุระด่วนอะไรเหรอครับ”
วางแก้วชาลงบนโต๊ะกระจกอย่างเบามือ นั่งลงที่โซฟาอีกด้าน สีหน้าแสดงออกถึงความแปลกใจ เมื่อผู้ใหญ่ตรงหน้าไม่ตอบ แต่หยิบกล่องออกมาจากกระเป๋าแบรนด์ดัง แล้ววางลงไม่ไกลจากถ้วยน้ำชา
“อันนี้ของอคินหรือเปล่า”
อคินเลิกคิ้วขึ้นข้างนึง ยื่นมือไปหยิบกล่องขึ้นมา เปิดดูของที่อยู่ด้านใน ดวงตาคู่คมฉายแววดีใจ เงยหน้ามองคนตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสงสัย
“น้าพริมได้มันมายังไง”
อคินถามอย่างสงสัย เขาหาข้อมูลแทบตาย แต่ไม่ได้อะไรเลย สิ่งที่ได้มีเพียงภาพจากกล้องวงจรปิด คนในร้านก็ไม่บอกอะไรเลย มีแต่บอกให้ไปแจ้งความอย่างเดียว เขาไปแจ้งความไว้แล้ว แต่ทางตำรวจยังไม่ติดต่อมาเลย แล้วน้าพริมไปได้มันมายังไง
“มีคนเอามาฝากไว้จ๊ะ น้ามาด้วยธุระเรื่องนี้ คืนเสร็จแล้วน้ากลับเลยนะ”
พรประภาไม่อยากอยู่ที่นี่นาน เพราะไม่ชอบอคินนั่นแหละ ภาพสวยหรูของผู้บริหารหนุ่มเป็นเพียงเปลือกนอกของเขา ส่วนเนื้อในที่เน่าเฟะของลูกชายคนเล็กแห่งอัครโยธินกุล มีเพียงคนในเท่านั้นที่รู้ และท่านก็เองก็เป็นหนึ่งในคนที่รู้เรื่องพวกนั้นดี
ถึงได้บอกว่าเสียดายทิพย์วารีไง ลูกชายท่านดีกว่าเขาเยอะเลย แต่ก็พูดอะไรไม่ได้ เพราะทิพย์วารีนั้นเหมือนคู่หมายของอคิน ถูกวางตัวให้เป็นของเขามาตั้งแต่เด็กๆแล้ว
“ใครครับน้าพริม ผมอยากรู้ว่าใคร”
สายตาคู่คมมองอย่างกดดัน ไม่สนใจว่าคนตรงหน้าจะมีตำแหน่งหน้าที่สูงแค่ไหน ถ้าเขาอยากรู้เขาต้องได้รู้ แต่คนที่มองเห็นการกระทำของเด็กหนุ่ม ทำเพียงแค่แย้มยิ้มกลับไป ลุกขึ้นยืนช้าๆ ด้วยท่วงท่าที่ไม่หวั่นเกรงสายตาคู่คมที่มองตัวเองอย่างกดดัน
“เขาไม่อยากให้อคินรู้ ถ้าอยากให้รู้ อคินคงรู้ตั้งแต่วันนั้นแล้ว”
ใบหน้าสูงวัยแย้มยิ้มมากขึ้น ไม่ใช่เพราะใบหน้าบึ้งตึงของเด็กหนุ่มอย่างอคิน แต่ท่านนึกทึ่งความฉลาดของทิพย์วารีต่างหาก ยอมรับว่ารักเด็กสาวคนนั้นมาก และไม่อยากยกทิพย์วารีให้คนอย่างอคินเลยจริงๆ
หลังจากปล่อยให้อธิการบดีมหาวิทยาลัยชื่อดัง ที่เป็นญาติของบิดากลับไป ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนร้าย หรือเอานาฬิกามาส่งมอบให้ท่าน อคินใช้เวลาทั้งวันในการครุ่นคิด เรื่องนาฬิกาก็อีกส่วน เรื่องที่จะต้องแต่งงานก็อีกส่วน แยกสมองจนหัวจะระเบิดอยู่แล้ว
“โอ้ย!”
ยกมือทุบหัวตัวเองแรงๆ ชีวิตเขาไม่เคยสงสัยอะไรขนาดนี้มาก่อน ทำไมทุกอย่างมันดูมีลับลมคมในไปหมด ร่างสูงหยัดกายขึ้นจากเก้าอี้ทำงานอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เลขาที่เปิดประตูเข้ามารีบร้องห้าม
“นั่งลงเดี๋ยวนี้อคิน งานยังไม่เสร็จ”
แพรวิภามองด้วยสายตาไม่พอใจ ส่วนอคินเองก็ไม่สนใจเช่นกัน วันนี้วันศุกร์แล้ว งานก็ไม่ได้เร่งรีบขนาดนั้น ทำไมต้องโหมทำงานหนักในวันสุดสัปดาห์แบบนี้ด้วย
“ไม่เป็นไรแพร งานไม่เร่ง อยากกลับแล้ว”
“แต่งานแพรเร่ง นั่งลงเซ็นเอกสารพวกนี้ก่อน”
แพรวิภาวางเอกสารลงบนโต๊ะ วันนี้วันสุดท้ายของการทำงานแล้ว เธอทำงานหนักมาตลอดสามวัน เพื่อให้งานเสร็จทันวันหยุดยาวของครอบครัว เขาจะทำแบบนี้กับเธอไม่ได้นะเว้ย ต้องอยู่เซ็นเอกสารให้เธอจนหมดก่อน
“วันหลังน่าแพร กลับบ้านได้แล้ว”
“แพรจะลาหยุดนะคิน ถ้าขืนคินทำแบบนี้ แพรจะไม่ใช่แค่ลาหยุด แพรจะลาออก!”
แพรวิภาพูดด้วยใบหน้าจริงจังที่สุดในชีวิต เสียดายงานเงินเดือนดีๆ แต่มีเจ้านายแบบอคินก็ไม่ไหว แม้บางเรื่องเขาจะดีมาก แต่เรื่องที่เกี่ยวกับงานเขาไม่ได้ดีเลย เธอทนๆ ทนจนเหนื่อยที่จะทนแล้ว ถ้าเขาไม่เข้าใจและไม่คิดจะปรับปรุงตัว เธอคิดว่าจะลาออกจริงๆ ไม่ได้ขู่
“อะไรเนี่ย! ก็ทำเสร็จแล้ว”
“แต่งานของแพรยัง”
“เห้อ! เดี๋ยวทำต่อเอง กลับบ้านไปได้แล้วไป จะไปหัวหินกันไม่ใช่เหรอ”
เขาเห็นใบลาหยุดของเธอแล้ว ไม่อยากให้ไปนั่นแหละ เพราะงานตอนนี้กำลังยุ่ง แต่เห็นสีหน้าเพื่อนตอนนี้แล้ว รู้สึกเสียววูบในอก แพรวิภาทำงานกับเขามานาน ถ้าเธอลาออกไปจริงๆ ไม่ใช่แค่เขาจะแย่ บริษัทนี้คงจะวุ่นวายมาก ถ้าขาดแพรไปสักคน
“แพรเหนื่อยนะคิน”
“รู้”
“ถ้ารู้แล้วเมื่อไหร่จะเลิกประชดชีวิตสักที ผู้หญิงคนนั้นไม่มีวันกลับมา คินควรเดินหน้า ไม่ใช่ใช้ชีวิตแบบนี้ คินต้องนึกถึงอนาคตบ้าง คินจะอยู่เป็นโสด แล้วใช้ชีวิตแบบนี้ไปตลอดเลยเหรอ”
แพรวิภารู้ดีว่าสาเหตุที่อคินเป็นคนเสเพล เหลวแหลกและไม่เอาถ่าน มันเป็นเพราะอะไร เขาน่าสงสารที่สูญเสียคนที่เขารัก แต่คนที่น่าสงสารมากกว่าคือคนที่รักเขา ที่คอยช่วยประคับประคองเขาอยู่ตลอดตั้งแต่เขาเสียหลัก
“มันไม่เกี่ยวกับเรื่องของมะปรางนะแพร เรื่องนั้นมันจบไปนานแล้ว แต่ที่คินเป็นแบบนี้ เพราะคินยังไม่เจอใครที่ดีเท่ามะปราง”
“เพราะคินเอาแต่เปรียบเทียบแบบนี้มาตลอดไง คนเรามันไม่เหมือนกันนะคิน แพรรู้ว่ามะปรางเป็นผู้หญิงที่ดีมาก แต่คนที่ดีกว่ามะปรางยังมี คินแค่ไม่เปิดใจ”
“พูดจบยัง?”
“จบแล้ว แพรจะพูดครั้งนี้ครั้งสุดท้ายแล้วคิน สุดท้ายแล้วจริงๆ”
แพรวิภาหมุนตัวกลับออกไปพร้อมใบหน้าผิดหวัง แม้อคินจะแสดงสีหน้าเจ็บปวดมากกว่ารำคาญ แต่เธอกลับรู้สึกแย่มากกว่า สัญญากับตัวเองว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆที่พูดเรื่องนี้ รวมทั้งความอดทนในฐานะเลขาของเขาด้วย