ภวิศขับรถพาทิพย์วารีมาที่ร้านอาหารเจ้าประจำ การกระทำระหว่างเขากับเธอ เสี่ยงให้คนเอาไปลือเสียๆหายๆมาก แต่เขาไม่แคร์ ขอแค่ได้อยู่ใกล้ ไม่ว่าจะในฐานะอาจารย์ พี่ชาย หรืออะไรก็ได้ทั้งนั้น
“ทางนั้นติดต่อให้วาวกลับไป วาวคิดว่าวาวต้องบอกพี่พีทให้รู้ ก่อนที่จะย้ายออกจากบ้านไปจริงๆ”
ทิพย์วารีใช้เวลาที่นั่งรออาหาร บอกลูกชายเจ้าของบ้านที่เธออาศัยอยู่ คนตรงหน้าดูตกใจไม่น้อย แต่ก็รักษาท่าทีไว้ภายใต้ใบหน้าแย้มยิ้ม
“ไม่ใช่หลังเรียนจบเหรอ?”
“ก็ใช่ค่ะ วาวต้องบอกก่อนไง พี่พีทไม่ค่อยกลับบ้าน ถ้ากลับมาแล้วไม่เจอวาว เดี๋ยวพี่พีทจะตกใจ”
ทิพย์วารีพูดติดตลก ตั้งแต่เธอเริ่มโตเป็นสาว ลูกชายเจ้าของบ้านก็ไม่ค่อยอยู่บ้าน ถ้าไม่เจอกันที่มหาวิทยาลัย ก็ไม่มีโอกาสได้เจอกันเลย ต้องบอกเขาไว้ก่อน แม้เขาจะรู้อยู่แก่ใจ ว่าสักวันเธอต้องกลับไปในที่ๆเธอจากมา
“พี่ตกใจแน่นอนอยู่”
เขาตกใจทุกเรื่องที่เกี่ยวกับเธอ ตั้งแต่เรื่องที่รู้ว่าเธอมีคนจับจองอยู่แล้ว ตั้งแต่นั้นมา ไม่ว่าเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับเธอ ก็ชวนให้ตกใจทั้งนั้นแหละ เขาตกใจง่ายมาก ถ้าเป็นเรื่องของผู้หญิงที่เขาหลงรัก
“เสียดายนะคะ เรายังไม่ได้ไปเที่ยวดอยด้วยกันเลย”
ทิพย์วารีช้อนสายตาขึ้นมองคนที่เธอเคยรัก รู้สึกเสียดายอย่างที่พูด เขาเป็นความรักที่เธอคิดว่ามีโอกาสสมหวังมากที่สุด แต่สุดท้ายก็ต้องผิดหวังอยู่ดี เพราะเธอต้องกลับไปใช้ชีวิตคู่กับคนที่เขาไม่ได้รักเธอ ผู้ชายที่เป็นรักแรก และเป็นคนแรกที่ทำให้เธอเกลียดมาจนถึงทุกวันนี้
“นั่นสิ”
ภวิศยิ้มเศร้า เขารู้สึกเสียดาย ไม่ใช่เพียงแค่ยังไม่ได้ไปเที่ยวกับเธอ เขาเสียดายทุกอย่าง เสียดายที่เธอตัดสินใจจะกลับไปบ้านหลังนั้น ที่จริงเป็นเขาก็ได้นะ เขามีทุกอย่างไม่ต่างจากที่ผู้ชายคนนั้นมี แต่เธอก็เลือกที่จะทดแทนบุญคุณของแม่บุญธรรมมากกว่า ด้วยการตกปากรับคำว่าจะแต่งงานกับผู้ชายคนนั้นหลังเรียนจบ
บทสนทนาขาดหายไป จนกระทั่งอาหารที่สั่งมาเสริฟ เป็นครั้งแรกที่มื้ออาหารระหว่างเขาและเธอเงียบเชียบ ทิพย์วารีซึมซับความรู้สึกในครั้งนี้ไว้ นี่อาจจะเป็นอาหารมื้อสุดท้ายที่ได้ทานร่วมกันกับเขา
“มีอะไรก็โทรมาหาพี่นะ”
“แน่นอนค่ะ”
ทิพย์วารีรับปากพร้อมรอยยิ้ม ครอบครัวสุขภิมลดูเป็นครอบครัวของเธอมากกว่าครอบครัวแม่อุปถัมภ์ซะอีก แม้จะได้รับความรักจากทั้งสองครอบครัว แต่เธอกลับรู้สึกสนิทและคุ้นเคยกับครอบครัวทางนี้มากกว่า
ทิพย์วารีแยกกับภวิศ หลังจากทานอาหารร่วมกับเขาเสร็จ เธอไม่มีเรียน แต่มีงานพิเศษที่ร้านกาแฟตอนบ่าย เรื่องนาฬิกาเรือนหรูที่ถูกฉกไปของอคิน ก็มีคนรับปากว่าจะส่งคืนให้เขาแทนเธอแล้ว เท่านี้เธอก็ทำงานได้อย่างสบายใจสักที ไม่รู้ทำไม แต่ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับเขามักจะทำให้เธอวุ่นวายใจตลอด
14:00 น.
ทิพย์วารีมาถึงร้านก่อนเวลาที่แจ้งกับผู้จัดการไว้ เธอเป็นพนักงานพาร์ทไทม์ เลยไม่มียูนิฟอร์มเหมือนคนอื่นๆ ชุดที่ใส่ทำงานคือกางเกงขายาวสีดำกับเสื้อยืด สวมทับด้วยผ้ากันเปื้อนของร้าน และรองเท้าผ้าใบ หน้าไม่ต้องแต่งจัดเหมือนทำงานร้านเหล้า แต่ผมเผ้าต้องรวบขึ้นทั้งหมด เพื่อความสะอาดเรียบร้อย
“Coffee Tea milk สวัสดีค่ะ”
วันนี้รับหน้าที่อยู่ด้านในเคาน์เตอร์ รอรับออเดอร์ รวมถึงรังสรรค์เมนูให้ลูกค้า ทิพย์วารีทำงานร้านนี้มาตั้งแต่อยู่ปีสอง เป็นพนักงานพาร์ทไทม์ตลอด เพราะไม่สามารถทำงานเต็มเวลาได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำงานเต็มที่ และทำแบบนี้กับทุกร้านที่ให้โอกาสเธอ
15:56 น.
“อเมริกาโน่ แก้วนึง!”
น้ำเสียงห้วนจัด ขัดกับใบหน้าหล่อเหลา อคินเป็นผู้ชายที่ใช้หน้าตาของเขาได้แย่ที่สุดในสายตาเธอ มีหน้าตาหล่อเหลาราวเทพบุตร แต่มารยาทกลับมุดหัวอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้
“รอสักครู่ค่ะ”
ทิพย์วารียังคงรักษาท่าที มือง่วนอยู่กับการชงโกโก้ร้อนให้ลูกค้าคนก่อนหน้า ไม่ได้เร่งรีบทำตามใจคนที่มีสีหน้าฉุนเฉียว เสร็จจากแก้วนี้ยังมีต่ออีกสองแก้ว เขามาทีหลังก็ต้องรอนั่นแหละถูกแล้ว
ทิพย์วารีเดินผ่านคนตัวโตที่ยืนหน้าตึงอยู่บริเวณเคาน์เตอร์ เพื่อไปเสริฟโกโก้ให้ลูกค้า ไม่แปลกใจสักนิดที่เขาโผล่มาที่ร้านนี้ได้ คงได้ข้อมูลของเธอมาแล้ว แต่ไม่ใช่ทั้งหมดที่เขาควรรู้ เป็นข้อมูลพื้นฐานที่เลขาเขาหาได้ ส่วนข้อมูลเชิงลึกของเธอ เธอต้องการให้มันเป็นความลับ ไม่มีใครสืบค้นเจอหรอก
อคินมองสำรวจคนที่เดินผ่านหน้าไปเงียบๆ กริยาท่าทางของเธอชวนให้อารมณ์ขุ่นมัวมากกว่าเดิม แต่เขาระเบิดความไม่พอใจที่นี่ไม่ได้ นั่นเพราะมีคนอยู่เยอะมาก และที่นี่ไม่ใช่ อัครโยธินกุลที่เขามีอำนาจ เขาไม่อยากใช้มันเรี่ยราดให้พ่อกับแม่ด่า
“เชิญคุณลูกค้าไปนั่งรอก่อนนะคะ ยังมีออเดอร์อีกสองแก้ว”
ทิพย์วารีแวะมาบอกเพียงครู่ ก็กลับเข้าไปหลังเคาน์เตอร์ ร้านกาแฟเล็กๆแห่งนี้ มีพนักงานเพียงสองคน คนหนึ่งทำประจำและเธอที่ทำพาร์ทไทม์ ตอนนี้อีกคนพักไปกินข้าว เธอจึงรับหน้าที่ทุกอย่างในร้านเพียงคนเดียว แน่นอนว่ายุ่งพอตัว ไม่มีเวลามาสนใจเขาหรอกถ้ายังไม่ถึงคิวของเขา
“ว่างแล้วมาคุยกันหน่อย!”
“ค่ะ”
ทิพย์วารีรับปาก ธุระที่เขามาคงไม่พ้นเรื่องนาฬิกาที่หายไป เธอรู้ตัวว่าถูกเขาสงสัย ไม่เป็นไร เธอชินแล้วแหละ กับการที่ถูกมองว่าเป็นคนแย่ๆ สำหรับผู้ชายอย่างอคิน
ทิพย์วารีใช้เวลาเคลียร์ลูกค้าอยู่นาน เพราะหลังจากเดินเอาอเมริกาโน่มาให้เขา ลูกค้าก็เข้าร้านไม่หยุด กว่าเธอจะว่างจริงๆ ก็คือตอนที่เคลียร์ลูกค้าหมด และพี่อีกคนมารับหน้าที่ช่วยเธอ
“คุณมีธุระอะไรคะ?”
ใบหน้าสวยหวานเรียบสนิท ดวงตาคู่สวยหลุบมองคนที่นั่งอยู่ รีบพูดธุระมา ไม่ได้ว่างมายืนคุยด้วยหรอกนะ
“…….. นาฬิกา เธอเห็นนาฬิกาของฉันหรือเปล่า”
คำถามนั้นส่งผลให้ใบหน้าสวยมีแววตกใจ นึกว่าเขาจะมาปรักปรำว่าเธอเป็นคนร้ายซะอีก ก็ยังพอมีความคิดอยู่นี่นา
“ตอนที่ช่วยพยุงคุณไปขึ้นรถ ไม่เห็นค่ะ คุณลองไปขอดูกล้องที่ร้านสิคะ ที่นั่นมีกล้องวงจรปิดติดอยู่ทั่วร้าน”
“ไปมาแล้ว”
และนั่นทำให้เขาไม่สามารถปรักปรำเธอได้ ภาพที่ฉายในจอมอนิเตอร์บอกตัวคนร้ายได้อย่างชัดเจน แต่ที่เขามาที่นี่ เพราะอยากคุยกับเธอเรื่องอื่นต่างหาก
“แล้ว…คุณมาหาฉันทำไม?”
“เธอต้องการเงินใช่ไหม”
“เหอะ!”
ทิพย์วารีแค่นเสียงออกไปทันที ไม่รอให้เขาพูดจนจบด้วยซ้ำ อคินก็ยังเป็นอคินอยู่วันยันค่ำ ชอบแก้ปัญหาด้วยเงิน และถนัดใช้เงินจบปัญหามากกว่าใช้สติไตร่ตรอง
“ขอบคุณ แต่ฉันไม่ต้องการเงินของคุณค่ะ”
“ฉันจะจ้างเธอ!”
“ไม่ค่ะ ฉันเหมือนคนว่างนักหรือไง?”
ทิพย์วารีปฏิเสธทันควันอย่างไม่รู้สึกเสียดาย รู้ว่าคนตรงหน้าจ่ายหนัก ไม่ว่างานนั้นจะเป็นงานเล็กน้อย หรืองานใหญ่ก็ตาม แต่เธอรู้สึกเสียเวลามากที่คุยกับเขา เธอต้องการกลับไปทำงานของตัวเอง แม้มันจะได้ค่าแรงเพียงแค่ชั่วโมงละ 45 บาทก็ตาม
อคินพ่นลมหายใจออกหนักๆ เขารู้ว่าเธอไม่ง่าย ไม่อย่างนั้นเธองับข้อเสนอของเขาไปแล้ว เธอคงรู้จักเขาดีอย่างที่พูด คงรู้กิตติศัพท์ของเขามากเกินไป บางทีเธออาจจะกลัวก็ได้
“สามแสน สำหรับการเล่นละครตบตาแม่ฉัน”
เขาต้องการคนมาสวมบทเป็นแฟนเท่านั้นจริงๆ เธอเป็นคนในแบบที่เขาต้องการ ดูไม่หวั่นไหวและดูฉลาด ผู้หญิงแบบนี้หายาก และที่สำคัญคือเธอแสดงออกชัดเจนว่าไม่สนใจเขา ผู้หญิงส่วนมากที่วนเวียนอยู่รอบตัวมีแต่คนที่อยากวิ่งเข้าหา นั่นคือเหตุผลที่เขาเลือกเธอ เวลาที่หมดประโยชน์เขาจะได้เขี่ยทิ้งง่ายๆหน่อย ไม่อยากได้ผู้หญิงที่สลัดไม่หลุดเลย