นิพนธ์คิ้วกระตุก “ว่ายังไงนะ”
เมธาวีเงยหน้ามองคนข้างกายด้วยสายตาประหลาดใจ เพราะเตรียมการมาแค่แนะนำตัวเท่านั้นก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องออกรับหน้าเธอแทนก็ได้
ปวริทหันมาส่งยิ้มให้เมธาวีแล้วหันไปตอบว่าที่พ่อตาด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร
“ผมรักคุณเบลครับ รักทุกอย่างในตัวตนของเธอ ผมรู้ว่าคุณพ่อเป็นห่วง แต่ผมจะไม่ทิ้งเธอไปแน่นอนครับ ผมจะดูแลเธออย่างดี”
นิพนธ์ฟังคำตอบแล้วจ้องมองอย่างไม่สบอารมณ์ เจ้าคนตรงหน้าอยู่ ๆ ก็ออกหน้ามารับแทน เขาไม่ชอบผู้ชายคนนี้ เพราะรูปร่างหน้าตาดูหล่อเหลาและอ่อนโยนเกินไป กลัวว่าเป็นพวกแมงดาที่เข้ามาหลอกลูกสาวของตน
“ลื้อน่ะ ทำงานอะไร เงินเดือนเท่าไหร่ มีดีอะไรมาดูแลลูกสาวอั๊ว” นิพนธ์ถามด้วยน้ำเสียงดูแคลน
“ป๊า!” เมธาวีมองพ่อของตัวเองอย่างไม่พอใจ
ปวริทกระชับมือแน่นพลางหันไปบอกเป็นนัยว่าไม่เป็นไร จากนั้นค่อยตอบคำถามของนิพนธ์
“ตอนนี้ผมทำงานรับจ้างอิสระครับ เงินเดือนหนึ่งแสนต้น ๆ” ความจริงไม่ใช่แสนต้น ๆ แต่หักหนี้ไปแล้วมันเลยเหลือเท่านั้นต่างหาก
“เฮอะ! แค่แสนต้น ๆ เศษเงินแค่นั้น รองเท้าคู่เดียวยังซื้อให้ลูกสาวอั๊วไม่ได้ด้วยซ้ำ” นิพนธ์เชิดหน้าขึ้น
“แต่คุณเบลชอบอาหารที่ผมทำนะครับ” ปวริทโอ้อวดอย่างไม่ยอมแพ้
เมธาวีฟังแล้วก็หัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนส่งเสริมคำพูดของชายหนุ่ม
“จริงค่ะ คุณบันทำอาหารอร่อยมากเลยนะคะ เขาทำข้าวกล่องให้เบลทุกวันเลย”
นิพนธ์เห็นรอยยิ้มของลูกสาวก็อดไม่ได้ที่จะน้อยใจ เพราะเขาไม่เคยเห็นมาก่อน แต่เจ้าหนุ่มคนนี้กลับขโมยหัวใจของเมธาวีไปได้ ช่างน่าหงุดหงิดเหลือเกิน
“เฮอะ กับอีแค่ทำกับข้าวได้ มันจะไปพออะไร ก็แค่พวกรับจ้าง ไม่มีความมั่นคงในชีวิต”
“ป๊าอย่ามาว่าคุณบันของเบลนะ อีกอย่างที่พามาก็เพราะอยากเห็นหน้าลูกเขยไม่ใช่เหรอ” เมธาวีตอบกลับแทนด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
ปวริทเห็นเมธาวีปกป้องตัวเองบ้างก็ดีใจ คีบเนื้อย่างน้ำแดงมาวางไว้ในถ้วยของอีกฝ่ายเป็นการขอบคุณ
ปัง!
เสียงกระแทกตะเกียบลงกับโต๊ะดังลั่นจนทำให้บรรดาญาติที่นั่งมองการโต้เถียงของสองพ่อลูกถึงกับสะดุ้งตกใจ
“ลูกเขยอะไร ใครให้ลื้อแต่งงาน!”
เมธาวีฟังแล้วโมโห ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังดูถูกว่าเธอจะสามีไม่ได้ พอพามาแนะนำตัววันนี้ กลับถูกห้ามไม่ให้แต่งเสียอย่างนั้น กลับกลอกแบบนี้ เธอเกลียดที่สุด
หญิงสาวลุกขึ้นเท้ามือกับโต๊ะอาหารแล้วพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น นัยน์ตาสวยวาวโรจน์
“เบลจะแต่ง! อีกหนึ่งเดือนข้างหน้าพวกเราจะแต่งงานกันค่ะ ถ้าอยากมางานแต่งงานของเบล ก็ส่งข้อความมาบอกแล้วกัน แล้วเบลจะพิมพ์ชื่อลงในบัตรเชิญให้ แต่อย่ามาสร้างความวุ่นวายเด็ดขาด”
“ไอ้เบล!”
“เจ๊!”
เมธาวีไม่สนใจเสียงร้องของนิพนธ์กับมาวิน ดึงแขนปวริทลุกขึ้นแล้วเดินออกไปอย่างไม่แยแส ไม่ว่าใครจะเอาเรื่องนี้ไปนินทาอย่างไรก็ตาม
นิพนธ์เห็นท่าทางดื้อรั้นของลูกสาวก็ทั้งน้อยใจทั้งปวดใจจนเจ็บหน้าอก มาวินเห็นสภาพของผู้เป็นพ่อก็รีบเข้าไปดูแลด้วยความห่วงใย เช่นเดียวกับบรรดาญาติที่เข้ามามุงจนห้องอาหารคับแคบลงทันที
นิพนธ์โบกมือไล่เหล่าญาติ ๆ กลับไปอย่างอ่อนล้า ทั้งห้องจึงเหลือแค่ตัวเอง ลูกชายกับลูกสะใภ้เท่านั้น
“ป๊าอย่าไปว่าเจ๊เบลเลยนะครับ เจ๊ก็แค่...” มาวินพยายามปลอบ สภาพของนิพนธ์ในตอนนี้ทำให้เขาเป็นกังวลมาก หลังจากที่รู้ว่าเป็นโรคหัวใจเมื่อหนึ่งเดือนก่อน
นิพนธ์ส่ายหน้า
“มันก็หัวแข็งแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก ๆ” ความจริงความดื้อรั้นหัวแข็งแบบนี้ เหมือนเขามากกว่าภรรยาเก่าเสียอีก เพราะแบบนี้ถึงอยู่ร่วมกันไม่ได้
มาวินถอนหายใจอย่างปลดปลง
“เจ๊เบลก็แค่น้อยใจที่ป๊าไปว่าแฟนเขาเท่านั้นเองครับ เดี๋ยวผมไปคุยกับเจ๊เอง ป๊าไม่ต้องห่วง”
“อั๊วก็แค่กลัวว่ามันจะมาหลอกพี่สาวลื้อ”
“ไม่หรอกครับ เจ๊เบลทำงานเก่งขนาดนั้น ยังไงก็ต้องดูคนเป็นอยู่แล้ว อีกอย่าง ผมเห็นพี่ปวริทคอยดูแลเจ๊ตลอดเวลา เขาน่าจะรักเจ๊จริง ๆ นั่นแหละครับ”
นิพนธ์ถอนหายใจ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นพ่อแท้ ๆ จะปล่อยให้ลูกสาวเอาคนไม่มีหัวนอนปลายเท้ามาเป็นสามีได้ยังไง
“อาวิน ลื้อไปสืบมาว่าไอ้หมอนั่นมันเป็นใคร รู้จักกับอาเบลได้ยังไง ถ้ามันเป็นคนชั่ว ก็กำจัดไปซะ”
มาวินพยักหน้ารับคำสั่ง
“ครับป๊า”