...ห่างออกไปจากบ้านไร่เคียงฮักราวสองกิโลเมตร…
สายลมยามดึกของต่างจังหวัด พัดกรรโชกรุนแรงเป็นระยะ บ่งบอกว่าอีกไม่นานฝนหลงฤดูคงจะกระหน่ำลงมาในไม่ช้า บ้านไม้ครึ่งปูนหลังเก่าเพราะเจ้าของนั้นไร้การใส่ใจดูแล บัดนี้ภายในห้องเล็กแคบติดกับห้องครัวและห้องน้ำ ตอนนี้มีร่างผ่ายผอมของเด็กสาววัยสิบเจ็ดปี กำลังทอดกายนอนหลับสนิทเพราะพิษไข้
ดังนั้นเธอจึงไม่อาจรับรู้ได้ถึงภัยร้ายที่มาในรูปแบบของเพื่อนชายคนใหม่ล่าสุดของมารดา ที่เมื่อหัวค่ำพากันมาตั้งวงกินดื่มกันอย่างสนุกสนาน
อนุพงศ์...ชายหนุ่มหัวหน้าคนงานในไร่จงฮักวัยยี่สิบเก้าปี มีร่างกายกำยำในแบบคนใช้แรงงาน ช่วงหลายเดือนมานี้ เขากำลัง 'กิ๊ก' กันอยู่กับ 'มัทรี รุ่งรัตน์สง่าวงษ์' แม่ครัวของไร่เคียงฮัก หญิงสาวรุ่นพี่วัยสามสิบเจ็ด แต่รูปร่างหน้าตานั้นสวยสดใสราวกับหญิงสาววัยยี่สิบต้นเท่านั้น
นอกจากมัทรีจะหน้าตาดีแล้ว ยังเป็นเจ๊สายเปย์เก่งตามสไตล์สาวใหญ่ใจถึง ชมชอบกินเด็กไปทั่ว แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คืออนุพงศ์ เขาถูกตาต้องใจลูกสาววัยขบเผาะของหัวหน้าแม่ครัวประจำไร่เคียงฮักอีกด้วย คนที่กรอกเหล้าเคล้ารสสวาทดิบเถื่อนให้แก่คนเป็นแม่สลบไสลไปแล้ว จึงย่องเงียบแอบงัดบานหน้าต่างที่เจ้าของคงเผอเรอลืมปิดให้แน่นหนา สาเหตุนั้นคาดว่าเพราะเด็กสาวป่วยนั่นเอง
คนหน้ามืดหื่นกระหาย มันค่อย ๆ ทรุดกายลงนั่งยังริมเตียงไม้ขนาดเล็ก ย่ามใจถึงขนาดกล้าเปิดโคมไฟดวงกะทัดรัด ก่อนที่มันจะเปิดรอยยิ้มแสนร้ายกาจ เมื่อสายตาปะทะเข้ากับแก้วน้ำที่พร่องไปครึ่งหนึ่งวางเคียงกันกับกระปุกยาลดน้ำมูกและยาพาราเซตามอล
"เสร็จฉันแน่น้องมุ้ยคนสวย"
มันย่ามใจเมื่อคิดว่ากว่าเด็กสาวจะรู้สึกตัวตื่นมันก็จับเด็กสาวกดได้สำเร็จแล้ว ก็แค่เด็กผู้หญิง นี่หาใช่ครั้งแรกที่มันคิดรวบหัวรวบหางกินทั้งแม่และลูก สุดท้ายพอเสร็จเขาขี้คร้านเขาจะสบายมีเมียเด็กให้ได้ฟัดชื่นใจ แถมยังมีเมียรุ่นพี่คอยเปย์ทุกสิ่งที่เขาอยากได้
มือหยาบกร้านวางลงไปบนหัวเข่า แล้วสอดมือลูบไล้ผิวภายใต้กางเกงนอนขายาวเนื้อนิ่มผ่านการใช้งานมานานปี
"...ซี๊ด...แม่คุณ พี่ไม่ไหวแล้วนังหนูมุ้ยคนสวย"
มันอดใจไม่ไหวทันทีเมื่อได้สัมผัสผิวเนียนนุ่มของสาววัยกำดัดเข้าไปเท่านั้น เร่งผุดลุกขึ้นสลัดเสื้อผ้าออกแทบเป็นฉีกกระชาก ก่อนมือไม้สั่นลงไปปลดกระดุมเสื้อนอนของเด็กสาวที่ยังหลับลึกเพราะฤทธิ์ของยา
แต่คงเพราะเด็กสาวนาม 'มณีกานต์ รุ่งรัตน์สง่าวงษ์' ลูกสาวคนเดียวของมัทรี หลานสาวคนเดียวของนางพรรณีแม่บ้าน และยังมีหน้าที่เป็นพยาบาลส่วนตัวของแม่เลี้ยงสายหยุดแห่งไร่เคียงฮักอีกด้วย ตั้งแต่เริ่มเติบโตเข้าสู่วัยสาว ตั้งแต่อายุเข้าสิบสามปีเธอก็ต้องนอนระวังตัวมาตลอด เพราะมารดานั้นขยันพา ‘เด็ก’ ในสังกัดมาเคี้ยวกันที่บ้าน และแน่นอนเจ้าคนพวกนั้นน้อยนักที่จะไม่มาลวนลามเด็กสาว
ดวงตาเรียวรีขยับพยายามอย่างยิ่งที่จะกระชากสติตื่นจากการหลับลึกให้ได้ เพราะเริ่มรับรู้ถึงภัยร้ายที่กำลังพุ่งเข้ามาหา
"แก...!"
เพราะแสงสว่างจากโคมไฟที่อยู่ด้านหัวนอน มณีกานต์จึงเห็นหน้าตาของไอ้หื่นกระหายสวาทว่ามันเป็นใคร...ไอ้หัวหน้าคนงานฝ่ายปลูกและขยายแปลงผักนามอนุพงศ์ "เด็ก" คนใหม่ของมารดาที่เพิ่งมาทำงานในไร่จงฮักได้เพียงหกเดือน
"จ๋า...เรียกผัวทำไมจ๊ะน้องมุ้ย"
เด็กสาวขนลุกกับเสียงชวนอาเจียนและสัมผัสที่มันเริ่มแตะลงมาตามหน้าท้อง คล้ายกำลังจะลอกคราบถอดชิ้นล่างของตนเอง เด็กสาวสติมาไม่เต็มร้อยหรอก แต่ไม่เต็มร้อยนี้เธอก็พอจะเอาตัวรอดไปได้ มือเล็กสอดลงไปที่ใต้หมอน ส่วนร่างกายนั้นเธอแสร้งนอนนิ่งอย่างจะให้มันนอนใจคิดว่าเธอคงยังไม่มีสติ
"มาเถอะเรามาสนุกกันดีกว่าสาวน้อย รับรองชิมพี่พงศ์สักคำน้องมุ้ยจะติดใจร้องหาแต่พี่พงศ์...พี่พงศ์ไม่เว้นวันเหมือนแม่ของน้องมุ้ยนั่นไง"
...ติดใจพ่องมึงสิ! ...
แต่ปากของเด็กสาวพยายามฉีกยิ้มเอาไว้ จนสุดท้ายมันก้มลงมาหวังจะจูบปากเธอ มณีกานต์จึงพลิกใบหน้าหลบทันที เป้าหมายจึงเปลี่ยนกลายเป็นไถลเลยไปยังลำคอขาวผ่องเสียแทน เด็กกัดฟันลงยังริมฝีปากตนเองจนได้กลิ่นคาวเลือดพุ่งขึ้นสูงโพรงจมูก
เธอท่องคำว่าใจเย็นราวกับคนคลั่ง แต่ถ้าหากเธอไม่เสแสร้งทำเป็นว่ายินยอมตัวอ่อน ด้วยรูปร่างกับกำลังกายแล้วอย่างไรก็ไม่รอด แต่เมื่อมันไถลปากและปลายจมูกลงไปใกล้สองเต้ากลมกลึงเส้นความอดทนของมณีกานต์ก็ขาดผึงทันที!
...โพละ! ...
"อ้าก! "
"ตายไปเลยไอ้ชั่ว! "
...ตุ้บ! ...
...โครม! ...
"อั๊ก! "
ไม้พลองขนาดพอเหมาะมือที่เด็กสาวไม่เคยทิ้งห่างข้างหมอน วันนี้มันได้ดื่มเลือดคนแล้วเป็นครั้งแรก แต่มณีกานต์ไม่มีเวลาชื่นชมผลงานของตัวเองมากนัก เมื่อเสียงของมารดาร้องเรียกหากิ๊กไอ้เด็กแสนชั่วช้าเสียลั่นบ้าน
"พงศ์...พงศ์จ๋า...พงศ์จ๋าของเจ่เจ้มัทอยู่ไหนน๊า อ้าว นังมุ้ย! นั่นแกกำลังจะไปไหน? "
คนที่ยังมึนเมาอยู่เกือบหกสิบเปอร์เซ็นต์ กำลังก้าวลงบันไดมาเกือบถึงพื้นห้องโถงล่างในชุดนอนบางจ๋อย ร้องถามบุตรสาวทันทีเมื่อเห็นกายเล็กพุ่งตัวออกมาจากห้อง แล้วไปหยิบกุญแจมอเตอร์ไซค์ขนาด125 ซี.ซี ที่มีอยู่คันเดียวในบ้าน
"เอ๊ย...นังมุ้ยแกได้ยินที่ฉันถามหรือเปล่าหา! นี่มันเที่ยงคืนกว่าแล้วนะแกจะไปไหน"
แต่คนมีความผิดติดตัวเพราะไปฟาดกบาลของกิ๊กใหม่ที่มารดากำลังคลั่งไคล้จนหน้ามืดตามัว ขืนเธอชักช้าคนที่จะลำบากย่อมไม่ใช่ไอ้ชั่วนั่นแต่จะเป็นตัวเธอนี่แหละ จากประสบการณ์ตรงที่เคยเจอมาตลอดชีวิตสิบเจ็ดปีนั่นเลย
"เอ๊า อีมุ้ย อีบ้า! แม่ถามดันทำเป็นปากอมอะไรอยู่อย่างนั้นแหละอีลูกเวร...อีนังมุ้ยมึงจะไปไหน ฝนกำลังจะตก อี..."
เด็กสาวที่มีไข้สูงไม่รอฟังอะไรทั้งสิ้น ต่อให้สายลมแรงกระชากกระชั้นจนกายผ่ายผอมแทบจะปลิวไปตามแรงลม เธอก็ยังพุ่งไปที่รถสตาร์ตเครื่องแล้วบิดคันเร่งสุดความเร็ว มุ่งหน้าไปหาคนเป็นยายนางพรรณีที่พึ่งเดียวในชีวิตของเด็กสาวอาภัพที่ตั้งแต่จำความได้ไม่เคยรู้ว่าแท้จริงใครคือพ่อ...
…ครืน…
เสียงฟ้าคำรามสลับกับแสงสว่างแล่นแปลบปลาบไปทั่วท้องนภายามดึกสงัด กายผ่ายผอมของเด็กสาวเพิ่งเริ่มจะแตกเนื้อสาวบิดคันเร่งแข่งกับสายฝนด้วยสภาพเปียกปอน โชคยังเข้าข้างที่เมื่อสองวันก่อนแม่เลี้ยงสายหยุดเพิ่งทำกุญแจสำรองประตูเล็กด้านข้างมอบให้เธอเอาไว้เข้านอกออกในได้ตลอดเวลา คืนนี้เธอจึงไม่ต้องนอนหนาวตากฝนรอจนกว่าคนงานในบ้านจะตื่นมาในช่วงตีสองตีสาม
แต่เมื่อเข้ามาถึงบนชานเรือน มณีกานต์กลับพบว่ากลอนถูกลงจากด้านใน ยืนตัดสินใจอยู่ราวสิบห้านาที เธอก็ทนต่อความหนาวจับกระดูกต่อไปไม่ไหว จึงจำใจต้องเคาะประตูพร้อมกับตะโกนเรียก ก็ได้เพียงคาดหวังว่าเสียงของเธอจะฝ่าเสียงฝนไปปลุกยายหรือไม่ก็คนในบ้านสักคนให้ตื่นขึ้นมาได้บ้าง
…โครม! ....โครม! ....โครม! ....
“ยายณี…แม่เลี้ยงสาย…นี่มุ้ยเอง เปิดประตูให้หนูหน่อยค่ะ ยายณี…แม่เลี้ยงได้ยินไหมคะนี่มุ้ย เอง…มุ้ยลูกแม่มัทเองค่ะ”
เธอเพิ่มทั้งแรงและเสียงใส่เพิ่มลงไปเรื่อย ๆ ถึงแทบไม่มีหวังแต่เธอก็ต้องเสี่ยง
“ยายณีจ๋า…นี่มุ้ยเองนะคะ ยายเปิดประตูให้มุ้ยหน่อยค่ะ”
…โครม! ...โครม! ...โครม! ...
กายสูงใหญ่ที่คืนนี้อาสามานอนหน้าเตียงของผู้เป็นยายแทนป้าพรรณีเสียเอง ขยับลุกขึ้นนั่งเมื่อคิดว่าเขาได้ยินเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งกำลังร้องเรียก สลับไปกับเสียงทุบบานประตูช่วงซุ้มหน้าชายเรือนไม่ผิดแน่
“มีอะไรหรือพ่อธาม”
แม่เลี้ยงสายหยุดหรือคุณยายที่ธาดาเรียกขานรู้สึกตัวตื่นเพียงหลานชายขยับตัวลุกขึ้นมานั่ง คล้ายกำลังตั้งใจฟังบางอย่างจากด้านนอก
“ผมคิดว่าได้ยินเสียงผู้หญิงร้องเรียกสลับกับทุบบานประตูครับคุณยาย”
นั่นเองที่หญิงชราคิดทันทีว่าหากในยามดึกดื่นขนาดนี้ หากจะมีใครสักคนที่โผล่มาเคาะประตูเรือนชั้นในได้ คงมีแค่เด็กสาวน่าสงสารนามว่ามณีกานต์คนเดียวไม่น่าจะผิดไป
“น่าจะเป็นหลานของแม่ณีแน่ ๆ พ่อธามช่วยไปดูให้ยายหน่อย หากเด็กคนนั้นชื่อมุ้ยก็พาเข้ามาหายายให้ที”
ชายหนุ่มขยับริมฝีปากจะคัดค้านเพราะเกรงว่าจะเป็นคนไม่ดี ก็ดึกดื่นขนาดนี้คนที่ไหนมันจะมาเคาะเรียกบ้านคนอื่น แต่คิดอีกทีก็คงไม่มีโจรหรือขโมยที่ไหนมันเคาะประตูเรียกเจ้าของบ้านอีกเช่นกัน
เขาตวัดผ้าห่มไปอีกทางแล้วก้าวเดินออกไปด้านหน้าเรือน ไฟที่เปิดไว้เพียงดวงเดียวให้แสงเพียงสลัวเลือนราง ธาดาจึงกดเปิดอีกสองดวงเพิ่ม เสียงพายุฤดูร้อนช่วงต้นเดือนเมษายนสาดซัดรุนแรง ดังนั้นพอบานประตูไม้สักทองบ้านหนาหนักเปิดออก ภาพแรกที่ปรากฏต่อสายตาของชายหนุ่มก็คือร่างกายเปียกปอนหนาวสั่นของเด็กสาวคนหนึ่ง
“สะ…สวัสดีค่ะ…คะ…คุณ…ขะ…ขอเข้าไปหายายณีจะได้ไหมคะ”
มณีกานต์พอจะจำได้ว่าแม่เลี้ยงสายหยุดนั้นมีหลานชายอยู่คนหนึ่ง เธอเองก็เคยเห็นเขาไกล ๆ พอจะจดจำเค้าโครงรูปร่างได้ แต่หน้าตากับชื่อนั้นเด็กสาวดันลืมเสียสนิท
“เธอชื่อมุ้ยหรือเปล่า”
ที่จริงเขาเกือบจะไล่เด็กสาวกลับไปเสีย แต่อะไรหลายอย่างในตัวเด็กคนนี้มันว่าเธอกำลังมีเรื่องเดือดร้อนหนัก จึงต้องมารบกวนคนที่เรือนใหญ่ดึกดื่นขนาดนี้
“ค่ะ หนูชื่อมุ้ย มณีกานต์ เป็นลูกสาวของแม่มัท เป็นหลานสาวของคุณยายพรรณี…ฮ๊าด…ชิ้ว…”
คนตอบอธิบายชัดเจนเพราะกลัวจะถูกหลานชายเจ้าของเรือนไล่ตะเพิดกลับ
“อย่างนั้นก็เข้ามา”
เท้าเรียวก้าวข้ามมายืนด้านในเรือนเรียบร้อย ก็คล้ายจะนึกได้ว่าตนเองเปียกโชกเพียงใด เสื้อนอนกับกางเกงเก่าแสนเก่านี้เมื่อถูกน้ำก็แนบเนื้อบางจ๋อย สาวน้อยวัยใสแต่ชีวิตที่ผ่านมาไม่ได้ใสซื่อจึงยกสองแขนขึ้นกอดตนเองแน่น แล้วรอให้หลานชายเจ้าของบ้านเดินนำหน้าไปก่อน
ซึ่งพอธาดาปิดประตูลงกลอนด้านในจนแน่นแล้ว หันมาเจอเด็กสาวยืนหน้าซีดตัวสั่นกอดตนเองแน่นแต่กลับยังไม่ขยับก็แปลกใจ เพราะคาดว่าเด็กสาวคนนี้คงจะคุ้นเคยกับเรือนใหญ่ดี แล้วทำไมไม่เดินไปก่อน แต่พอมองให้ชัดเจนก็ถึงบางอ้อ ชุดนอนมันปกปิดอะไรไม่มิดนี่เอง ชายหนุ่มจึงไม่ถามแต่เลือกจะเดินนำไปแทน
“แม่เลี้ยงรออยู่ในห้อง”
มณีกานต์ก็เข้าใจเด็กสาวเดินอย่างระวังเพราะตนเองเปียกกลัวลื่นล้มคงหมดสภาพ
“เป็นมุ้ยจริงเสียด้วย พ่อธามช่วยหยิบผ้าเช็ดตัวมาให้น้องมันหน่อย เสร็จแล้วช่วยยายอีกนิดไปตามแม่พรรณีที่ห้องเขาหน่อย บอกว่าเจ้ามุ้ยอยู่ที่ห้องของยาย”
เหตุการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้หญิงชราคุ้นเสียแล้ว นับตั้งแต่เด็กสาวอาภัพคนนี้เริ่มสู่วัยสาว แต่ละอาทิตย์หนูมุ้ยหรือมณีกานต์ต้องมาเคาะประตูเรือนใหญ่ อาทิตย์หนึ่งไม่ต่ำกว่าสองคืน เพื่อหลบภัยจากเหล่าเพื่อนชาย ‘คนสนิท’ ของมารดา
…เฮ้อ! ...
สงสารนั้นมาก แต่พอเอ่ยปากว่าตนเองจะรับเอาเด็กสาวมาอยู่เรือนใหญ่ด้วยกัน มณีกานต์ก็บอกแต่ว่าทิ้งแม่ไม่ได้ ลูกหรือก็กตัญญูแต่แม่มันก็ไม่สนใจไปวิ่งตามความรักจอมปลอมบ้าบออยู่นั่น
“มุ้ย!”
พอรู้ว่าหลานสาวโผล่มากลางดึก นางพรรณีแม่บ้านสาวใหญ่วัยห้าสิบห้าปีก็รีบร้อนออกมาหาทันที
“ยาย!”
คนตัวเล็กเห็นผู้เป็นยายก็พุ่งกายเข้าไปกอดจนแน่น ปากก็พูดแต่คำว่า…
“ยายหนูฟาดหัวคนของแม่ ไม่รู้มันจะตายไหม ยายช่วยมุ้ยด้วย มุ้ยกลัวติดคุก”
แม่เลี้ยงเฒ่ายกมือขึ้นมากุมที่หน้าอกตัวเองทันที
“ตายจริง! โธ่เอ๊ยเจ้ามุ้ย นึกอยู่แล้วว่าจะมีวันนี้เข้าสักครั้ง แม่พรรณีพาหลานไปอาบน้ำสระผมก่อนเถอะ เปียกฝนมาขนาดนั้นจะไม่สบายเอา”
ก่อนจะสอบถามให้รู้เรื่อง แม่เลี้ยงสายหยุดก็ไล่ให้คนสนิทพาหลานสาวไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียก่อน
แต่สองยายหลายยังไม่ทันก้าวพ้นประตู มือถือที่นางพรรณีคว้าเอาติดมือมาด้วยก็ส่งเสียงลั่น เด็กสาวนั้นสะดุ้งจนตัวโยน
“ยาย…แม่มัทใช่ไหม…ยายอย่าเพิ่งบอกว่ามุ้ยอยู่กับยายได้ไหม แม่คงโมโหมาก มุ้ย…กลัว”
เด็กสาวส่งสายตาอ้อนวอนผู้เป็นยาย เพราะรู้ดีว่าขนาดกล้าโทร.มาหายายดึกดื่นขนาดนี้แม่คงจะต้องโกรธมากที่เธอไปฟาดศีรษะเด็กคนโปรดของแม่ จนมันถึงกับสลบคาท่อนไม้กระบองแบบนั้น
“ฮัลโล”
‘แม่ อีมุ้ยมันมาหาแม่ใช่ไหม!’
ขนาดไม่ได้เปิดโฟนแต่เพียงกดรับสาย ธาดาที่ยืนกอดอกอิงตัวกับขอบวงกบประตูก็ยังได้ยินชัดเจน
“แกจะบ้าหรือเปล่า เจ้ามัท นี่มันกี่ทุ่มกี่ยามกันแล้ว มาถามหาลูกกับฉัน แล้วแกเป็นแม่อยู่บ้านกับลูกประสาอะไรไอ้มุ้ยมันหายไปไหนถึงไม่รู้”
นางพรรณีไม่ได้เสแสร้งเสียงดุดันแต่นางดุจริงเพราะโมโหมากกับสภาพหลานสาวคนเดียว
‘แม่! ฉันรู้ว่านังมุ้ยมันอยู่กับแม่ บอกมันจะออกมาเองหรือจะรอให้เช้าแล้วมัทไปจิกหัวมันมาด้วยตัวเอง!’
มัทรีที่ตอนนี้ยืนกางร่มอยู่หน้าเรือน คุยมือถือแบบไม่กลัวสายฟ้าเพราะกำลังเดือดดาลจนหน้ามืดตามัวไปหมดแล้ว
“พี่มัทปล่อยลูกสาวพี่ไปก่อนได้ไหม พาผมไปหาหมอก่อนเลือดไหลจะหมดตัวแล้วเนี่ย”
เสียงผู้ชายที่ดังลอดมาตามสายก่อนมันจะถูกตัดไป ทำให้ทุกคนในห้องไม่เว้นแม้แต่ธาดาเองพากันถอนหายใจโล่งอก เพราะคาดว่าไอ้ชั่วคนนั้นคงไม่ตายแล้วอย่างแน่นอน
"พาเจ้ามุ้ยไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะแม่พรรณี ยังไงยายมัทก็ยังเกรงใจฉันอยู่ ยังไงก็คงไม่บุกเข้ามาทุบตีเจ้ามุ้ยจนถึงในบ้านได้หรอก"
เพราะเห็นว่าเด็กสาวตรงหน้าตัวสั่นไปหมด ใบหน้าก็ซีดเซียวปากหรือก็เริ่มจะกลายเป็นสีม่วงไปแล้ว หากช้าเด็กมันคงได้เป็นตะคริวตายก่อนจะถูกแม่มันทุบตี
"ค่ะแม่เลี้ยง ไปเถอะมุ้ย เอ่อ...ขอบคุณ คุณธามมากนะคะที่ช่วยไปเปิดประตูให้เจ้ามุ้ยมันน่ะ"
แม่บ้านสูงวัยที่คุ้นเคยกับชายหนุ่มมาตั้งแต่เขายังเด็กเอ่ยขอบคุณอีกฝ่ายจากใจ
"ไม่เป็นไรหรอกครับป้าณี อย่าคิดมากเลยเราก็เหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน"
เขาไม่ได้พูดเกินจริง แต่สังคมบ้านนอกแบบนี้คนงานในไร่ก็เหมือนครอบครัวใหญ่ ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันเสียมากกว่าสังคมเมืองหลวงที่เพียงจ่ายเงินเดือนเงินรายวันก็แยกย้ายจบกันไป
"น่าเวทนาเจ้ามุ้ยมัน เด็กมันรักดีแต่ผู้ใหญ่กลับไม่ดี"
หญิงชราที่เห็นกันมาตั้งแต่รุ่นของตากับยายของเด็กสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเวทนาจากใจ นางเองช่วงที่มัทรีมารดาของมณีกานต์นั้นดันไปพลาดพลั้งเกิดตั้งท้องแต่ฝ่ายชายหนีหาย ก็เป็นคนให้ความช่วยเหลือจนเด็กน้อยคลอดออกมาเห็นกันมาขนาดนั้นไม่ใช่ลูกหลานก็เหมือนใช่
"ผมเหมือนจะจำเด็กมุ้ยคนนี้ไม่ได้"
ธาดาปิดประตูเรียบร้อยก็มาทรุดกายลงนั่งบนเสื่อกระจูดที่นำมาปูนอนหน้าเตียงของผู้เป็นยายเพราะท่านเดินไม่สะดวก ในเวลาที่เขาไม่อยู่ก็เป็นหน้าที่ของนางพรรณี ทว่าในยามที่เขาอยู่ชายหนุ่มเองก็อยากดูแลท่านให้เต็มที่
"ก็คงแค่ผ่าน ๆ ตา พ่อธามเลยจำน้องมันไม่ได้ เจ้ามุ้ยน่ะมันเด็กรู้ความขี้เกรงใจ ส่วนใหญ่หากไม่ช่วยงานแม่มัทในโรงครัวของไร่ ก็ไปฝึกซ้อมมวยกับลุงตาชาติตรงท้ายหมู่บ้าน บอกว่าต้องเตรียมพร้อมเอาไว้ปกป้องแม่"
แล้วเรื่องราวของเด็กสาวที่โผล่มากลางดึกในขณะที่สายฝนสาดซัดรุนแรง ก็ถูกถ่ายทอดให้ธาดาได้ฟังอย่างละเอียด เพราะทั้งคุณยายและหลานชายก็ต่างนอนต่ออีกไม่หลับแล้ว ทำให้คนที่คิดว่าชีวิตเขามันแย่ พอได้เห็นว่ายังมีคนที่แย่กว่าอย่างเช่นเด็กสาวนามมณีกานต์คนนั้น