EP 10. คิดถึง...อยากเห็นหน้า
“คิดใช่มั้ยคะ”
“คิดอะไร” เขาย้อนถามอย่างไม่เข้าใจ
“ก็คิดไม่ซื่อนะสิคะ รู้อยู่แก่ใจแท้ๆ ของแบบนี้คงไม่ต้องให้ป้าบอกหรอกนะคะว่าคุณปรานต์คิดอะไรอยู่”
เป็นประโยคที่หนักอึ้งราวกับหมัดที่อัดกระแทกเสยปลายคางชายหนุ่มจนล้มคว่ำลงไปให้กรรมการนับสิบ เขาพูดไม่ออกได้แต่มองตามแผ่นหลังท้วมที่กำลังเดินเข้าไปหาปี่แก้ว
“อาปรานต์!”
ปี่แก้วเงยหน้าขึ้นเห็นผู้มีพระคุณก็ยิ้มกว้าง เอ่ยเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงใสกังวานดังก้องเข้าไปถึงในหัวใจที่มืดทึบของคนตัวโต
ใช่...หัวใจของเขากำลังสั่น แค่เห็นรอยยิ้มที่เธอมอบให้ หัวใจที่แสนพยศก็หมอบราบคาบแก้วเสียแล้ว
‘ยอมรับเถอะไอ้ปรานต์...ว่าแกกำลังคิดไม่ซื่ออย่างที่ป้าศรีพูดจริงๆ’
“กลับมาแล้วเหรอคะ”
นั่นไง...โดนเข้าไปอีกดอก น้ำเสียงสดใสกับใบหน้ายิ้มแย้มทำให้เขาถึงกับไปไม่เป็น ได้แต่ตีหน้าเรียบขรึม แล้วพยักหน้าอย่างไว้ท่าที
“หนูปี่ไปหาน้ำเย็นๆ มาต้อนรับพี่เขาสิลูก” ผู้เป็นบิดาหัวเราะเบาในลำคอเมื่อเห็นอาการของบุตรชาย ก่อนจะหันไปสบตากับแม่บ้านศรีที่ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างรู้กัน
“ค่ะคุณท่าน”
ปี่แก้วรีบรับคำแล้วลุกขึ้นเดินผ่านอาหนุ่มไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งจังหวะที่เดินผ่านกลิ่นหอมอ่อนๆ ของแชมพูสระผมกลับทำให้ปรานต์เผลอสูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอดเลยทีเดียว อีกทั้งยังมองตามเจ้าของร่างบางจนแทบเหลียวหลัง
“อะแฮ่ม”
เสียงกระแอมไอของผู้เป็นบิดาทำให้ปรานต์ถึงกับวางหน้าไม่ถูก ก่อนจะแสร้งเสมองออกไปนอกระเบียง แล้วเอ่ยถามถึงสภาพดินฟ้าอากาศ ทั้งที่เขาไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้มาก่อนเลย
“วันนี้อากาศดีนะครับคุณพ่อ”
“ลมอะไรถึงหอบแกกลับบ้านมาได้เสียที” ผู้เป็นบิดาไม่ตอบคำถามแต่กลับเป็นฝ่ายถามเสียเอง
“...” ปรานต์ยืนนิ่ง ให้ตายเถอะ... เขาไม่ได้คิดเตรียมหาเหตุผลของการกลับมา เพราะไม่คิดว่าจะถูกบิดาจี้ถามอย่างจับผิดเช่นนี้
“ผมก็แค่อยากกลับบ้าน” ในที่สุดเขาตอบด้วยท่าทางไม่ยี่หระ พลางเดินไปทรุดนั่งที่ม้านั่งสีขาวนอกระเบียง
“จะลมอะไรล่ะคะคุณท่าน ก็ลมคิดถึงยังไงล่ะคะที่หอบคุณปรานต์กลับบ้าน” ป้าศรีไม่วายสัพยอกพลางอมยิ้มจนตาแทบปิด
“เออ! ท่าจะจริง! ฮาๆๆๆ”
ผู้สูงวัยที่สุดได้ยินคำตอบเช่นนั้นก็หัวเราะร่วนผสานไปกับเสียงหัวเราะของแม่บ้านคนเก่าแก่อย่างอารมณ์ดี ขณะที่ปรานต์ทำเพียงนั่งนิ่งราวกับเสียงหัวเราะขบขันนั้นเป็นเพียงสายลม แสงแดด และฝุ่นควันเท่านั้น
แต่ถ้ามองลึกลงไปก็จะเห็นว่า...
หัวใจของคนตัวโตหน้านิ่งราวกับมาเฟียตัวร้ายนั้น...กำลังเต้นผิดจังหวะเพราะถูกจับได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ และเขากำลังนั่งเก๊กมาดขรึมเพื่อให้มีพิรุธน้อยที่สุด โดยหารู้ไม่ว่าเขาไม่อาจตบตาผู้ให้กำเนิดและผู้ที่เลี้ยงดูฟูมฟักเขามาตั้งแต่แบเบาะได้เลย
เจ้าของร่างสูงยืนรอเด็กในการปกครองอยู่หน้าคฤหาสน์ซึ่งยกสูงด้วยบันไดหินอ่อนทอดยาวหลายระดับ หลังจากอาหารมื้อเที่ยงเสร็จสิ้นลง ป้าศรีก็จัดแจงให้เขาพาปี่แก้วออกไปซื้อหาข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็น
ครั้นเขาจะยื่นเงินให้ป้าศรีพาปี่แก้วไปเอง แต่ป้าศรีกลับบ่ายเบี่ยงอ้างว่าติดงานในครัวปลีกตัวไปไม่ได้ อีกทั้งยังเสนอให้เขาให้เงินปี่แก้วไปหาซื้อของด้วยตนเองเพื่อจะได้ไม่เป็นการรบกวนเขา
แต่เป็นเขานั่นแหละที่ไม่ยอม ก็....ภัยสังคมมีมากมายจะปล่อยให้เด็กสาวไม่ประสาออกไปเดินเตร็ดเตร่ภายนอกเพียงลำพังได้อย่างไร
“มาแล้วค่ะอาปรานต์ ขอโทษที่ให้รอนะคะ”
เด็กสาวเดินออกมาด้วยชุดกระโปรงลายดอกสีมะปรางสดใส ผมยาวสลวยถูกรวบมัดเป็นหางม้าด้านหลัง ใบหน้าหวานผัดแป้งฝุ่นจนนวลผ่อง เธอส่งยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวเรียงเป็นระเบียบน่ามอง
“เอ่อ...อาปรานต์โกรธปี่หรือเปล่าคะ” ปี่แก้วเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าเขาเอาแต่จ้องเธอตาไม่กะพริบ
“โกรธเรื่องอะไร” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันด้วยความงุนงง ก่อนจะหยิบแว่นตากันแดดในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาสวมด้วยความเคยชิน
“กะ...ก็ปี่เอาเสื้อของคุณแม่อาปรานต์มาใส่ แต่ว่าปี่ไม่ได้เข้าไปหยิบเองโดยพลการนะคะ คุณท่านบอกให้ป้าศรีเอามาให้ค่ะ”เด็กสาวรีบอธิบายด้วยน้ำเสียงละล่ำละลัก ทว่าคนตัวโตยังคงยืนนิ่ง
“ถ้าอาปรานต์ไม่ชอบเดี๋ยวหนูจะรีบไปเปลี่ยนค่ะ”
พูดจบก็หมุนตัวเตรียมจะวิ่งกลับเข้าไปข้างใน ทว่าคนตัวโตกลับคว้าข้อมือเล็กเอาไว้ได้ทันเสียก่อน แรงฉุดทำให้ร่างบางเซเข้ามาเกือบปะทะกับอกกว้าง ทั้งสองอยู่ใกล้กันเสียจนรับรู้ได้ถึงลมหายใจร้อนของอีกฝ่าย
“ฉันไม่ได้โกรธ”
“ไม่จริง! อาปรานต์โกรธ” ปี่แก้วเถียงทันควัน ก็ดูสิจ้องมองเขม็งขนาดนั้นจะบอกว่าไม่โกรธได้ยังไงกัน
“ฉันไม่ได้โกรธ!” ปรานต์เถียงกลับและนั่นทำให้เขาตะคอกเสียงดังจนคนตัวเล็กสะดุ้งตกใจ ในดวงตากลมโตมีหยาดน้ำใสเอ่อซึมขอบตาทันที
“ฉะ...ฉันไม่ได้โกรธจริงๆ ที่มองเพราะคิดว่าเธอใส่แล้วดูสดใส เข้ากับเธอดี” เขาพูดเพียงเท่านั้นก่อนจะปล่อยมือ แล้วหันหลังเดินไปยังรถที่จอดไว้ทันที