เอกชัยทำหน้าที่ขับรถโดยมีคุณหนูเอาแต่ใจ ขี้วีน นั่งที่ด้านข้างคนขับเช่นทุกครั้งที่เขาทำหน้าที่เป็นพลขับ ความสนิทสนมตั้งแต่วัยเด็กทำให้นารีรัตน์ไม่ถือตัวกับเอกชัย บางครั้งออกจะกลัวเสียด้วยซ้ำ เป็นเพราะเขาเป็นคนเดียวที่ทั้งดุและว่ากล่าวตักเตือนเธอ ไม่เหมือนกับอัคคีที่ตามใจเธอทุกอย่าง ไม่เคยขัดใจอะไรเธอเลยสักครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่งเอกชัยดุเธอจนร้องไห้ นารีรัตน์จึงไปฟ้องพี่ชาย และนั่นทำให้เอกชัยโดนอัคคีลงโทษ เขาไม่พูดกับเธอเป็นเดือน เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้นารีรัตน์ไม่เคยไปฟ้องอัคคีเลย หากโดนชายหนุ่มมาดเข้มขัดใจหรือดุว่ากล่าว
“จะไปที่ไหนต่อเนี่ยที่นี่เป็นผับอันดับที่สิบแล้วนะครับคุณรัตน์”
น้ำเสียงและใบหน้าของเอกชัยเต็มไปด้วยความเบื่อหน่าย ไม่เข้าใจว่าทำไม ปาริฉัตรและนารีรัตน์ทายาทของตระกูล เนติรัตน์พิบูล ผู้ร่ำรวยและมีชื่อเสียงทางด้านสังคม ต้องเที่ยววิ่งตามผู้ชาย แทนที่ผู้ชายจะวิ่งตาม
“ก็ไปมันทุกที่น่ะแหละ มีหน้าที่ขับก็ขับไปเถอะน่า พูดมากจัง เดี๋ยวตัดเงินเดือนซะเลย”
“อยากตัดก็ตัดไปหางานทำที่อื่นก็ได้ ไม่เห็นง้อเลย”
หากไม่ติดที่บิดาเป็นคนเก่าคนแก่ของที่นี่ เขาไม่มีทางทำงานรับใช้คุณหนูเอาแต่ใจคนนี้แน่
“จะฟ้องพี่คีย์ ให้พี่คีย์จัดการ”
เมื่อทำอะไรเอกชัยไม่ได้ เธอจะพูดคำพูดนี้เสมอ และมันก็ได้ผลทุกครั้งเช่นกัน เพราะเอกชัยไม่อยากมีปัญหากับมือและเท้าของเจ้านายหนุ่มเลือดร้อน และรักน้องจนเกินพอดีมากนัก
“เอ้า!...ขับแม่งรอบกรุงเทพฯ ไปเลย ดูสิว่าจะหาเจอไหม” เอกชัยบ่นเสียงดัง ขับรถออกไปอย่างหัวเสีย ที่ทำอะไรนารีรัตน์ไม่ได้ ส่วนหญิงสาวลอบยิ้มอย่างสมใจที่สามารถข่มขู่เขาได้สำเร็จ
การขับรถตระเวนหาวรวิชญ์ตามสถานบันเทิงต่างๆ สิ้นสุดลงเมื่อเวลาตีสอง รถยนต์ของนารีรัตน์แล่นมาจอดที่หน้าประตูมุขของบ้าน พลขับหนุ่มปรายตามองนารีรัตน์ที่ทำหน้าบอกบุญไม่รับ ตัดสินใจเอ่ยถามคำถามบางอย่าง
“คุณรัตน์ เหนื่อยหรือเปล่ากับการต้องวิ่งตามผู้ชาย” นารีรัตน์หันขวับ เมื่อได้ยินคำถามบาดหู
“ไม่เหนื่อยและไม่มีวันเหนื่อยด้วย พี่วิชญ์เป็นของรัตน์ เป็นของรัตน์คนเดียว”
นารีรัตน์ตะโกนใส่หน้าเอกชัย เขาส่ายศีรษะกับความดื้อด้าน ไม่ยอมรับความจริงของหญิงสาวที่ร่ำรวยเงินทอง แต่ไม่มีสมองคนนี้
“ผู้ชายบางคนเขาไม่ชอบให้ผู้หญิงวิ่งตาม แต่ชอบวิ่งตามผู้หญิงมากกว่า เพราะถ้าเขาวิ่งหนีเมื่อไหร่ นั่นหมายความว่าผู้หญิงคนนั้นไม่มีค่าสำหรับเขา”
วาจาที่นุ่มนวล แฝงไว้ด้วยข้อขบคิด หาได้ทำให้นารีรัตน์รู้สึกตัวไม่ แถมยังกรีดร้องอย่างขัดใจดังลั่นรถ
“กรี๊ดดดด...ไอ้พี่เอกบ้า มาว่ารัตน์ว่าไม่มีค่าเหรอ...ฮ้า!”
“คิดเอาเองสิ เรียบจบก็ตั้งสูง ถ้าคิดไม่ได้ก็ไม่รู้ว่าที่เรียนไป คนเรียนหรือควายเรียน”
เอกชัยตอกกลับอย่างไม่เกรงกลัว
“จะฟ้องพี่คีย์ ให้พี่คีย์เอามีดมาเฉาะปากหมาๆ ของพี่เอก...ฮือ...ฮือ”
เมื่อเถียงไม่ได้ สิ่งที่เธอทำได้คือการร้องไห้ และวิ่งออกไปจากรถยนต์ทันที
ร่างบางวิ่งเข้ามาในบ้านทั้งน้ำตา มีเพียงเอกชัยเท่านั้นที่กล้าว่าเธอ และครั้งนี้ดูเหมือนคำพูดของเขาทำให้บ่อน้ำตาของหญิงสาวแตก เพราะมันเป็นคำพูดที่รุนแรงที่สุด
“รัตน์เป็นอะไร ใครทำ”
อัคคีถามอย่างร้อนรน เมื่อเห็นน้องสาวคนเล็กวิ่งร้องไห้เข้ามาภายในบ้าน เขาเพิ่งเดินทางกลับมาบ้านก่อนหน้าน้องสาวจะมาเพียงสิบนาที รู้จากคนรับใช้ที่บ้านว่านารีรัตน์ออกไปกับเอกชัยตั้งแต่สามทุ่ม เขาจึงนั่งรอเพื่อถามไถ่ว่าไปไหนกันมา ตามประสาคนรักน้อง
“ฮือ...ฮือ...พี่คีย์...ฮือ”
นารีรัตน์ไม่ตอบคำถามของพี่ชาย กอดร่างของพี่ชายดั่งหาที่พึ่ง พร้อมกับร้องไห้ออกมาอย่างหนัก จนคนเป็นพี่ใจคอไม่ดี
“ไอ้เอก ใครทำอะไรน้องกู หรือว่ามึงทำ...ฮ้า”
อัคคีเอ่ยถามเอกชัยที่เดินเข้ามาภายในตัวบ้าน และตั้งท่าจะเดินเข้าไปทำร้ายเอกชัย นารีรัตน์จึงรีบพูดออกไปทันที
“ปะ...เปล่าพี่เอกไม่ได้ทำรัตน์ อย่าทำพี่เอกนะ”
นารีรัตน์ร้องห้าม เพราะเธอไม่อยากให้เอกชัยโดนทำร้าย เพราะกลัวเขาจะโกรธและไม่พูดกับเธอเป็นเดือนอีก
“แล้วใครทำรัตน์ร้องไห้ อยู่ดีๆ รัตน์จะร้องไห้ได้ยังไง”
อัคคีถามน้องสาวเสียงเข้ม
“รัตน์...รัตน์ไปตามหาพี่วิชญ์มา”
ไม่รู้ว่าอัคคีจะสงสารหรือสมน้ำหน้าน้องสาวคนเล็กดี เพราะดูท่าทางของวรวิชญ์ ไม่มีทีท่าว่าจะรักชอบน้องสาวของเขาเลย มีแต่จะวิ่งหนีเสียด้วยซ้ำ แต่เขาไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก เพราะยุทธการและวรวิชญ์เป็นลูกชายของเพื่อนสนิทของบิดา ไม่เช่นนั้นคนที่ทำให้น้องสาวเขาต้องเสียใจและร้องไห้ ต้องไปนอนในโลงศพแทนการยืนอยู่บนพื้นดิน
“แล้วเจอหรือเปล่าคะ”
อัคคีเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นอ่อนโยน กอดปลอบน้องสาวที่เริ่มร้องไห้ไว้ในอ้อมแขนที่อบอุ่นเสมอ เขารู้คำตอบนั้นดีอยู่แล้ว เพราะเขานั่งมองความเคลื่อนไหวของวรวิชญ์ตลอดเวลา ตั้งแต่เข้ามาภายในผับ จนกระทั่งออกจากผับเมื่อเวลาตีสอง แต่กว่าที่ชายหนุ่มรุ่นน้องจะเดินทางกลับได้ ก็ใช้เวลาร่ำลารดาแม่เล้าสุดสวยนานร่วมชั่วโมง ที่ห้องรับรองที่ปิดมิดชิดไม่สามารถมองเห็นภายในห้องนั้นได้เลย พานให้ชายหนุ่มคิดไปไกล ว่าคงต้องเปลื้องผ้าร่ำลากันเป็นแน่
ผู้เป็นน้องสาวส่ายหน้ากับแผ่นอกกว้างของพี่ชาย กอดร่างหนาไว้แน่น และร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้น เสียงร้องไห้ของนารีรัตน์ทำให้ใจของผู้เป็นพี่เจ็บลึก พานนึกถึงตัวต้นเหตุที่ทำให้น้องสาวของเขาต้องเสียใจ
“ไม่ต้องร้องนะคะ...คนดีของพี่ พรุ่งนี้พี่จะพาวิชญ์มาหาที่บ้านนะ...อย่าร้องนะคะ”
เขาพูดเสียงนุ่มดันร่างของน้องสาวออกเพียงนิด ใช้นิ้วเกลี่ยน้ำตาของเธอเบาๆ อย่างนุ่มนวลและอ่อนโยน
“จริงๆ นะคะ...พี่คีย์อย่าโกหกรัตน์นะ” หญิงสาวไม่รู้จักโตพูดทั้งน้ำตา
“พี่เคยโกหกเราหรือเปล่า...ขึ้นไปนอนนะคะ...พรุ่งนี้แต่งตัวสวยๆ รอพี่วิชญ์มาหานะ”
“ค่ะ...งั้นรัตน์ไปนอนก่อนนะคะ พรุ่งนี้ตาจะได้ไม่บวม รัตน์อยากให้พี่วิชญ์เห็นตอนรัตน์สวยๆ”
นารีรัตน์พูด ก่อนจะยืดตัวหอมที่แก้มสากของผู้เป็นพี่ทั้งสองข้าง เดินแกมวิ่งเข้าไปในลิฟต์ของบ้าน เพื่อไปที่ห้องนอนของเธอที่อยู่ชั้นสาม เอกชัยหมุนตัวเพื่อกลับไปที่ห้องของตัวเองเพื่อพักผ่อน หากแต่เสียงของอัคคีดังขึ้นมาเสียก่อน