เอมมิการ์จะมีอาการแพ้ท้องในตอนเช้าทุกวันที่ตื่นนอน ดีที่ไม่แพ้กลิ่นอาหารยังคงทานได้ปกติ หญิงสาวจะอาเจียนเฉพาะตื่นนอนในตอนเช้าเท่านั้น เมื่ออาบน้ำแต่งตัวใส่ชุดนักศึกษาชุดเดิมที่เคยหลวม แต่ตอนนี้มันไม่หลวมแล้ว มันเริ่มแน่นเมื่อเจ้าตัวเล็กเริ่มโตขึ้น เพราะตอนนี้อายุครรภ์ได้แปดสัปดาห์แล้ว
“มาแล้วเหรอลูก” จันทร์หอมทักทายพร้อมกับพยักหน้าให้เด็กรับใช้ตักข้าวต้มปลาให้ตัวเองและของเอมมิการ์ด้วย
“ค่ะ คุณแม่”
“วันนี้ให้คนขับรถขับรถไปส่งนะหนูเอม แม่ไม่อยากให้หนูเอมไปเบียดกับคนบนรถเมล์”
“ไม่เป็นไรค่ะคุณแม่ วันนี้น่านจะมารับเอมค่ะ”
“อืม...พ่อน่านเนี่ยเป็นคนดี ถ้าหนูเอมจะคบกับพ่อน่าน แม่ก็สนับสนุนนะ”
“เอมไม่กล้าหรอกค่ะคุณแม่ ตอนนี้เอมไม่ได้ตัวคนเดียวแล้ว” เธอที่นั่งลงก้มมองท้องตัวเองที่อีกไม่นานคงป่องโตและทุกคนที่คณะก็คงรู้ว่าเธอกำลังตั้งครรภ์ และเมื่อตอนนั้นก็คงได้ดรอปเรียนแน่นอน เพราะเธอตั้งใจไว้แล้วว่าสอบเทอมนี้เสร็จจะทำเรื่องดรอปเรียนไว้ก่อน
“ไม่พูดแบบนั้นสิลูก กินข้าวเถอะ เดี๋ยวพ่อน่านมาจะได้ไม่ต้องรอนาน”
“ค่ะ คุณแม่” แล้วเธอก็ก้มหน้าทานข้าวต้มในชามตรงหน้า ส่วนจันทร์หอมก็หันไปส่ายหน้าให้นมอิ่มคนสนิทของตัวเอง ก่อนจะหันมาสนใจข้าวต้มปลาตรงหน้าตัวเอง
“ไม่ไหวแล้วนะนมอิ่ม เนี่ยตาศึกมันยังมีแม่อยู่ไหม มันไม่กลับมาบ้านสามเดือนจะสี่เดือนแล้วนะ เนี่ยมันจะโผล่มาตอนฉันนอนในโรงรึไง” เมื่อเอมมิการ์ออกไปเรียน นางก็เอ่ยกับคนสนิทตัวเองทันที
“คุณจันทร์ก็รู้ว่าคุณศึกเป็นคนยังไง”
“เพราะรู้จักมันดียังไงล่ะถึงโกรธอยู่แบบนี้ จะโกรธจะน้อยใจฉันไปถึงไหน โทรหาก็ไม่รับสาย และไม่คิดจะโทรมาถามฉันเลยรึไงว่าฉันสบายดีไหม ฉันแก่แล้วนะนมอิ่ม ทำไมพ่อตัวดีของหนุ่มอิ่มถึงนิสัยแบบนี้ฮึ”
‘พอกันทั้งแม่ทั้งลูกเลย คิดถึงกัน ห่วงกัน ก็ไม่ยอมลดฟอร์ม’ นมอิ่มพึมพำในใจ เพราะนางนั้นเป็นสายข่าวส่งข่าวเรื่องเจ้านายให้จับศึกทุกวัน
“งานคุณศึกอาจจะยุ่งก็ได้ค่ะคุณจันทร์”
“งานยุ่งยังไงก็ต้องกลับมาบ้านมั่ง และเนี่ยไม่พาหนูเอื้องมาไหว้มาทานข้าวที่บ้านเลย วันก่อนฉันไปออกงานเจอหนูเอื้องถึงได้พูดคุยกัน ดูสิลูกคนนี้ ไม่ได้การแล้ว วันนี้ถ้าฉันโทรไปไม่รับสายฉัน ฉันจะไปหาที่ออฟฟิศเลยนมอิ่ม”
พูดจบนางก็คว้าหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่โต๊ะกลางตรงหน้าขึ้นมากดต่อสายหาลูกชายทันที และก็เหมือนทุกครั้งที่ปลายสายกดตัดสายทิ้งเหมือนเดิม
“ให้มันได้แบบนี้สินมอิ่ม มันน่านัก ไม่เป็นห่วงแม่หัวหงอกอย่างฉันรึไง ไปบอกคนรถเตรียมรถให้หน่อยนมอิ่ม ฉันจะไปออฟฟิศ ให้มันรู้ไปว่าวันนี้จะไม่ยอมกลับบ้านมากินข้าวเย็นกับฉัน จะเป็นพ่อคนแล้วยังไม่รู้ตัวอีก”
พูดจบนางก็ลุกเดินออกจากห้องนั่งเล่นไปยังชั้นสองเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า หยิบกระเป๋า ส่วนนมอิ่มก็เดินออกไปทำตามคำสั่งของเจ้านาย
เลขาหน้าห้องยังไม่ทันได้โทรมาแจ้ง ประตูห้องทำงานก็ถูกผลักเปิดกว้างออกพร้อมกับร่างเล็กผอมของแม่เดินแทรกตัวผ่านประตูเข้ามา เขาที่นั่งอยู่ก็รีบลุกจากเก้าอี้เดินไปหาท่านพร้อมประคองท่านไปนั่งที่โซฟารับแขกในห้องทำงานตัวเอง
“ทำไมแม่จันทร์ไม่บอกก่อนว่าจะมาหาศึก”
“บอกก่อน? กล้าถามแม่นะตาศึก โทรหากี่ครั้งก็ไม่รับสาย แถมตัดสายแม่ทิ้ง อ้อ...ยังดีที่จำได้ว่ามีแม่แก่ๆ หัวหงอกอยู่ที่บ้าน”
“ไม่เอาสิครับแม่จันทร์ ก็แม่จันทร์ไล่ผมออกมาเอง”
“แล้วลูกก็ไม่คิดจะกลับไปหาแม่เนี่ยนะ แม่มีศึกเป็นลูกคนเดียวนะตาศึก เย็นนี้ไปกินข้าวกับแม่นะ เราไม่ได้กินข้าวด้วยกันนานแล้วนะ แม่ก็ไม่ได้เจอหน้าลูกนานด้วย เอ๊ะ! หน้าลูกซูบลงไปเยอะเลยนะ งานหนักเหรอพ่อศึก” นางจับแก้มลูกชายที่ตอบลงอย่างเห็นได้ชัด
“นิดหน่อยครับ” จริงๆ งานไม่หนัก แต่ไม่รู้ว่าพักนี้เป็นอะไร ทานอะไรก็ไม่อร่อย เบื่อหน่ายไปหมด แต่กับของเปรี้ยวของดองที่ไม่เคยชอบและไม่นึกอยากกินก็อยากกินแทบทุกวัน “แล้วลูกสาวของแม่จันทร์ล่ะครับ”
“ไม่เอาน่า หนูเอมน่ะน่าสงสารนะตาศึก ยังไงลูกชายแม่ก็สำคัญที่สุด แม่รักลูกกว่าใคร เนี่ยแม่มาง้อแล้วนะ กลับไปอยู่บ้านเรานะลูก”
“แล้วเด็กนั่น”
“ก็ต่างคนต่างอยู่ ศึกรับปากแม่ได้ไหมล่ะว่าจะไม่ทำแบบนั้นกับน้องอีก น้องน่าสงสาร”
จริงๆ นางอยากให้ลูกชายกลับไปอยู่ด้วย เพราะอยากให้ลูกชายรู้เรื่องที่ตอนนี้เอมมิการ์กำลังตั้งครรภ์ ในเมื่อรับปากเด็กสาวไว้ว่าจะไม่ให้บอกพ่อตัวดีของนาง นางก็เลยอยากให้จับศึกไปดูและเห็นด้วยตาตัวเอง นางไม่ผิดสัญญานะ นางไม่ได้พูด เพราะจับศึกรู้และเห็นด้วยตาเอง
“อืม! ก็ได้ แม่จันทร์ง้อผมเองนะ แล้วผมจะใจดำไม่สนใจได้ไง ผมย้ายกลับไปอยู่บ้านก็ได้ครับ” เขาบอกท่านอย่างคนมีฟอร์มทั้งๆ ที่ใจนั้นกำลังโลดเต้นดีใจ เขาอยากกลับไปเห็นเอมมิการ์ อยากเจอหน้า อยากพูดคุย
“งั้นเย็นนี้เจอกันที่บ้านนะพ่อศึก ชวนหนูเอื้องไปกินข้าวด้วยล่ะเย็นนี้ วันก่อนแม่เจอหนูเอื้องที่งานเลี้ยงการกุศลน่ะ”
“ครับผม เดี๋ยวพาว่าที่ลูกสะใภ้ไปไหว้ครับ เอื้องก็บอกผมอยู่ว่าเจอแม่จันทร์”
“อือ...แม่กลับล่ะ จำไว้นะพ่อศึก ก่อนจะทำอะไรคิดให้ดีก่อนที่ทุกอย่างจะสายจนกลับไปแก้ไขไม่ได้แล้ว”
นางพูดทิ้งท้ายเป็นปริศนาให้ลูกชายได้ขบคิดก่อนจะลุกขึ้นจากไปโดยมีลูกชายประคองเดินไปส่งที่หน้าประตูห้อง และเมื่อส่งแม่เสร็จก็กลับมานั่งที่เก้าอี้ทำงาน คิดกับคำพูดที่ชวนให้งงของแม่ตัวเอง แต่นึกคิดเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจความหมายที่ท่านจะสื่อในประโยค
“แปลก ทำไมแม่จันทร์พูดแบบนั้นนะ” เขาพึมพำกับตัวเองแล้วคว้าหยิบโทรศัพท์ที่วางใกล้มือมากดต่อสายหาแฟนสาวตัวเองเพื่อจะชวนไปทานข้าวที่บ้านตัวเองเย็นนี้