‘ให้พี่ติณณ์ ค่ะ .. ตะวัน’
ทั้ง ๆ ที่เธอก็เคยเรียกเขาว่า ‘พี่’ แล้วทำไมเธอถึงไม่เรียกเขาแบบนั้นอีกเล่า คำสรรพนามที่เธอเรียกเขานั้น เปลี่ยนเป็น 'คุณ' ที่ฟังแล้วให้ความรู้สึกให้เหินห่างยิ่งนัก
เธอหรือว่าเธอจะโกรธ แต่จะโกรธเขาเนื่องด้วยเหตุใดเล่า
เหมือนติณณ์จะได้ยินเสียงพ่อที่เอ่ยแทรกขึ้นท่ามกลางความคิดของเขาอีกครั้ง พ่อเดินทางมาเยี่ยมเขาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนหน้าที่ท่านจะเสีย
‘พ่อจะให้ตะวันเรียนที่โรงเรียนดรุณีฯ’
พ่อของเขาคงหมายถึงโรงเรียนที่ท่านให้เงินสนับสนุน ติณณ์รีบค้านออกมาเบา ๆ ‘นั่นมันโรงเรียนประจำนี่ครับ’
‘ใช่’ เตชสิทธิ์พยักหน้ารับช้า ๆ ‘สายใย สายสัมพันธ์ สัญ -ชาติญาณ...จะเป็นสิ่งที่ทำให้ตะวันรู้สึกปลอดภัยและอบอุ่นดีกว่าอยู่ที่นี่ ถึงเวลาที่ต้องคืนให้ตะวันแล้ว’ คำพูดที่คล้ายกับรำพึงรำพันของพ่อนั้น ทำให้ติณณ์ ขยับจะเอ่ยปากถาม แต่ท่านกลับยกมือขึ้นมาห้าม ว่าอย่าได้ถามสิ่งใดออกมาอีก นั่นทำให้ติณณ์ทำได้เพียงแค่รับฟังด้วยความติดใจและสงสัย
‘คุณพ่อต้องให้ตะวันไปเรียนอยู่ที่นั่น มีเหตุผลอะไรหรือครับ’
‘ใช่ ..ให้ตะวันได้อยู่ที่นั่น เพราะเป็นที่ที่เหมาะสมที่สุด’ เตชสิทธิ์พยักหน้าพลางจ้องหน้าบุตรชาย
‘ที่ที่เหมาะสม’ ติณณ์ทวนคำเบา ๆ อย่างงงงวย นี่พ่อเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่ เขาไม่เห็นเข้าใจ แต่เขาคิดว่าเรื่องนั้นจะต้องเกี่ยวพันกับเพียงตะวันอย่างแน่นอน
ผู้สูงวัยค่อย ๆ เหลียวมามองดูใบหน้าบุตรชายช้า ๆ ด้วยสายตาแปลก ๆ ทำให้เขาจะเอ่ยถามอีกครั้งเพื่อขยายความกระจ่าง แต่เตชสิทธิ์กลับส่ายหน้าห้ามเอาไว้ก่อน ตามด้วยน้ำเสียงเรียบแต่เฉียบขาดของท่าน
‘บอกแล้วไง แกยังไม่จำเป็นต้องรู้ตอนนี้หรอก แค่สัญญากับพ่อว่า ถ้าหากวันไหนพ่อเป็นอะไรไป แกจะช่วยดูแลตะวันให้ดีต่อจากพ่อแค่นี้ได้รึเปล่า’
ด้วยสายตามุ่งมั่นที่จับจ้องใบหน้าเขานิ่ง อีกทั้งใบหน้าที่ไม่มีแววขี้เล่นเหมือนเมื่อ ทำให้ติณณ์รู้สึกทั้งแปลกใจทั้งหวั่นใจในขณะเดียวกัน ‘ครับ ผมจะทำตามที่คุณพ่อสั่ง และทำให้ดีที่สุด’
เท่านั้นแหละรอยยิ้มเยื้อนที่อย่างยินดีก็ปรากฏบนใบหน้าของคุณเตชสิทธ์ หลังจากได้ฟังคำรับปากที่หนักแน่นจากลูกชายของตน
ในเวลาเดียวกันที่ห้องนอนของสกาวใจ เจ้าของห้องกำลังเดินไปมา ปากก็พร่ำคำพูดอบรมน้องชายที่นั่งทำหน้าเซ็งอยู่บนเตียงโดยมีลูกสาวนั่งอยู่ใกล้ๆ
“แกน่ะ ทำอะไรทำไมไม่รู้จักระวังตัว สันดานที่เห็นผู้หญิงแล้วมีอารมณ์น่ะ เมื่อไหร่มันจะหายไปสักที”
“ถ้าหายไปได้ง่าย ๆ เขาก็ไม่เรียกว่าสันดานน่ะสิคะ คุณแม่ขา คิก ๆ ” เอมอรสวนขึ้นทันควัน ทำให้วรวุธต้องยกมือขึ้นมาเขกศีรษะหลานสาวหนึ่งทีอย่างหมั่นไส้
“โอ๊ย! อาวุธน่ะ” เด็กสาวตวาดแว้ดพลางยกมือขึ้นมาลูบหัวป้อย ๆ
“แหม คุณพี่ครับ ผมก็แค่เข้าไปทักทายแม่นั่นเท่านั้น แต่แม่นั่นทำเป็นหวงเนื้อหวงตัว ทำตัวราวกับเป็นนางฟ้านางสวรรค์ที่ไหน ผมก็เลยหมั่นไส้ หึ!”
“ถึงยังงั้นก็เถอะ ดีนะที่เจ้าติณณ์มันไม่สืบสาวเอาเรื่องเหมือนคราวที่พ่อมันเคยทำน่ะ” สกาวใจหยุดเดิน หันหน้ามาถามน้องชาย ห้วน ๆ ด้วยสายตารู้ทัน “แล้วมานี่มีธุระอะไรอีก”
“พี่มีเงินให้ผมยืมมั้ย” วรวุธบอกเสียงอ่อย ๆ พลางยกมือขึ้นมาลูบต้นคอแก้อาการลำบากใจ
“อีกแล้วเหรอ!”
“เอ่อ... ผมขอยืมไปใช้เป็นทุนหน่อยน่ะ"
“คราวที่แล้วแกก็เอาไปตั้งสองแสน คงละลายอยู่ในบ่อนหมดแล้วล่ะสิ”
“โธ่...พีก็...” วรวุธทำหน้าปุเลี่ยน ๆ ที่พี่สาวเขารู้ทัน
“คุณแม่คะ ถ้าจะให้อาวุธ คุณแม่ก็ต้องให้เอมด้วยนะคะ” ลูกสาวจีบปากจีบคออย่างไม่ยอมเสียเปรียบ เรื่องอะไร ถ้าจะให้น้อง ก็ต้องให้ลูกสาวด้วยสิ เอมอรพูดดวงตาเป็นประกาย เมื่อคิดถึงรถยุโรปนำเข้ารุ่นใหม่ในแค็ตตาล็อกที่เธออยากจะเป็นเจ้าของ ซึ่งจะขับมันโฉบไปมาที่มหาวิทยาลัยในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
คนที่ถูกรุมขอเงินนั้นแทบจะกรีดเสียงร้องเมื่อฟังคำพูดของบุตรสาว ลำพังค่าใช้จ่ายของเธอที่จะใช้ห่อหุ้มตัวเองให้ดูเป็นคนมีฐานะมั่นคงในแต่ละวันที่นึกเป็นตัวเงินมันก็มากโขอยู่แล้ว ไหนจะหนี้สินก้อนโตจากการบริหารกิจการที่ผิดพลาดอีก นึกแล้วความหงุดหงิดก็แล่นขึ้นมาเป็นริ้ว ๆ สกาวใจถึงกับเปล่งเสียงกร้าวขึ้นมาทันที
“ไม่มี ฉันไม่มีเงินก้อนโต มาให้แกสองคนถลุงเล่นเหมือนแต่ก่อนหรอกนะ!”
ได้ยินดังนั้น ใบหน้าของวรวุธก็สลดวูบ ความหวังที่จะเอาเงินก้อนจากพี่สาวไปผัดผ่อนหนี้สินส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งจะเอาไปทำทุนต่อที่บ่อมลายหายไปในพริบตา ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจเซ็ง ๆ เขาจะหาเงินที่ไหนไปใช้ในเย็นนี้ได้อีก ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาอาจไม่เดือดร้อนถึงเพียงนี้ ในเมื่อตอนนั้นเขามีแบงค์เคลื่อนที่อย่าง กีรตินา ภรรยาหน้าโง่ ลูกสาวเจ้าสัวใหญ่ของเมืองภูเก็ต แต่ตอนนี้ก็ไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว เมื่อเธอเพิ่งฟ้องหย่าจากเขาไปเมื่อเดือนก่อน ยิ่งคิดวรวุธก็ยิ่งเครียด
“ แกน่ะมันโง่...เมียรวย ๆ ซื่อบื้ออย่าง กีรตินา ยังทำให้เธอมาฟ้องหย่าได้ เงินเป็น ร้อย ๆ ล้านยังปล่อยให้หลุดมือไปอีก ฉันมันมีกรรมจริง ๆ มีน้องก็โง่ มีสามีก็โง”
นั่นปะไร!! พี่สาวตนจะต้องเอาเรื่องนี้มาซ้ำเติมเขาอีกเช่นเคย... วรวุธเบ้หน้าขบคิดอย่างเซ็งๆ
เมื่อต่อว่าวรวุธจนหนำใจ สกาวใจก็หันมาเล่นงานบุตรสาวที่นั่งแกว่งขาอยู่บนเตียงต่อ “แกก็เหมือนกันแหละ ยัยเอม! ตอนที่ไอ้แก่มันอยู่ บอกให้รีบประจบประแจงเอาใจมันไว้ ปล่อยให้นังตะวันมันประจ๋อ ประแจ๋อยู่นั่นแหละ ก่อนมันตายมันจะให้อะไรตอบแทนแกบ้าง...”
“แต่..นังตะวันก็ไม่ได้อะไรนี่คะคุณแม่” เอมอรลูกสาวรีบแย้งเสียงขึ้นจมูก
สกาวใจทำเสียงจิ๊กจั๊กในลำคออย่างหงุดหงิด ที่ลูกสาวชอบยอกย้อน เธอพ่นลมหายใจออกมาชุดใหญ่
“เสียแรงที่ตอนมันอยู่ฉันอุตสาห์เอาอกเอาใจ ดูแลมันสารพัด แทนที่มันจะเห็นคุณงามความดีที่ฉันมีให้ ยกทรัพย์สินให้อย่างเหมาะสมบ้าง อย่างน้อยให้บ้านหลังนี้ก็ยังดี นึกแล้วเจ็บใจจริง ๆ นี่จะโดนลูกชายมันไล่ออกจากบ้านไปเมื่อไร่ก็ไม่รู้” ยิ่งพูดก็ยิ่งเจ็บใจ ความน้อยใจจุกอยู่ตรงลำคอ สกาวใจกล้ำกลืนความรู้สึกนั้นลงไป ก่อนที่มือทั้งสองข้างจะเผลอกำเป็นหมัดแน่น
แล้วในใจก็พลันคิดถึงความฝันของวันวาน...ด้วยหวังว่าจะสุขสบายหลังจากทำการลุงทุน ‘จับ’เศรษฐีหนุ่มใหญ่เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วพังทลายไม่เป็นท่า ในวันที่ทนายประจำตระกูลเปิดพินัยกรรม โดยสิทธิ์ของเธอในกองมรดกอันมหาศาลของ อนันท์ตระการ ได้เพียงแค่ร้านเสื้อผ้านำเข้าและร้านเพชรที่ใกล้จะเจ๊ง ส่วนบ้านใหญ่หลังนี้ที่มูลค่านับร้อยล้านเธอและลูกสาวมีสิทธิ์เพียงแค่ผู้อยู่อาศัย จะอยู่ที่นี่ไปตราบนานเท่าไหร่ก็ได้ แต่ว่าไอ้สิทธิ์แค่นั้นมันจะไปมั่นคงได้อย่างไรกัน หากเจ้าของบ้านจริง ๆ เขาเบื่อขี้หน้า แล้วลุกขึ้นมาชี้หน้าไล่เธอและลูกสาวออกจากบ้าน แล้วจะให้เธอดันทุรังรังอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกันเล่า
ความคิดทั้งหลายทั้งปวงของสาวใหญ่ลำดับภาพออกมาเป็นฉาก ๆ ฉายชัดอยู่ในดวงตา ภาพมันชัดเจนจนทำให้สาวใหญ่คนนี้เกิดความหวาดประหวั่นพรั่นพรึง ๆ อย่างไม่ยอมแพ้ในความอับจนหนทาง ไม่หรอก...ไม่มีทางเสียหรอก คนอย่างสกาวใจจะ ไม่มีทางจนตรอกง่าย ๆ อย่างแน่นอน