ตอนที่ 2 - 2

1881 คำ
‘ตะวัน มาดูนี่สิ ... รูปของเจ้าติณณ์ เท่ห์มั้ย’ คนที่ถูกเรียกกำลังง่วนอยู่กับการระบายสีรูปที่เธอเพิ่งวาดอย่างเสร็จ เงยหน้าขึ้นมาพลางใช้หลังมือปัดปอยผมที่ติดอยู่บนแก้มเนียนออกด้วยความรำคาญ แล้วส่งรอยยิ้มที่แจ่มใสให้กับคนเรียกหนึ่งที ก่อนจะผุดลุกขึ้นจากพรมชั้นดี เดินเข้าให้ไปหาคุณลุงเตชสิทธิ์ที่นั่งอยู่บนโซฟาสีครีม จากนั้นก็ก้มมองดูรูปถ่ายใบหนึ่งในมือของคุณลุง แล้วเด็กหญิงก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีใบหน้าไม่แตกต่างจากคุณลุงเตชสิทธิ์นัก ทั้งคิ้ว หน้าฝาก รวมไปถึงริมฝีปากบางได้รูปสวยนั้นกำลังแย้มยิ้มเล็กน้อย สวมชุดสกีกอดอกด้วยมาดนิ่ง ๆ เบื้องหลังร่างสูงนั้นเป็นภูเขาที่มีหิมะขาวโพลนตัดกับท้องฟ้าสีคราม แล้วในเวลานั้นเธอก็นึกออกได้ทันทีว่าเขาเป็นใคร… ติณณ์ อนันท์ตระการ บุตรชายคนเดียวของคุณลุงเตชสิทธิ์ ตอนนี้เขากำลังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยชื่อดังในอังกฤษ ลูกชายของคุณลุงจะใจดีเหมือนคุณพ่อของเขารึเปล่านะ เพียงตะวันอยู่ในใจ คุณเตชสิทธิ์ที่จับจ้องใบหน้าของเด็กหญิงตลอด ดูกิริยาแอบขบคิดของออก ผู้สูงวัยเห็นดวงตากลมโตของเด็กน้อยที่มีแววคล้ายสงสัยอยู่ในทียามจับจ้องรูปถ่ายใบที่อยู่ในมือจึงเอ่ยถามอย่างเอ็นดู ‘หนูสงสัยอะไรรึ ตะวัน’ ‘คุณติณณ์...’ ‘เรียกเขาว่าพี่ติณณ์สิ’ ‘ค่ะ พี่ติณณ์ พี่ติณณ์เขาจะใจดีเหมือนคุณลุงมั้ยคะ’ เพียงตะวันเอียงคอเอ่ยถามด้วยดวงตาแป๋วแหววแสดงให้เห็นถึงความไร้เดียงสาของเด็กหญิง ‘ใจดีสิ' คนถูกถามหัวเราะน้อย ๆ 'ลูกชายของลุงเขาใจดีมาก ๆ รู้ไว้นะ วันไหนที่ไม่มีลุง ติณณ์เขาจะดูแลหนูอย่างที่ลุงดูแล เขาจะไม่มีวันทอดทิ้งหนูเด็ดขาด จำไว้’ ไม่มีวันทอดทิ้งอย่างนั้นหรือ คุณลุงคงประเมินบุตรชายของตนผิดไปกระมัง เพียงเขาก้าวเข้ามาในบ้านหลังนี้ไม่ถึงหนึ่งวัน เขาก็ให้เธอไปอยู่ที่อื่นเสียแล้ว .... ใจร้าย คนใจร้าย เพียงตะวันย้อนรำลึกไปถึงตอนนั้น แล้วความน้อยใจก็บังเกิดในจิตใจของเด็กสาว การที่เธอถูกย้ายให้เข้าไปอยู่ในหอพักอย่างกะทันหัน มันเหมือนกับว่าเธอกำลังโดนใครบางคนผลักไสให้ก้าวเข้าสู่โลกของความเดียวดายอีกครั้ง ซึ่งความรู้สึกเจ็บปวดแบบนี้เธอก็เคยได้รับมาแล้วเมื่อครั้งที่มารดาของเธอหนีหายออกไปจากชีวิต เหตุการณ์ในครั้งนั้นสร้างบาดแผลที่ลึกไปถึงหัวใจ แถมยังทำให้เธอรู้สึกปวดแปลบอยู่ในใจยามที่นึกถึง พอมันเกิดเหตุการณ์คล้าย ๆ กันขึ้นมาอีกครั้ง แน่นอนว่าบาดแผลนั้นย่อมแตกปริออกมาใหม่ นำมาซึ่งความเจ็บปวดทุรนทุรายไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เธอไม่ชอบเลย... ไม่ชอบความรู้สึกของคนที่ถูกผลักไสเลย! เพียงตะวันรู้ตัวดีว่ารู้สึกน้อยใจและเสียใจมากแค่ไหนที่ถูกส่งไปอยู่โรงเรียนประจำ เพราะต่อให้มีชื่อเสียงแค่ไหน มันก็ทำให้เธอรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้างอยู่ดี ความมีชื่อของโรงเรียนดูจะไม่สามารถเติมเต็มส่วนที่ขาดหายในชีวิตของเธอได้เลยสักนิด เนื่องจากสิ่งที่เธอต้องการนั้นก็คือ คำว่า 'ครอบครัว' นั่นเอง ถึงแม้จะคอยปลอบใจตัวเองเสมอว่า ไม่เป็นไร เธอจะขออยู่ ดูแลตัวเอง แต่เพียงตะวันก็พบว่า คำพูดที่เธอคอยย้ำและเฝ้าปลอบประโลมจิตใจตัวเองนั้นมันก็ไม่ต่างจากคำหลอกลวง เธอยังรู้สึกเสียใจ อยู่ข้างในลึก ๆ การทำตัวเป็นคนเข้มแข็งแสดงให้คนอื่นได้เห็นว่าเธอสามารถอยู่ได้ตามลำพัง โดยการอยู่หอพักในช่วงวันหยุด หรือแม้แต่ปิดเทอมนั้น แท้ที่จริงแล้วมันก็คือการประท้วงเงียบของเธอต่างหาก ประท้วงเพื่ออยากให้ ใครบางคน ได้รับรู้ และรู้สึกผิดที่เห็นเด็กสาวคนอยู่ที่โรงเรียนเมื่อปิดภาคการศึกษา ช่วงเวลาปิดเทอมอันแสนเหงาและโดดเดี่ยวของเธอนั้นกลับช่วงเวลาที่มีความสุขของเพื่อน ๆ ที่จะได้เก็บของใส่กระเป๋ามีคนมารับกลับไปอยู่ที่บ้านกับครอบครัว ยิ่งคิดเพียงตะวันก็ยิ่งหดหู่ใจ แล้วห้วงคำนึงของเด็กสาวจึงหมุนเข็มนาฬิกาย้อนกลับไปช่วงเวลาดั่งเดิมอีกครั้งหนึ่ง ‘แล้วนั่นตะวันกำลังทำอะไรอยู่เหรอลูก...’ คุณลุงหันไปมองจุดที่มีอุปกรณ์มากมายวางเกลื่อนอยู่ ‘ตะวันกำลังวาดรูปค่ะ’ ‘วาดรูปหรือ เออ ..ดี ๆ งั้นหนูก็กลับไปทำงานต่อได้เถอะ’ ผู้สูงวัยเอ่ยอย่างอ่อนโยน หากแต่แววตาของเพียงตะวันที่ยังจ้องรูปถ่ายในมือของตนเขม็ง ทำให้รู้สึกฉงนจึงได้ตามต่อว่า ‘มีอะไรอีกรึเปล่า’ เธอเงยหน้าขึ้นมองคนถาม ดวงตาทั้งคู่ของคุณลุงนั้นฉายแววเอ็นดูอยู่เต็มเปี่ยมทำให้เด็กหญิงเพียงตะวันกล้าจะเอ่ยขออนุญาตนำของที่อยู่ในมือของท่านไปทำการอย่างใดอย่างหนึ่งที่เธออยากจะทำ ‘ตะวัน อยากได้รูปพี่ติณณ์ ไปเป็นแบบวาดรูปได้มั้ยคะ’ พอได้ยินคำขออนุญาต เตชสิทธิ์ก็จึงระเบิดเสียงหัวเราะลั่นด้วยความชอบใจ นึกว่าเธอจะขออะไรที่มันมากมายเสียอีก ‘ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ล่ะตะวัน เอาสิ วาดแล้วลุงขอดูด้วยนะ เผื่อบางทีลุงจะได้ส่งไปให้เจ้าติณณ์มันดูด้วย’ ‘จริง ๆ เหรอคะ’ เธอถามต่อด้วยความตื่นเต้น ที่ผู้สูงวัยที่บอกว่าจะส่งรูปภาพที่เธอวาดไปให้ใครบางคนที่อยู่อีกซีกโลกหนึ่งได้เห็น และนั่นดูจะเป็นการประกาศศักดาในงานวาดรูปของตัวเองอยู่กลาย ๆให้เขาคนนั้นได้รับรู้ว่า ฝีมือของเธอมันก็ใช้ได้ดีทีเดียว ไม่อย่างนั้นคุณลุงเตชสิทธิ์ท่านคงไม่ชมบ่อย ๆ หรอกว่าเธอวาดรูปสวย ‘จริงสิ’ ผู้สูงวัยรับคำ แล้วยื่นรูปถ่ายบุตรชายให้เพียงตะวัน ซึ่งอมยิ้มรับของในมือของตนก่อนจะกลับไปนั่งที่เดิม แล้วฮัมเพลงเสียงใสอย่างอารมณ์ดี ขณะที่เพียงตะวันย้อนเข็มนาฬิกากลับเข้าไปสู่ห้วงอารมณ์อันหลากหลายมีทั้ง โดดเดี่ยว และเปี่ยมสุข ทางด้านติณณ์ก็กำลังใคร่ครวญถึงความแปลกประหลาดอย่างหนึ่งที่บังเกิดขึ้นในใจตนอย่างเงียบ ๆ ทำไมเขาถึงได้รู้สึกผูกพัน และเหมือนประหนึ่งว่าตนได้อยู่ใกล้ชิดเด็กสาวคนนี้อยู่ตลอดเวลา...ทั้ง ๆ ที่เธอกับเขาเคยอยู่ร่วมบ้านกันแค่กี่เดือนเท่านั้น เขาก็ถูกบิดาจับส่งไปเรียนต่อยังนิวซีแลนด์และอยู่ที่นั่นมาตลอด...จนกระทั่งเรียนจบไฮสคูล จึงตัดสินใจไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยชื่อดังในอังกฤษ น่าแปลก ทั้งที่เขาได้รับรู้เรื่องราวจากบิดาของตนเองเท่านั้น หากแต่เขากลับรู้สึกผูกพันกับเธออย่างประหลาด เสมือนหนึ่งว่าเป็นคนที่ใกล้ชิดสนิทกัน แล้วเธอเล่าจะรู้สึกเหมือนกับเขารึเปล่า เหตุใดความสัมพันธ์ของเธอและเขาจึงเหมือนกับมีบางอย่างที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่ามาขวางกั้น เหมือนกับมีภูเขาลูกใหญ่มากั้นกลางระหว่างเขากับเธอ เวลาเจอกันหน้ากันก็เลยไม่รู้จะวางตัวเช่นไร จะวางตัวสนิทสนมเหมือนคนรู้จักกันก็ให้รู้สึกกระอักกระอ่วนใจนัก ครั้นจะทำตัวห่างก็ให้รู้สึกขัดกันกับบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ในใจ ที่ระเบียงบ้านยกพื้นของบ้านสไตล์อังกฤษ มีคนคนหนึ่งกำลังยืนทอดสายตามองดูสนามหญ้าเขียวขจี ที่มีไม้ดอกไม้ประดับตกแต่งอยู่โดยรอบ สร้างความรู้สึกสดชื่นผ่อนคลายให้แก่ผู้มอง หากแต่จิตใจของเขากลับไม่ได้สนใจต่อความสวยงามและความสดชื่นของธรรมชาติที่ว่าเลย รอยยิ้มจากริมฝีปากบางได้บ่งบอกอาการพึงพอใจอยู่ลึก ๆ กับงานศิลปะที่อยู่ในมือชิ้นนี้ ถึงแม้ว่าฝีมือยังไม่อยู่ในขั้นมืออาชีพ แต่ดูจากรอยลบ ที่ทิ้งคราบอยู่จาง ๆ นั้น เขารู้ได้ทันทีว่าเจ้าของผลงานนี้มีความตั้งใจมากแค่ไหน กว่าจะวาดกว่าลากเส้นสายให้เป็นไปด้วยรูปใบหน้าให้ออกมาใกล้เคียงกับรูปหน้าของเขาได้มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยสำหรับจิตรกรมือสมัครเล่นอย่างเธอ ริมฝีปากบางเฉียบอมยิ้มน้อย ๆ กับความคิดของตัวเอง ดวงตาสีน้ำตาลเข้มฉายแววอ่อนโยนยามมองภาพวาดที่อยู่ในมือแล้วไพล่นึกไปถึงคน ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะลืมตัวว่าตำแหน่งที่ตนยืนนี้มิได้มีเพียงเฉพาะเขาอยู่ลำพัง ตรงนี้ยังมีบุรุษอีกหนึ่งคนที่กำลังยืนพินิจอากัปกิริยาของตนอยู่ จวบจนเสียงกระแอมเบา ๆ ที่ดังขึ้นมานั้น ภวังค์อันอิ่มใจของชายหนุ่มที่ชื่อติณณ์ก็เลือนหายไปในทันที ‘อ่ะแฮ่ม ๆ สวยมั้ย’ คนถูกถามออกอาการตกใจเล็กน้อย ก่อนจะถามกลับไปอย่างไม่เข้าใจในคำถามสั้น ๆ ของอีกฝ่าย‘ครับ?’ ‘พ่อถามว่า ตะวันวาดรูปของแกสวยมั้ย อย่ามาอุตริตอบว่าน้องสวยล่ะ น้องยังเด็กอยู่เลย’ คนเป็นบิดาพูดต่อด้วยอาการเย้าทั้งคำพูดและดวงตาแพรวพราวมองใบหน้าของลูกชาย “ผมก็ยังไม่ว่าอะไรนี่ครับพ่อ...ใครเขาจะไปคิดอกุศลกับเด็กแบบนั้น” ติณณ์รีบตอบ ปฏิเสธอย่างประดักประเดิด บิดาแสร้งยืนกอดอกกวาดสายตาดูทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ตรงหน้า แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของท่านก็ทำให้ติณณ์ระบายยิ้มน้อย ๆ แล้วส่ายหน้าให้กับพ่อที่ยังไม่เลิกล้อเขา แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะก้มมองกระดาษสีขาวที่อยู่ในมืออีกครั้ง ครั้งนี้สายตาไม่ได้โฟกัสไปที่รูปวาดแต่มองไปที่รูปถ่ายขนาดไม่ 4✕6 นิ้ว ที่ซ้อนอยู่ใต้กระดาษแผ่นนั้นอีกที รูปถ่ายของเพียงตะวัน ดวงหน้าเรียวได้รูปสวย ดวงตาที่ดูเศร้าโศกกลับมีแววแห่งความสุขอย่างเต็มเปี่ยม ริมฝีปากบางเฉียบนั้นได้สร้างรอยยิ้มที่เห็นฟันขาวเรียงกันอย่างเป็นระเบียบรับกับจมูกโด่ง ชายหนุ่มเลื่อนสายตาพิจารณาตัว ตัวของเธอก็โตกว่าเดิมตั้งเยอะ แขนขายาวดูเก้งก้าง แตกต่างกว่าแต่ก่อนที่เธออยู่ในวัยเด็กดูตัวเล็ก ๆ ป้อม ๆ พิจารณารวม ๆ แล้ว เธอโตขึ้นมากจริง ๆ นะ เพียงตะวัน… ติณณ์พลิกดูหลังรูปอีกครั้ง เขาเห็นว่ารูปถ่ายใบนี้มีข้อความอะไรเขียนมาด้วย
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม