“ถูไปถูมา เริ่มมีอารมณ์”
“พี่พัทท์” เธอส่ายหน้าดิก มองเขาหน้าตาตื่น
“ทำไมล่ะ อยากได้พี่เป็นสามีไม่ใช่เหรอ” ถ้าเธอพูดสักคำว่าอยากได้ เขาจะเลิกใจร้ายกับเธอ คนยียวนกวนประสาทยื่นใบหน้าเข้าไปหา เธอไม่กล้าสบสายตาคู่คมนั้น
“พินท์ยังเจ็บอยู่เลย ถ้าพี่พัทท์จะกรุณา” เธอตอบไปอีกอย่างทำเอาพัทท์หงุดหงิดพอสมควร การบอกว่าเธออยากได้เขามันยากเย็นแสนเข็ญหรือไงนะ
“พี่กรุณาเธออยู่แล้ว” เสียงของเขาแหบพร่าเกินกว่าที่เธอจะไว้วางใจได้ พัทท์เบียดร่างเข้าหา ไม่พูดไม่บอกไม่เป็นไร เขาจะปล้ำจนเธอท้องโย้เลย คอยดูว่าจะรักผัวตัวเองขึ้นมาบ้างไหม
“พี่พัทท์ อย่าทำแบบนี้เลยนะคะ พินท์ขอร้อง” เธอจับมือหนาของเขาเอาไว้ ในขณะที่พัทท์ซอยนิ้วเข้าออกในร่องสวาทอันแสนฉ่ำเยิ้มของเธอ แกล้งคนที่เอาแต่ปฏิเสธ
“ไม่เอา พอแล้ว” เธอส่ายหน้าไปมา เขากดเธอไปกับผนังห้องน้ำ บดจูบปากน้อยของเธออย่างเร่าร้อน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำ มันคือความปรารถนาไม่มีที่สิ้นสุด
แรงสะท้านของร่างน้อยเสียดสีกับผนังห้องน้ำทางด้านหลังเป็นระยะๆ มาพร้อมกับเสียงครวญครางแทบไม่เป็นภาษา
รู้ตัวอีกทีเขาก็อุ้มลอยหวือออกมาจากห้องน้ำ เมื่อชำระร่างกายเสร็จสิ้น เขาเช็ดเนื้อเช็ดตัวและสวมใส่เสื้อผ้าให้เธอเหมือนเธอเป็นเด็กๆ พินท์สุดารู้สึกอุ่นสบายเมื่อเขานอนกอดแนบชิดมาจากทางด้านหลัง ปากร้อนของเขาเฝ้าจุมพิตแก้มของเธอซ้ำๆ
พัทท์นอนกอดเธอจนหลับไปด้วยกัน เขาตื่นขึ้นมาจุมพิตอย่างหวงแหน ไม่อยากปลุกให้เธอตื่นเพราะคงเพลีย เลยออกจากบ้านของเธอเงียบๆ
คนโดนรังแกตื่นขึ้นมาก็ไม่เจอใครอีก จึงเดินลงมาชั้นล่างของตัวบ้านก็เจอกับบิดามารดาที่กลับมาแล้ว
“ทำไมหน้าซีดๆ ล่ะจ๊ะ” เสียงของมารดาทำเอาพินท์สุดากะพริบตาปริบๆ หลบสายตาเป็นพัลวัน มารดาจะรู้ไหมว่าฝากเนื้อเอาไว้กับเสือ ไปไหนมาไหนท่านมักฝากฝังเธอเอาไว้กับบิดามารดาของพัทท์รวมถึงพัทท์ด้วย ก็เลยโดนเขารังแกเอาแบบนี้ไง เพราะเขาสามารถเข้านอกออกในบ้านของเธอได้สบายเหมือนเป็นบ้านของตัวเอง
“รู้สึกเวียนหัวนิดหน่อยค่ะ” เธอรู้สึกเหมือนจะไม่สบาย หลังจากที่โดนพัทท์รังแกก็อ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปหมด ก่อนที่สติจะดับวูบลงไป คุณมารศรีรีบเข้าไปรับร่างของบุตรสาวเอาไว้ ก่อนจะบอกสามีให้รีบนำบุตรสาวส่งโรงพยาบาล
“เป็นยังไงบ้างลูก” มารศรีเอ่ยถามบุตรสาวอย่างห่วงใยหลังจากที่อีกฝ่ายฟื้นคืนสติขึ้นมา
“คุณแม่” เธอเรียกท่านด้วยลำคอแห้งผาก ก่อนจะไอติดกันหลายครั้ง
“หนูมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะ”
“พ่อกับแม่พามาจ้ะ หนูเป็นลมไปน่ะ ดื่มน้ำไหมจ๊ะ” คุณมารศรีเอ่ยถาม เธอพยักหน้าก่อนจะดื่มน้ำที่ท่านป้อนให้ รู้สึกเนื้อตัวปวดเมื่อยอ่อนล้า เพลียและปวดหัวระดับหนึ่ง
“หนูไม่สบายน่ะจ้ะ พ่อกับแม่ตกใจมาก เลยรีบพามาส่งโรงพยาบาล”
“ค่ะแม่” เธอรับคำเสียงแหบแห้ง เหม่อลอยคิดไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
“นอนพักมากๆ นะลูก พ่อกับแม่เป็นห่วงลูกมากนะ”
“คุณแม่คะ หนูขอถามอะไรสักหน่อยได้ไหมคะ”
“ถามอะไรจ๊ะ” เสียงของมารดาที่ดังขึ้นประจวบเหมาะกับประตูที่เปิดเข้ามาพอดี เธอเห็นบิดาเดินเข้ามา ท่านมีสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยเธออย่างที่สุด
“เป็นยังไงบ้างลูก” เสียงของท่านห่วงใยเธอเสมอตั้งแต่เล็กจนโตเพราะเธอเป็นลูกสาวคนเดียวของพวกท่าน
“หนูโอเคแล้วค่ะ” เธอบอกให้บิดาคลายใจ
“เมื่อกี้หนูจะถามอะไรแม่เหรอคะ”
“หนูถอนหมั้นกับพี่พัทท์ได้ไหมคะคุณแม่” คนถามเสียงเบาหวิว ในอกก็วูบโหวงตามไปด้วย
“ทำไมล่ะลูก”
“เขาไม่ได้รักหนูค่ะ”
“แต่หนูหมั้นไปแล้ว ไปถอนหมั้นคงหมางใจกับคุณลุงคุณป้านะจ๊ะ” ท่านหมายถึงบิดามารดาของพัทท์
“แต่” เธอทำท่าจะพูดแต่มารดารีบเปลี่ยนเรื่องเสียก่อน
“หนูควรนอนพักผ่อนนะจ๊ะ อย่าคิดอะไรมาก แต่งงานกันไปก็รักกันไปเองนั่นแหละ ความดีเอาชนะทุกอย่างได้ เชื่อแม่สิจ๊ะ” น้ำเสียงของมารดาพร้อมกับที่ท่านแนบใบหน้าเข้าหากอดเบาๆ ทำให้เธอเงียบลงอย่างง่ายดาย
“ลูกนอนพักนะจ๊ะ พ่อกับแม่จ้างพยาบาลพิเศษมาดูแลลูกแล้ว ถ้ามีอะไรกดเรียกได้เลยนะลูก”
“ได้ค่ะ”
“เดี๋ยวพี่เขาคงจะมา อีกสักพักใหญ่ๆ เลยจ้ะ มีอะไรก็กดเรียกพยาบาลคนอื่นไปก่อนนะลูก”
“ค่ะแม่” เธอรับคำ มารดากับบิดาจุมพิตหน้าผากของเธอคนละหนึ่งครั้ง ต้องยอมรับว่าช่วงนี้พวกท่านงานยุ่งมากอาจเพราะเศรษฐกิจไม่ดีเลยต้องพยุงกิจการหลายอย่างให้อยู่รอด ไม่ถึงขั้นต้องปลดพนักงานแต่ก็ต้องประหยัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น
พอหลับตาเสียงเปิดประตูก็ดังเข้ามาอีกครั้ง เธอคิดว่าบิดามารดาอาจจะลืมของเลยกลับมาใหม่ แต่พอลืมตามองกลับเจอเข้ากับอัญชิตา พินท์สุดาตัวแข็งขึ้นมาในทันที
“เธอมาทำไม”
“เป็นยังไงบ้าง” อัญชิตาเอ่ยถามด้วยท่าทีดูห่วงใย นั่นทำให้พินท์สุดาไม่ไว้วางใจ
“ยังไม่ตาย” พินท์สุดาพูดด้วยน้ำเสียงลอดไรฟัน
“อัญอุตส่าห์มาเยี่ยมเพราะเป็นห่วงพินท์นะจ๊ะ”
“ไม่จำเป็น”
“แต่ดูแล้วพินท์ไม่ได้เป็นอะไรมาก โล่งใจไปที” คนพูดมีท่าทีและสีหน้าว่าดูโล่งใจไม่น้อยที่พินท์สุดาไม่ได้เป็นอะไรมาก
“เสียใจละสิที่ฉันยังไม่ตาย” พินท์สุดาต่อว่า เธอคิดว่าสีหน้าท่าทางห่วงใยของอีกฝ่ายคือหน้ากากที่ปลอมขึ้นมา
“มีผลไม้กับมีดวางอยู่ คงรอให้ใครมาปอกผลไม้ให้กินใช่ไหมจ๊ะ” อัญชิตาเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มไม่โกรธเคืองเพื่อนแต่อย่างใด หยิบมีดปอกผลไม้ที่วางอยู่ใกล้จานผลไม้หัวเตียงมาถือเอาไว้
พินท์สุดาผวาสุดตัวเมื่อเห็นอีกฝ่ายถือมีดเอาไว้ในมือ สายตาไม่น่าไว้วางใจนั้นทำเธอเหงื่อตก
“กลัวอัญเหรอ” อัญชิตาเอ่ยถาม ไม่ได้ตั้งใจทำให้เพื่อนกลัว
“จะทำอะไรน่ะ” พินท์สุดาหวาดเสียวกับมีดคมกริบที่อีกฝ่ายหยิบขึ้นมา อัญชิตาแกล้งแหย่ก่อนจะจัดการปอกผลไม้ให้ นั่นทำให้พินท์สุดามองอย่างแปลกใจ
พัทท์มาเยี่ยมเธอ พอพบกับอัญชิตาก็พากันออกไป ท่าทีของชายหนุ่ม ทำให้เธอนึกน้อยใจเหลือกำลัง
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ ร้องไห้ทำไม” ปราชญ์มาเยี่ยมพินท์สุดาเป็นคนต่อไป เขารีบเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าหญิงสาวกำลังร้องไห้
“ปะ... เปล่าค่ะ”
“ปวดหัวหรือตัวร้อนหรือไข้ขึ้น” ปราชญ์ถามอย่างห่วงใย
“ไม่ค่ะ พินท์ไม่ได้เป็นอะไร พินท์โอเค” เธอส่ายหน้าไปมา ใบหน้ายัง ซีดเซียว
“แล้วร้องไห้ทำไม หืม... ไหนคนโอเคเล่ามาซิ”
“ไม่มีอะไรค่ะ” เธอไม่อยากพูดเรื่องน่าอายให้เขาฟัง ปราชญ์ลูบศีรษะของหญิงสาวไปมา ยื่นหน้าเข้าไปใกล้จนเธอต้องกะพริบตา
“ถ้ามีอะไรก็บอกพี่ได้นะ คิดว่าพี่เป็นพี่ชายคนหนึ่ง พี่ยินดีรับฟัง ยินดีช่วย”
คนพูดยิ้มเอ็นดู จนเธอต้องยิ้มตาม
“พี่ปราชญ์” ยามนี้เธออยากมีใครสักคน น้ำเสียงที่เรียกเขานั้นตื้นตันใจ ก่อนจะโผเข้ากอดเมื่อเขาอ้าแขนรับ
“เด็กน้อยของพี่อย่าคิดมากครับ” เขากอดรัดตบแผ่นหลังของหญิงสาวไปมา ในขณะที่ทั้งสองกอดรัดกันอยู่ คนที่กลับเข้ามาในห้องอีกครั้งตรงเข้ามากระชากตัวของปราชญ์ออกไป แล้วกระแทกหมัดเข้าหาเต็มเหนี่ยว
“โอ๊ย!” แรงหมัดของพัทท์ทำเอาปราชญ์กระเด็นเลือดกบปาก
ปราชญ์เช็ดเลือดตรงมุมปาก เขาสะบัดศรีษะด้วยความมึนงงที่โดนต่อยแบบไม่ทันตั้งตัว
“พี่พัทท์! อย่านะคะ” คนบนเตียงกรีดร้อง รีบห้ามปราม แต่ดูเหมือนสองหนุ่มจะไม่มีใครยอมใคร ปราชญ์เองก็ไม่ชอบใช้กำลัง แต่เมื่อโดนทำร้ายเขาก็สู้คนเหมือนกัน
เหตุการณ์ชุลมุนที่เกิดขึ้นทำให้พินท์สุดาต้องกดเรียกพยาบาล พยาบาลวิ่งกรูกันเข้ามาอย่างตกใจ เห็นการชกต่อยในห้องผู้ป่วยจึงรีบเรียกพนักงานรักษาความปลอดภัยมาแยกคนทั้งสองออกไป
พินท์สุดาอกสั่นขวัญแขวน พยาบาลพิเศษที่บิดามารดาจ้างมาเฝ้าเธอเข้ามาพอดี เธอจึงสงบลง นอนตาลอยคว้างด้วยความรู้สึกที่บรรยายเป็นคำพูดไม่ถูก
“คุณพินท์เป็นยังไงบ้างคะ” เป็นนานกว่าคนป่วยบนเตียงจะกะพริบตาและเอ่ยตอบ
“พินท์รู้สึกปวดหัวนิดหน่อยค่ะ”
พัทท์เปลี่ยนไปตั้งแต่กลับจากทะเลวันนั้น เธอไม่แน่ใจว่าเขาโกรธอะไรเธอ เพราะเธอไม่ได้ทำอะไรให้เขาต้องโกรธขนาดนี้นี่นา หรือเธอควรจะถามเขาให้เข้าใจ
“นอนพักนะคะ ไม่ต้องเครียดและคิดมากนะคะ” พยาบาลยิ้มหวานให้คนป่วยบนเตียง คาดเดาว่าผู้ชายสองคนที่ชกต่อยกันคงเพราะเรื่องหึงหวงเป็นแน่
“อยากกลับบ้านจังเลยค่ะ” พินท์สุดาบอกพยาบาลคนสวยที่คอยดูแลเธออยู่
“เดี๋ยวคุณหมอขึ้นตรวจ คุณไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว คงอนุญาตให้คุณกลับบ้านได้นะคะ แต่ถ้ายังมีไข้ก็ต้องนอนโรงพยาบาลต่อ” เพียงฟ้ายิ้มให้คนป่วยที่นอนหน้าซีดอยู่บนเตียง สีหน้าเป็นกังวลของคนป่วย ทำให้เธอต้องเบี่ยงเบนความสนใจไปกับการหนังสือให้ฟัง ดูทีวีและเล่าเรื่องตลก
“คุณพินท์ง่วงก็หลับเลยนะคะ เดี๋ยวฟ้าอยู่เป็นเพื่อน”
“ขอบคุณค่ะ” พินท์สุดายิ้มขอบคุณ ก่อนที่เธอจะหลับลงในเวลาต่อมา