บทที่3. เสียงร้องไห้

1367 คำ
“เพิ่งมาออกบูธครั้งแรกหรือคะ”             “เอ่อ...ค่ะ ความจริงคุณพ่อต้องมาด้วย แต่ท่านขาเจ็บเดินไม่สะดวก”             “แหม...น่าอิจฉาคุณพ่อที่มีลูกสาวสวยแถมยังทำงานแทนได้อีกน่ะค่ะ” จงกลนียิ้มอ่อนโยน “ได้ยินว่าเพาะต้นลีลาวดีหรือคะ”             “ใช่ค่ะ  บูธหนูอยู่ตรงโน้น ...” นิ้วเรียวชี้ไปตรงทางที่เดินจากมา “ของเราเป็นสายพันธุ์ไทยค่ะ มีทั้งพันธุ์แคระที่ปลูกในกระถาง หรือจะต้นใหญ่ที่ปลูกกลางแจ้งในบริเวณกว้างด้วย”             “ดีจัง ถ้าว่างจะเดินไปขอชมที่บูธนะคะ”             “ด้วยความยินดีค่ะ” ปาณิศายิ้มรับก่อนยกข้อมือดูนาฬิกา   “ใกล้จะได้เวลาเปิดงานแล้ว หนูขอตัวก่อนนะคะ”             “ตามสบายค่ะ ยังไงสามวันนี้เราต้องได้คุยกันอีกแน่ๆ”             “ค่ะ”             หญิงสาวพาร่างบอบบางเดินกลับมาทางเดิม ยังไม่ทันถึงบูธก็เห็นคนตัวใหญ่ยักษ์หมุนซ้ายแลขวาเหมือนมองหาใครอยู่    ซึ่งเธอก็รู้ดีว่าคนที่มองหาคือตัวเธอเองนั้นแหละ เพราะความรีบที่จะเดินไปให้ถึงที่หมายโดยเร็วจนลืมดูคนที่เดินสวนมาข้างหน้า   ทั้งที่คิดว่าเบี่ยงตัวหลบแล้วแต่ไหล่ของเธอก็ยังชนกับร่างสูงโปร่งจนเซถลา โชคดีที่ว่ามือใหญ่เอื้อมมาคว้าเธอไว้แนบอกกว้างของเขา             ตั้งแต่เกิดมาจนตัวโตขนาดนี้ ปาณิศาไม่เคยอยู่ในอ้อมกอดชายอื่นใกล้ชิดขนาดนี้ กลิ่นโคโลญจ์ผู้ชายปนกับกลิ่นเหงื่อจางๆ กลับทำให้รู้สึกหอมอ่อนเหมือนเป็นกลิ่นกายเฉพาะตัวเป็นกลิ่นที่เธอไม่เคยสัมผัส             “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”             “เอ่อ...มะ...ไม่  ไม่เป็นไรคะ” ด้วยความเขินอาย ปาณิศารีบดันตัวเองออกจากอกอุ่นแต่ผมยาวของตัวเองกลับไปพันกับกระดุมเสื้อเชิ้ตของเขา             “แย่แล้ว!”              “อย่าดึงครับ...เดี๋ยวผมขาด”    เสียงทุ้มลอยอยู่ริมหูของหญิงสาวที่อายจนหน้าแดงกล่ำ ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นสบตาเขา มือเล็กของเธอพยามยามแกะผมออกจากกระดุมเสื้อ แต่มือใหญ่ของเขาก็สัมผัสมือเธอเบาๆ ต้องการจะช่วยเธอ “ขอโทษนะค่ะ ขอโทษ”  ปาณิศาพร่ำขอโทษจนนับครั้งไม่ถ้วนจนชายหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆ เขาไม่ได้หงุดหงิดใจอะไรกับเรื่องที่เกิดขึ้น   แต่เธอกลับคิดว่าเขารำคาญจึงกระชากผมออกจากกระดุมเสื้อของเขา “คุณ!”  “ขอโทษจริงๆ ค่ะ” ‘มาริส กอบู๊ซ  อัลบา’ ได้แต่มองร่างบางรีบหมุนตัวเดินหายไปกับผู้คนที่เริ่มทยอยเข้ามาในบริเวณงานมากขึ้นเรื่อยๆ เขาก้มมองดูเส้นผมยาวสลวยที่ติดอยู่ที่กระดุมเสื้อก่อนจะแกออกกลิ่นหอมจางๆ ทำให้เขาเผลออดสูดดมกลิ่นหอมนั่นไม่ได้ “มาริสทางนี้” จงกลนีตะโกนเรียกเพื่อนหนุ่มที่เดินเหม่อๆ อยู่หน้าบูธ  เขายิ้มรับบางๆ ก่อนเดินเข้าไปหอมแก้มหญิงสาวเบาๆ แต่เธอกลับตีแขนเขาดังเผี้ยะ! ก่อนหัวเราะคิกคักออกมา “นี่เมืองไทยนะคะ ไม่ใช่เมืองนอก จะทำแบบนี้ไม่ได้นะ” “ซอรี่ๆ ผมขอโทษ” เขาทำท่าสำนึกผิด แต่เอียงหน้าไปกระซิบที่ริมหูของเพื่อนสาว “แต่นีก็ชอบใช่ไหม” “นี่ๆ มาคิสแก้มพี่บ้างก็ได้นะมาริส” วัลยายืนเท้าแขนสองข้างทำท่าแสนงอน “สำหรับพี่ยามากกว่าหอมแก้มก็ได้ครับ” ชายหนุ่มตรงเข้าไปกอดแน่นๆ ด้วยความคิดถึง “งั้นไปขัดรองเท้าให้พี่ก็ได้งั้นซิ!” “โห...พี่ยาเล่นแรงจริงๆ เลย” เขาหัวเราะเสียงดัง นานแล้วที่ไม่ได้หัวเราะแบบนี้ “คิดว่าไม่ได้เจอกันสองปีนี่พี่จะเปลี่ยนไปหรือไงยะ” วัลยายิ้มกว้าง “มานั่งคุยให้หายคิดถึงหน่อยเถอะ” วัลยาฉุดแขนมาริสให้เข้าไปนั่งคุยด้านใน  จงกลนีได้แต่หัวเราะเบาๆ ก่อนจะเดินตามมาสบทบ เธอไม่รู้ว่าที่ชายหนุ่มเหลียวหลังมองนั่นไม่ใช่มองเธอแต่มองเจ้าของเส้นผมหอมกรุ่น แค่ผมยังหอมขนาดนี้แล้วทั้งตัวจะหอมขนาดไหนน่ะ! “ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก...”             ‘ภาณุ’ ลดโทรศัพท์มือถือลงจากข้างหู เขารู้ดีว่าได้กระทำการทำร้ายใจจิตใจฟารีดามากเพียงใด เมื่อสามเดือนที่แล้วที่เขาตัดสินใจหยุดติความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอทั้งที่คบหาดูใจกันมากว่าสามปี        ‘ฟารีดา’ หญิงสาวผู้เพียบพร้อมทั้งความงามภายนอกและภายในผู้ชายทุกคนล้วนอิจฉาเขาที่ได้ครอบครองจิตใจของฟารีดา       แม้หญิงสาวจะร่ำรวยแต่ไม่เคยถือเรื่องฐานะยศศักดิ์กลับเลือกจะคบกับเขาซึ่งเป็นแค่หัวหน้าช่างซ่อมบำรุงที่ศูนย์รถยนต์แห่งหนึ่ง ฟารีดาเป็นฝ่ายบอกรักเขาก่อน เธอเชื่อเรื่องรักแรกพบเธอเชื่อเช่นนั้นตั้งแต่วันที่รถเก๋งคันหรูเธอเสียอยู่ข้างทางและเขาบังเอิญขับรถผ่านไปเจอและช่วยเหลือ ลูกตื้อที่แสนน่ารักของเธอทำให้เขาใจอ่อนยอมคบหาดูใจด้วย แต่ความจริงก็คือความจริง           แต่ยิ่งฟารีดาทำดีกับเขามากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกผิดกับเธอมากขึ้นทบทวี เพราะว่า...หัวใจเขามีใครคนหนึ่งอยู่ก่อนที่จะพบเธอแล้ว... และเขาเคยคิดว่าฟารีดาจะช่วยทำให้เขาลืมหญิงสาวคนนั้นได้             แต่ความจริงก็คือความจริง... เขาทำไม่ได้ และไม่อยากรู้สึกผิดกับฟารีดามากไปกว่านี้             “ทำไมคะ! ทำไมภาณุทำกับฉันอย่างนี้”             เสียงฟารีดาร่ำไห้ปานใจจะขาด มือเล็กๆ ทุบตีที่อกเขา  ถ้ามันจะช่วยให้ความเจ็บปวดของเธอน้อยลงเขาก็ยอมให้เธอทำรุนแรงกว่านี้อีกสิบอีกร้อยเท่า แต่ฟารีดาเอาแต่ร้องไห้...ร้องไห้ ... เขาต้องฝืนทำใจแข็งไม่กลับไปรักกับเธอ   “มันเจ็บแค่ครั้งเดียว เจ็บแค่ตอนนี้ ดีกว่าปล่อยให้มันยืดเยื้อจนคุณอาจจะเจ็บมากกว่านี้ก็ได้”             “คุณจะมารู้ใจฉันได้ยังไง  คุณไม่มีวันรู้หรอกว่าฉันเจ็บ...เจ็บแค่ไหน”             เขาเดินออกจากคอนโดหรูกลางกรุงของฟารีดา แม้ว่าเขาจะมาหาเธอถึงที่พักบ่อยแค่ไหน แต่เขาก็ไม่เคยล่วงเกินเธอให้เสียหาย หลังจากวันนั้น ฟารีดาพยายามติดต่อเขาอยู่หลายครั้งจนเขาเป็นฝ่ายปิดมือถือหนีเธอไป กว่าจะสำนึกได้ว่าเขาไม่ควรทำอย่างนั้น เขาก็เป็นฝ่ายติดต่อฟารีดาไม่ได้แล้ว             หรือบางที...แบบนี้อาจจะดีแล้ว             ภาณุมองดูหมายเลขที่โทรออก เขากดเบอร์นี้บ่อยครั้ง  เขาแค่อยากรู้ว่าเธอสบายดีไหม? ดีขึ้นบ้างหรือยัง  หรือพร้อมที่จะรับเขาไว้ในฐานะเพื่อนคนหนึ่งไหม?             “นั่งเหม่อคิดถึงสาวที่ไหนคะพี่ณุ”             ชายหนุ่มสะดุ้งเมื่อร่างบอบบางราวก้านดอกไม้ทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ว่างตรงหน้า ปาณิศาเอียงคอมองพี่ชายแล้วยิ้มแบบมีเลศนัย เขาส่ายหน้าแล้วเอื้อมมือบีบจมูกเชิดรั้นของน้องสาวต่างสายเลือดเบาๆ             “ไม่มีสาวที่ไหนให้คิดถึงหรอก”             “จริงอ่ะ! โกหกตกนรกนะค่ะ”             “ฮืม...”  ‘นรกเหรอ ตอนนี้เขาก็เหมือนอยู่ในนรกอยู่แล้วละภาณุได้แต่บ่นในใจแล้วมองดูน้ำผลไม้ปั่นที่น้องสาวถือมาด้วย  “แล้วของพี่ละ”               “อ้าว! ก็ถามแล้ว พี่ณุไม่พูดอะไรก็เลยไม่ได้ซื้อมาให้นี่คะ”             “น้ำใจหน่ะ รู้จักไหม”             “หูย! พูดซะฝนน่าเกลียดไปเลย จะเอาอะไรละคะ ฝนไปซื้อให้”             “ไม่ละ...พี่ล้อเล่น แล้วบ๊วยล่ะ”             “เก็บของอยู่ค่ะ”             “เหนื่อยไหม”                 “ก็เหนื่อย แต่สามวันนี่สนุกมากเลย”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม