“เกียรติยศ ชื่อเสียงลาภยศ ย่อมเป็นที่ปรารถนาของมนุษย์ แม้ต้องจมอยู่กับความทุกข์ทรมานก็ยังหมายจะแย่งชิง แต่เมื่อไรที่ปล่อยวางหันหลังกลับสู่ฝั่งธรรมชาติรอบตัว ไม่ได้หวังอำนาจ ลาภยศ และปล่อยวางย่อมทำให้พบความสุขที่แท้จริง” หลิ่วเหวินอี้ตอบกลับเสียงเรียบนิ่งแววตายากจะคาดเดา
ก่อนจะพึมพำช่วงท้ายแผ่วเบา ทว่ากลับตรึงใจผู้ฟังจนทำให้นิ่งงัน ความฉลาดล้ำของคุณชายหลิ่วเหวินอี้หากใครพบเจอคงมีหน้าค่าตาผู้คนนับถือ เพียงแต่เจ้าตัวกลับซ่อนเร้นไว้อย่างมิดชิด
“ใต้ฟ้าแจ่มเดือนกระจ่าง เหินหาวได้ไร้ขอบเขต แต่แมลงเม่ากลับบินหาเปลวเทียน ลำธารใสหญ้าเขียวขจี ดื่มกินได้ตามใจชอบ แต่นกเค้าแมวกลับชอบรสหนูเน่า คนที่ไม่เป็นแมลงเม่าและนกเค้าแมวในโลกจะมีสักกี่คนเชียว?”
“นับถือ นับถือ วันนี้ข้าน้อยฟางเทียนฟงได้ประจักษ์ความจริง ท่านนั้นมีค่าคู่ควรที่ข้าจะพบปะเป็นสหายได้”
ชายหลังผ้าม่านสีขาวกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ผ้าม่านที่ปิดกั้นถูกเลื่อนออกเผยให้เห็นบุรุษหน้าตางดงามกึ่งหล่อเหล่าดั่งมิใช่มนุษย์เส้นผมสีขาวโพลนทำให้สะดุดตา ดวงตาสีฟ้าดังปีศาจจิ้งจอกจำแลง รูปร่างโปร่งผิวขาวเนียนดุจสตรีอาภรณ์สีขาวคลิบเงินเด่นสง่าเปิดเผยอกแกร่งให้เห็นดูยั่วยวน
ทว่าหลิ่วเหวินอี้กลับมองนิ่งๆ มิได้ต้องมนต์สิเนหานั้นเลย หากนับความงดงามคล้ายอิสตรีเขาคิดว่าไม่มีใครงดงามกว่าหมอเทวดาผู้นั้นอีกแล้ว
และหากนับความหล่อคมคายดุจเทพบุตรก็คงไม่มีใครเกินลู่เฟยบุรุษที่เขาพบเจอเมื่อหลายปีก่อน ทำให้ภาพตรงหน้าดูธรรมดาในสายตาตน ทว่าไม่ใช่สำหรับหลวนซานที่อ้าปากค้างมองคนงามกึ่งหล่อเหลาตรงหน้าอย่างตะลึงงัน
“น่าแปลกใจนัก ที่คุณชายหลิ่วเหวินอี้ไม่หวั่นไหวรูปโฉมของข้า” รอยยิ้มอ่อนโยนของนายโลมผู้นั้นทำให้หลิ่วเหวินอี้มองนิ่งๆ มุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อยคล้ายยิ้มและไม่ยิ้มแล้วกล่าวเสียงเรียบ
“อาจเป็นเพราะข้าเคยพบเจอคนที่งดงามกว่าเจ้าแล้วกระมัง”
“ข้ามิแปลกใจหากเจ้าพบเจอเหล่าเซียนเทพมาก่อน” น้ำเสียงเรียบนิ่งคำพูดเปลี่ยนไปพร้อมแววตาเหม่อลอยของอีกฝ่ายทำให้หลิ่วเหวินอี้มองตามอย่างสนใจ
“เจ้าคงมาจากหอกิเลน” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยถามเปลี่ยนเรื่องเขาไม่ชอบบรรยากาศเศร้าๆ ที่แผ่ออกจากตัวของนายโลมผู้นี้
“เจ้ารู้จักหอกิเลนย่อมไม่ธรรมดา แต่ข้าไม่ได้มาจากหอกิเลนหากเจ้าอยากรู้ข้าจะตอบคำถามเจ้าจากความปรารถนาหนึ่งข้อ เจ้าตกลงหรือไม่”
ฟางเทียนฟงตอบเป็นปริศนารอยยิ้มแต้มบนใบหน้า หลิ่วเหวินอี้เพียงแค่มองนิ่งๆ ทุกคนย่อมมีความลับ เขาเองก็ไม่อยากคาดคั้นและคงไม่เอาความปรารถนาหนึ่งข้อมาแลกกับเรื่องไร้สาระแน่ๆ
“ไม่” คำตอบแน่วแน่และไม่ต้องเสียเวลาคิด ทำเอาฟางเทียนฟงนิ่งงันก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างพึงใจ
“แต่ตอนนี้ข้าฟางเทียนฟงติดหนี้ความปรารถนาของเจ้าหนึ่งข้อ เจ้าต้องการให้ข้าทำสิ่งใด” ฟางเทียนฟงเอ่ยถามอย่างจริงจัง แม้จะไม่ใช่คนสัตย์ซื่อแต่หากรับปากแล้วย่อมทำตามที่เอ่ยออกไป
“เวลานี้ข้ายังไม่มีสิ่งใดที่ต้องการ หากมีแล้วข้าจะติดต่อกลับมา”
น้ำเสียงนิ่งเรียบ ใบหน้างดงามกึ่งหล่อเหลาของหลิ่วเหวินอี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าตน นับว่าน่าประหลาดใจที่มีมนุษย์เช่นนี้อยู่ จิตใจแข็งกล้าแววตาบางครั้งเย็นเยือกดั่งคนผ่านเรื่องราวมามากมาย แต่ผู้ใดกันจะมีอายุมากกว่าตนในเวลานี้อีกเล่า รูปร่างอีกฝ่ายนับว่าใกล้เคียงกับตนเลยทีเดียว หากมองผิวเผินคงคิดว่าเป็นอิสตรี
“ข้ามิได้อยู่กับที่ หากเจ้าต้องการพบข้าจงไปที่สำนักจิ้งจอกฟ้า”
เพียงแค่นั้นหลิ่วเหวินอี้ก็ทราบได้ทันทีว่าคนตรงหน้ามิใช่นายโลมทั่วไปแต่เป็นถึงคนในสำนักจิ้งจอกฟ้าพรรคมารพรรคหนึ่ง นับว่าเขาหาเรื่องใส่ตนเสียแล้ว
“ไม่ต้องกังวลไปเรื่องของเจ้าข้าจะเก็บไว้เป็นความลับ”
รอยยิ้มลึกลับของอีกฝ่ายยิ่งทำให้หลิ่วเหวินอี้ระวังตัวมากขึ้น เช่นเดียวกับหลวนซานที่เผลอตกหลุมสิเนหาของอีกฝ่ายอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่เมื่อน้ำเสียงเรียบนิ่งของนายน้อยดังขึ้นเป็นระยะๆ ทำให้ได้สติกลับคืนมานับว่าเป็นเรื่องน่าประหลาดใจแก่ฟางเทียนฟงไม่น้อย
“การเจรจาสิ้นสุด”
หลิ่วเหวินอี้กล่าวเสียงเรียบลุกขึ้นคาวระเล็กน้อยอย่างให้เกียรติเพราะหากเดาไม่ผิดคนผู้นี้คงเป็นประมุขพรรคจิ้งจอกฟ้าที่กำเนิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้
“เดี๋ยวก่อน ป้ายทองนี้จะนำพาเจ้ามาพบข้าง่ายขึ้น”
ฟางเทียนฟงยื่นป้ายท้องสลักคำว่าฟางเทียนฟงเอาไว้ ซึ่งหลิ่วเหวินอี้ก็รับมาอย่างง่ายดาย ก่อนจะเดินจากไปอย่างสง่างามเหมือนตอนมาไม่ได้สะทกสะท้านต่อสายตาที่มองตามแม้แต่น้อย
หลวนซานก็รีบติดตามไปอย่างสงบ ทว่าแววตาเรียวคมแอบชำเลียงมองร่างงามสง่าของผู้ที่นั่งพิงหมอนอิงส่งยิ้มมาทางตน พลันรู้สึกขนในกายลุกซู่อย่างไม่รู้สาเหตุก่อนจะรีบจากไปอย่างรวดเร็ว
“หึๆ” ฟางเทียนฟงหัวเราะในลำคออย่างถูกอกถูกใจ นานแค่ไหนแล้วนะที่เขาไม่ได้สนใจผู้ใด ร้อยปี สองร้อยปีหรือพันปี อ่า เริ่มจำไม่ได้แล้วสิ ว่าแต่เขาจะปล่อยผ่านสิ่งที่สนใจไปง่ายๆ ได้เช่นไร
“เราคงได้พบกันเร็วๆ นี้ หลิ่วเหวินอี้”