ลั่วเหยียนเจิ้งลืมตาขึ้นมาด้วยความเหนื่อยล้า ก่อนจะหลับตาลงเมื่อต้องแสงแดดที่สาดส่องเข้ามา ร่างกายรู้สึกปวดร้าวจนแทบขยับไม่ไหว แต่ก็บ่งบอกให้รู้ว่าตนยังไม่ตายจึงค่อยๆ พยายามลืมตาขึ้นมาอีกครั้งทำให้เห็นว่าตอนนี้อยู่ในบ้านหลังหนึ่ง น่าจะเรียกว่ากระท่อมไม้เสียมากกว่า
“ฟื้นแล้วหรือข้านึกว่าเจ้าจะไปเฝ้ายมโลกเสียแล้ว นับว่าฝีมืออย่างข้าก็ไม่เลวร้าย” เสียงทักทายพร้อมร่างสูงสง่าใบหน้าคมคายเดินเข้ามาหาพร้อมถ้วยยาในมือ ลั่วเหยียนเจิ้งพลันลุกขึ้นนั่งอย่างหวาดระแวง มองคนตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจ
“ท่านคือผู้ใด”
“คนที่ช่วยชีวิตเจ้าไง ถามโง่ๆ” ลั่วเหยียนเจิ้งตะลึงงันไปชั่วครู่ เกิดมานับตั้งแต่จำความได้ยังไม่เคยมีผู้ใดว่าตนโง่สักครั้ง แต่เมื่อรู้ว่าคนตรงหน้าเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตไว้จึงจำต้องปิดปากเก็บความไม่พอใจเอาไว้แล้วพยายามลุกขึ้นกล่าวขอบคุณ ทว่าร่างเล็กกลับทรุดลงข้างเตียงไม้อย่างอ่อนแรง
“เจ้านี่โง่จริงๆ หลับไปหนึ่งอาทิตย์ ข้าวปลายังไม่ลงท้องจะมาลุกขึ้นให้เป็นภาระข้าอีกทำไม” แม้จะกล่าวตำหนิแต่ก็พุ่งมารับร่างเล็กไว้โดยที่ยาในมือขวาไม่กระฉอกออกจากถ้วยแม้แต่น้อย
“กินนี่ไปก่อน ข้าจะไปเอาข้าวมาให้กิน” บอกพร้อมยัดถ้วยยาใส่มือเล็กพร้อมหมุนกายออกไป
ลั่วเหยียนเจิ้งมองตามอย่างมึนงงเขารู้สึกว่าคนผู้นี้เป็นคนประหลาด ก้มมองยาในมืออย่างลังเลแต่ก็จำใจกลืนกินเข้าไป อย่างไรคนผู้นั้นก็ช่วยชีวิตตนไว้ เพียงไม่นานข้าวต้มมื้อแรกจากการฟื้นขึ้นก็มาวางอยู่เบื้องหน้า เขามองตามอย่างไม่แน่ใจว่ามันจะรับประทานได้จริงๆ
“ข้าวต้มสมุนไพร ข้าทำสุดฝีมือเพราะฉะนั้นกินให้หมด”
ชายร่างสูงในอาภรณ์สีขาวบอกด้วยรอยยิ้มหวานที่ทำให้รู้สึกสยองเป็นครั้งแรกในชีวิต แต่เมื่อเห็นสายตาบังคับขู่เข็ญมองมาทำให้ค่อยๆ ตักข้าวทานทีละคำ ก่อนจะเบ้ปากมองคนทำแล้วกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคออย่างยากลำบาก
ทำไมองค์รัชทายาทอย่างเขาถึงต้องมาทนกินข้าวต้มสุดจะย่ำแย่ลงคอด้วย แต่เพราะความหิวอีกทั้งสายตาอาฆาตของผู้หวังดี? ทำให้ฝืนกินจนหมดถ้วย
“ดีมากเด็กน้อย ฮ่าๆ ๆ เจ้าทำให้ข้าอารมณ์ดีเสียจริง วันนี้พักก่อนเถอะเดี๋ยวข้าจะทดลองยาตัวใหม่กับเจ้าในตอนเย็น”
ลั่วเหยียนจ้องมองตามแผ่นหลังกว้างที่เดินจากไปอย่างตะลึงงัน เมื่อครู่ฟังผิดไปใช่ไหม ว่าเขากำลังเป็นหนูทดลองยาให้กับคนประหลาดผู้นี้
ทว่านั่นเป็นการได้ยินที่ถูกต้อง หลังจากถึงเวลาเขาก็ได้กินยาสูตรแปลกของคนผู้นี้จริงๆ แต่แผลก็หายอย่างรวดเร็วจนน่าอัศจรรย์ใจ ขณะเดียวกันร่างกายเขากลับร้อนผ่าวเหมือนมีไฟมาแผดเผาร่างจนต้องไปนอนเกลือกกลิ้งอยู่กับพื้น
“หืม แรงไปเหรอ ไม่เป็นไรเดี๋ยวเจ้าก็ชิน”
นั่นคือคำพูดของผู้มีพระคุณที่ลั่วเหยียนเจิ้งได้ยินก่อนจะสลบไปเพราะทนความปวดร้อนในอกและตามร่างกายไม่ไหว
ฝู่ซานยกมือตวัดร่างเด็กน้อยไปนอนเป็นเตียงไม้เล็กเหมือนเดิม ก่อนจะหยิบไข่มุกสีขาวอายุพันปีบดละเอียดในมือกรอกลงคอเด็กน้อยอย่างระมัดระวัง แม้จะชอบกลั่นแกล้งแต่หน้าที่ก็ยังเป็นหน้าที่ไฉนเลยเทพตกสวรรค์อย่างตนจะกล้าทำร้ายบุตรสวรรค์ได้ลงคอ
ลั่วเหยียนเจิ้งไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปเป็นเวลานานเท่าไร เมื่อตื่นมาอีกทีก็ขึ้นวันใหม่ ที่พระอาทิตย์ตั้งฉากอยู่กลางศีรษะ ร่างกายตอนนี้ไม่ได้เจ็บปวดเหมือนแต่เดิมแล้ว มีเพียงรอยแผลเป็นบางเบาเท่านั้น ลั่วเหยียนเจิ้งลุกออกจากเตียงไม้เดินออกไปนอกกระท่อมหลังเล็กเห็นผู้มีพระคุณนอนอาบแดดอยู่ใต้ต้นเหมยแดง อาภรณ์สีขาวขับผิวขาวเนียนให้ดูงดงาม แต่หากนับความร้ายกาจที่กลั่นแกล้งเขาแล้วทำให้ความงดงามที่เห็น ไม่ได้ทำให้น่าสนใจแม้แต่น้อย
ลั่วเหยียนเจิ้งพาร่างเล็กวัยสิบขวบของตนเองเดินเข้าไปหาคนที่นอนอยู่ใต้ต้นเหมยแดง ตอนนี้หายดีแล้วจึงมิอาจอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไป และหากเป็นไปได้เขาอยากให้ผู้มีพระคุณที่แสนประหลาดคนนี้ชี้ทางกลับแคว้นลั่วหยาง
“เวลานี้เจ้ายังกลับไม่ได้หรอก” น้ำเสียงราบเรียบของผู้ที่นอนอยู่กล่าวออกมาแผ่วเบา ทว่ากลับทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งชะงักงัน เพราะยังไม่ทันได้กล่าวสิ่งใดออกมาแม้แต่น้อยแต่คนประหลาดผู้นี้รู้ได้อย่างไรว่าเขาต้องการไปจากที่แห่งนี้
“ทำไมขอรับ” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามอย่างนอบน้อมด้วยความไม่เข้าใจ ร่างสูงในอาภรณ์สีขาวลุกขึ้นนั่งหันมามองเขานิ่งๆ ดวงตาที่เคยแวววาวกลับฉายแววจริงจังกว่าปกติที่เคยพบเห็น
“ที่นี่เป็นหุบเขาเร้นลับ กาลเวลาที่นี่จะเดินเร็วกว่าโลกภายนอกที่เจ้าจากมา ต่อไปนี้ข้าฝู่ซานจะเป็นอาจารย์สอนสั่งเจ้า เมื่อใดที่ข้าคิดว่าเจ้าสำเร็จวิชาที่ข้ามีและเอาตัวรอดได้แล้วข้าจะส่งเจ้าออกไป” ลั่วเหยียนเจิ้งมองคนที่จะมาเป็นอาจารย์อย่างพิจารณาอีกครั้ง พร้อมคิดทบทวนคำพูดของฝู่ซานอย่างถี่ถ้วน
“ท่านหมายความว่าที่นี่เวลาเดินเร็วอย่างนั้นหรือขอรับ”
“ใช่ หนึ่งปีที่นี่เท่ากับหนึ่งวันของโลกภายนอก หากเจ้าฝึกสักสิบปีเท่ากับหายไปแค่สิบวัน คงไม่เป็นไรหรอกกระมัง”
น้ำเสียงจริงจังที่ตอบกลับมาทำลั่วเหยียนเจิ้งมึนงงเล็กน้อย แม้ตกจะตะลึงกับเวลา ทว่าใบหน้ากลับนิ่งเฉยไม่แสดงสิ่งใดออกมา แต่เมื่อพินิจในคำพูดแล้วจึงรู้ว่าย่อมเป็นผลดีกับตนเอง