“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าลั่วเหยียนเจิ้งฝากตัวด้วยขอรับอาจารย์” ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวอย่างนอบน้อมและก้มลงคารวะอย่างจริงใจ
หลังจากที่ตกลงเป็นลูกศิษย์แล้ว ลั่วเหยียนเจิ้งจึงได้รู้ว่าอาจารย์ฝู่ซานนั้นมีนิสัยชอบกลั่นแกล้งตนเป็นที่สุด โดยเฉพาะให้เขาเป็นหนูทดลองยาสูตรแปลกใหม่
จนบัดนี้ผ่านไปสามเดือนแล้วร่างกายเขาก็สามารถต้านทานพิษได้ถึงห้าสิบชนิด นับว่าเป็นผลดีอย่างมากเพราะในวังหลวงที่อาศัยอยู่นั้นล้วนแต่มีอันตรายจากยาพิษและมีผู้คนมากมายที่ตายตกเพราะมัน
ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่ลั่วเหยียนเจิ้งสงสัย เหตุใดหุบเขาเร้นลับแห่งนี้ถึงมีแค่ตนกับอาจารย์เท่านั้น เมื่อยามเอ่ยถามกลับได้คำตอบเป็นรอยยิ้มละไม แต่ดวงตากลับเศร้าหมองจนมิอาจคาดเดาได้ จึงมิคิดจะไถ่ถามอีกและสิ่งที่ได้เรียนรู้จากอาจารย์ฝู่ซานคือการเสแสร้งด้วยรอยยิ้ม ไม่ว่าคิดสิ่งใดมีเพียงรอยยิ้มอ่อนโยนเท่านั้น แม้กระทั่งลงมือเอายาพิษให้ลูกศิษย์ดื่ม ใบหน้ายังยิ้มอบอุ่นจนบัดนี้เขารู้สึกระแวงรอยยิ้มอาจารย์ไปเสียทุกครั้ง
“เหยียนเจิ้ง วันนี้ข้ามีข้าวต้มสูตรพิเศษมาให้เจ้าด้วย”
เสียงนุ่มทุ้มพร้อมรอยยิ้มเดินเข้ามาหาลั่วเหยียนเจิ้ง ในมือถือชามข้าวใบใหญ่มาให้เหมือนทุกครั้ง แม้รสชาติจะย่ำแย่แค่ไหนเขาก็ต้องจำใจกินให้หมดไม่เช่นนั้นจักโดนงดอาหารมื้อต่อไป และที่สำคัญเขาทำกับข้าวไม่เป็น หลังจากลองทำครั้งสุดท้ายเมื่อหนึ่งเดือนก่อนคือการเผาโรงครัวอาจารย์จนวอดวายหมด สุดท้ายจึงได้รับโทษมานอนตากน้ำค้างด้านนอกอยู่เจ็ดคืน หลังจากนั้นเขาก็ไม่กล้าเข้าไปห้องครัวอีกเลย
“อาจารย์วันนี้ข้าต้องเรียนรู้สิ่งใดขอรับ”
ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถาม เพราะสามเดือนมานี้เขาได้แต่วิ่งขึ้นลงบนเขาแห่งนี้ อีกทั้งยังต้องจดจำสมุนไพรแปลกๆ ของอาจารย์ไปด้วยแรกๆก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเพราะพืชสมุนไพรบางชนิดมีลักษณะคล้ายกันแต่กลิ่นต่างกันทว่าหลายครั้งหลายหนสุดท้ายเขาก็จดจำสมุนไพรเหล่านี้ได้มากขึ้น แต่วิธีปรุงยาอาจารย์นั้นกลับดูแปลกตา บางครั้งจะปรุงยาแก้แต่ได้ยาพิษมาแทน ซึ่งเจ้าตัวดูไม่สำนึกแม้แต่น้อย จนเขาเริ่มชินชาไปแล้วว่าอาจารย์ปรุงยาได้เพราะโชคช่วยเป็นบางครั้งเท่านั้น
“นั่นสิอาการเจ้าก็หายดีแล้ว ยาพิษในร่างที่มีก็คงไม่ทำให้ตายง่ายๆหรอก ต่อไปก็เรียนกระบี่แล้วกัน” อาจารย์ยกมือลูบคางครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยออกมา ลั่วเหยียนเจิ้งมองอย่างแปลกใจไม่คิดว่าอาจารย์จะมีวรยุทธ์
ทว่าตั้งแต่นั้นมาลั่วเหยียนเจิ้งไม่เคยดูถูกคนที่ภายนอกอีกเลย เห็นอาจารย์เหมือนไม่มีแรงแต่กระบี่ที่ฟาดฟันมาแต่ละทีทำเอาเขาแขนสั่นสะท้าน กระบวนท่าที่ว่องไวและเฉียบขาดที่สอนสั่งทำให้เขาได้แต่เก็บความสงสัยไว้ภายในใจ
เพราะเหตุใดคนที่มีความสามารถเช่นนี้ถึงได้มาหลบซ่อนอยู่ที่หุบเขาเร้นลับ ไม่มีผู้คนคบหา? หรือมองอีกทางหนึ่งคือที่แห่งนี้เหมือนคุกคุมขังอย่างดี เวลาเดินเร็วกว่าภายนอกหากไม่สงบใจได้จริงๆ คงทุกทรมานกับเวลาไม่สิ้นสุด อีกทั้งไม่แก่ ไม่ตาย นั่นคือสิ่งที่เขาเรียนรู้มาจากที่แห่งนี้
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทว่าความรู้ความสามารถที่ได้รับกลับมากมาย ทั้งร่างกายที่สามารถต้านทานพิษได้โดยไม่ต้องหวาดกลัวว่าจะโดนพิษในวังหลวงฆ่าตายได้ง่ายๆ ร่างกายที่ฝึกฝนกระบี่แม้จะรวดเร็วดุจสายลมแต่ยังคงอยู่ในวัยสิบขวบจนไม่น่าเชื่อว่าที่แห่งนี้เหมือนกาลเวลาหยุดนิ่งจริงๆ
ทั้งๆ ที่ความจริงผ่านมานานกว่าสามปี อาจารย์ฝู่ซานยังคงเป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย รสชาติอาหารย่ำแย่อย่างไรก็ยังคงเป็นอย่างนั้นการได้กลั่นแกล้งเขาเหมือนเป็นงานอดิเรกของอาจารย์จนเขาเริ่มชินชา
“เหยียนเจิ้งร่างกายเจ้าต้านพิษได้หลายชนิด อีกทั้งวิชากระบี่วิหคลมเก่งกาจกว่าผู้คนธรรมดาแล้ว เวลานี้ถึงเวลาที่เจ้าต้องออกจากหุบเขาแห่งนี้แล้วล่ะ” เช้าวันนี้อาจารย์เรียกพบเขาแต่เช้า คำกล่าวของอาจารย์พร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนทำให้เขารู้สึกใจหายไม่น้อย ตลอดสามปีที่อยู่ด้วยกันมาทำให้รู้จักอาจารย์ฝู่ซานมากขึ้น
“อาจารย์ ข้าอยู่ที่นี่ยังไม่ถึงสิบปีเลยนะขอรับ ทำไมรีบผลักไสข้าไปแล้วเล่าหรืออาจารย์เบื่อหน้าข้าแล้ว” ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ แม้จะรู้หน้าที่ในอนาคตของตนเองแต่บางครั้งเขาก็อยากใช้ชีวิตเงียบๆ อย่างที่นี่ ไม่ต้องแก่งแย่งชิงดีกับผู้ใด ไม่ต้องระแวงว่าผู้ใดจะเข้ามาสังหารตนเอง
“ใช่ เจ้ารู้ทันข้ามากเกินไปจนน่าเบื่อ” ฝู่ซานตอบกลับเสียงเบื่อหน่ายเพราะไม่ว่าเขาจะกลั้นแกล้งลั่วเหยียนเจิ้งอย่างไร อีกฝ่ายก็มีแต่รอยยิ้มที่ลอกเลียนแบบเขามาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน และให้ความรู้สึกว่าตัวเขากำลังมองตัวเองในวัยเด็กอย่างไรอย่างนั้น ที่สำคัญลูกศิษย์เขายังมีหน้าที่ต้องทำจะมาเสียเวลากับที่นี่ไม่ได้ อีกทั้งตนก็ไม่รู้ว่าจะสอนอะไรกับคนเจ้าเล่ห์รู้ทันคนอย่างบุตรสวรรค์ผู้นี้แล้ว
ลั่วเหยียนเจิ้งนิ่งอึ้งไปเมื่อรับรู้ความจริงจากปากผู้เป็นอาจารย์คนแรกและคนเดียว ทว่าดวงตาจริงใจที่ส่งมาทำให้หัวใจอบอุ่นมากขึ้น
“เหยียนเจิ้งอนาคตของเจ้าล้วนแต่ถูกสวรรค์กำหนด หากสิ่งใดที่ทำให้เจ้ามีความสุขจงอย่าปล่อยทิ้งไป แม้หน้าที่ของเจ้าจะหนักหนาจงอย่าท้อ แม้ไม่มีใครรักเจ้าจงจำไว้ว่าสวรรค์หาได้ทอดทิ้งเจ้าไม่” ลั่วเหยียนเจิ้งยิ้มรับเพราะอาจเป็นครั้งแรกที่อาจารย์จะพูดจริงจังกับเขาเช่นนี้
“ขอรับอาจารย์ ข้าจะจดจำไว้”