นางอัมพรยืนเชิดคออยู่ที่หน้าบ้าน ตอนที่ฐิตตาลงมาจากรถ เธอมองมารดาของนายแพทย์ภวินท์ด้วยหางตา ไม่ได้ให้ความสำคัญกับทางนั้น ก่อนก้าวเท้าเข้าบ้าน หญิงแก่วัยกว่ามองมาที่เธอแล้วบิดริมฝีปากเอ่ยถามด้วยความหยันเหยียดไม่เคารพ
“ไม่ทราบว่าเมื่อคืนไปฟัดกับไอ้กุ๊ยที่ไหนมาหรือคะ สภาพเช้านี้ถึงได้ดู...” ทักแค่นั้นแล้วมองหมิ่นอย่างจงใจ
ถ้าคนถามรู้ว่า ‘ไอ้กุ๊ย’ ที่เธอนอนด้วยเมื่อคืนเป็นลูกชายของตัวเอง คงอกแตกตายแน่ คิดได้อย่างนั้นแล้วก็ยิ้มมุมปาก คิดต่อไปอีกว่าหากความสัมพันธ์เมื่อคืนนี้ทำให้เธอท้องได้ เธอจะเก็บเด็กไว้ปั่นหัวสองแม่ลูกนี่เล่น
ไม่ตอบอะไรแล้วตั้งท่าเดินหนี
“คุณฐิตตาไม่กลับบ้านบ่อยๆ แบบนี้ ข้างนอกรู้เข้าจะเป็นข่าวอีกนะคะ”
“เป็นแค่แม่บ้านไม่ใช่หรือไง”
ตอกกลับสั้นๆ อย่างไม่อยากให้ราคาอีกฝ่าย แล้วผละเดินกลับห้องของตนเอง
ตั้งแต่บิดาของเธอเสียชีวิต สองแม่ลูกนั่นก็กร่างขึ้นมาในบ้านเธอทันที ฐิตตาเริ่มไม่ลงรอยกับบิดาเมื่อตอนเข้าวัยรุ่น เธอถูกส่งให้เป็นเด็กนักเรียนประจำมาตลอดจึงไม่ใคร่รู้เรื่องราวเป็นไปในบ้านของตนเองเท่าไรนัก
รู้แต่เพียงว่าบิดาของเธออุปการะสองแม่ลูก ซึ่งก็คือ นางอัมพร และ ภวินท์มานาน นอกจากดูแลอาการป่วยของนางอัมพรจนหายดีแล้ว ยังให้ที่พักสองแม่ลูกกาฝากนี่ ยังส่งเสียบุตรชายของนางอัมพรให้เล่าเรียนจนจบอีกด้วย
นึกถึงข่าวฉาวของบิดาก็ให้ใจสั่น
บิดาและมารดาของฐิตตาต้องเลิกรากันก็เพราะเรื่องนี้
ท่านเป็นชายมีรสนิยมรักร่วมเพศ
คิดถึงวันที่ได้รู้ข่าวการเสียชีวิตของมารดาก็ให้ปวดใจยิ่งนัก ท่านเห็นคาตาว่าสามีของตนกกกอดอยู่กับชายจากบาร์โฮสก็เสียใจอย่างหนักแล้วขับรถออกมาจนประสบอุบัติเหตุ จากนั้นบิดาของฐิตตาก็ใช้ชีวิตอิสระมาโดยตลอด สุดท้ายท่านก็จบชีวิตของท่านเอง
หยุดคิดเรื่องบั่นทอนจิตใจ ฐิตตาเก็บเสื้อผ้าข้าวของลงกระเป๋า เธอตัดสินใจได้ตั้งเป็นสัปดาห์มาแล้วว่าจะไปจากที่นี่ ก่อนหน้าเธอเข้าไปติดต่อกับคุณอาที่ธนาคารมาแล้ว ปิดมันทุกบัญชีที่มีสิทธิ์เบิกถอนเงิน เพื่อนำไปใช้ในชีวิตของตนเอง
บ้านที่มีแต่คำเรียก แต่ไม่มีความอบอุ่น ไม่มีความปลอดภัยอีกต่อไป ก็ไม่รู้จะอยู่ไปทำไมอีก เมื่อคืนมันก็แค่งานเลี้ยงที่เพื่อนของเธอจัดเลี้ยงส่งให้เมื่อตอนที่ฐิตตาบอกว่าจะไปจากเมืองไทย แล้วทิ้งทุกอย่างไว้ที่นี่ พอพวกนั้นถามถึงสามีของเธอ ฐิตตาก็บิดปากให้รู้ว่าน่ารังเกียจสิ้นดี อย่าได้ถามถึงคนคนนั้น
‘ไม่ต้องห่วงนะนังถิงถิง พี่หมอน่ะ ฉันจะดูแลให้เอง’
เรื่องนี้ก็ด้วยที่เธอต้องการจัดการให้จบสิ้นไป ก่อนเดินทาง สัญญาบ้าบอที่บิดาเอ่ยปากขอให้เธอเซ็นชื่อลงไปเพื่อท่าน เหมือนกรงที่ขังเธอเอาไว้ บัดนี้ฐิตตาขอปลดปล่อยตัวเองออกจากกรงนั่นทีเถอะ
ใบหย่าถูกเซ็นเอาไว้เรียบร้อย
ฐิตตาเก็บเฉพาะของที่สำคัญลงในกระเป๋า เหลือบไปเห็นตุ๊กตาเด็กผู้หญิงผมสีชมพูแปร๋นก็เอามากอดพร้อมน้ำตาไหลรินสองข้างแก้มช้าๆ
“ถิงคิดถึงคุณแม่ค่ะ”
งึมงำเบาๆ กอดตุ๊กตาที่มารดาซื้อให้จนหยุดร้องไห้ได้แล้วค่อยลากกระเป๋าออกมา พบพี่เลี้ยงคนสนิทยืนมองอยู่ตรงหน้าห้องนั่น พี่นวลถามหน้าเศร้า แม้จะตื่นตกใจแค่ไหน ใบหน้าและแววตาของพี่นวลก็เศร้าเสมอ
“คุณหนูจะไปไหนคะ”
“ถิงจะกลับไปเรียนต่อค่ะพี่นวล”
“อย่าไปเลยนะคะคุณหนู เพิ่งจะกลับมาก็จะไปอีกแล้ว”
พี่เลี้ยงที่คอยดูแลฐิตตาในวัยเด็กบอกอย่างอาลัย
นวลไม่เชื่อว่าคุณหนูที่ตนเลี้ยงมาแต่เล็กจะเป็นผู้หญิงประเภทใจแตก คุณหนูของนวลรักสงบ ทั้งยังเรียบร้อยและฉลาดพูดจาจะตาย แต่ทำไมเจ้าตัวถึงปล่อยให้ภาพออกสื่อไปแบบนั้นก็ไม่รู้ จนตอนนี้ใครต่อใครพากันซุบซิบนินทาทั่วว่าฐิตตาเป็นผู้หญิงที่มีดีแต่สวยอย่างเดียว อ้อ พ่วงตัวปัญหาเข้าไปในเจ้าหล่อนด้วยอีกข้อ
คุณหนูของนวลต้องกำลังคิดอะไรในใจอยู่เป็นแน่
ฐิตตามองอีกฝ่ายด้วยสายตาซาบซึ้งใจ หากจะเหลือคนที่รัก ห่วงใย หวังดีกับฐิตตาจริงๆ ก็คงมีเพียงพี่นวลกับป้าทุม ป้าแม่ครัวเก่าแก่นี่เท่านั้นละมัง
ฐิตตาละมือจากกระเป๋าลาก เดินมากุมมือพี่เลี้ยงของตนแล้วว่า “ถิง อยู่ไม่ได้แล้วค่ะ”
“แต่ที่นี่เป็นบ้านคุณหนูนะคะ”
ใช่ เธอเรียกมันว่าบ้าน เพราะเกิดและโตที่นี่
แต่บิดาโอนให้เป็นชื่อของนายแพทย์ภวินท์ไปแล้ว หลังจากหลอกให้เธอเซ็นชื่อลงในทะเบียนสมรส ท่านก็โอนชื่อบ้านให้เป็นของนายแพทย์ภวินท์อยู่ดี
ในเนื้อหาของสัญญาสมรส บอกแต่ว่าหากจดทะเบียนสมรสกันแล้ว บ้านหลังนี้ รวมถึงหุ้นในโรงพยาบาลก็ด้วยเป็นชื่อของเขาหมดตามระยะเวลาที่จดทะเบียนกัน
หากหย่าก่อนกำหนดสัญญา ภวินท์ต้องจ่ายค่าปรับเป็นจำนวนสิบเท่าของมูลค่าทรัพย์สินในวันนั้น แต่หากถือครองจนครบกำหนด ภวินท์จะได้เป็นหนึ่งในบอร์ดบริหารของโรงพยาบาล
พ่อทำแบบนี้ทำไม กักอิสระของเธอเอาไว้กับหมอนั่นทำไม
แล้วเธอก็ถูกรังแกอยู่อย่างนี้ ท่านจะทราบเรื่องบ้างไหม
ไหนยังจะทรัพย์สมบัติในบ้านนี่อีก ไม่รู้ว่าสองแม่ลูกนั่นยักยอกเอาไปเป็นของตัวเองมากขนาดไหนแล้ว
ก็ได้ ในเมื่อท่านทำแบบนี้ เธอก็จะไม่อยู่รักษาข้าวของอะไรทั้งนั้น ปล่อยให้พวกมันยึดเอาไปให้หมดเลยก็ดี คิดอย่างมีโมโห
แล้วหันมาบอกกับพี่นวล
“ดูแลตัวเองให้ดีๆ นะคะ ถิงไปก่อน”
“บอกตัวเองไม่ดีกว่าหรือคะ”
เสียงนางอัมพรดังแทรกเข้ามาอย่างที่ไม่รู้จักคำว่ามารยาทเท่าไรนัก ฐิตตามองกราดก่อนผุดรอยยิ้มยั่วกล่าว
“รู้สึกจะชอบเข้ามายุ่งกับฉันจังเลยนะคุณแม่บ้าน คนแบบนี้เขาเรียกว่ายังไงนะคะพี่นวล แส่ หรือ เสือ...”
“นังเด็กบ้านแตก! อิธ่อ ทำมาพูดข่มคนอื่น ก็แค่เด็กที่ไม่มีใครเขาเอา ดีแค่ไหนแล้วที่ได้ลูกชายฉันยอมแต่งงานด้วย หล่อนคิดว่าบ้านนี้มันติดจำนองไว้กี่ที่กันยะ แล้วไหนยังจะโรง’บาลเล็กๆ นั่นอีก มันขาดทุนยับมากี่ปีแล้ว ถ้าไม่ได้หมอวินบริหารให้มันรอด ปลดหนี้ได้จนครึ่งค่อนแล้วนั่นน่ะ คิดบ้างไหมว่าจะมีเงินไว้เสพสุขได้แบบนี้”
โดนเอาความจริงมาปาใส่หน้าแบบนี้ ฐิตตาก็โกรธจนลมออกหู โต้กลับ
“ลูกชายของเธอน่ะหรือจะเก่งขนาดนั้น แน่ใจนะว่าเขามีความสามารถจริงๆ ไม่ใช่ว่าเอาตู...” ฐิตตาห่อปากไว้แค่นั้น ไม่ยอมออกเสียงให้จบ ก่อนว่าต่อ “เข้าแลกให้หมอหน้าโง่ ไม่ก็นักธุรกิจเพศเดียว พันธ์ุเดียวกันมาช่วยบริหารงานให้น่ะ ไม่รู้หรือแกล้งไม่รู้กันแน่ว่าลูกชายเธอน่ะเป็นตุ๊ด!”
ใครจะด่าว่าตัวเอง นางอัมพรไม่เดือดร้อนทุรนทุรายสักนิด
แต่จะมากล่าวหา ดูหมิ่นบุตรชายอันเป็นที่รักยิ่งของนางไม่ได้เป็นอันขาด
ภวินท์เป็นหน้าเป็นตา เป็นสิ่งที่นางอัมพรเทิดทูนยิ่งกว่าสิ่งใด
ได้ยินฐิตตาว่าดังนั้น ชี้หน้าเธอ พร้อมกล่าวอาฆาต
“วันนี้กูไม่ได้เลือดมึงมาล้างตีน อย่ามาเรียกกูว่าอีพรเลย”
“ฉันไม่แลกกับเธอหรอก เรามันคนละเกรดกัน”
ฐิตตายิ้ม กล่าวท้าทายยั่วยุด้วยอารมณ์รุนแรงสวนกลับไป
นางอัมพรเป็นหญิงชาวบ้าน แม้จะได้หมอชวัล บิดาของฐิตตาเอามาชุบเลี้ยงอยู่เป็นนาน แต่ก็ไม่สามารถขัดเกลาเปลี่ยนให้เป็นผู้ดีขึ้นมาได้ หลังชี้มือที่สั่นระริกกล่าวกลับไป ก็ปราดเข้าทำร้ายฐิตตาทันที แต่ฐิตตาไม่ใช่คนอ่อนแอ หล่อนอายุน้อยกว่า หน่วยก้านดีกว่า และเป็นมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาที่หากมีสิ่งมายั่วยุ ก็พร้อมจะสู้กลับ
สองคนพยายามจะทำร้ายซึ่งกันและกัน
นางอัมพรจะจิกผมฐิตตาให้ได้ ตั้งใจว่าจิกแล้วจะตบสั่งสอนสักทีสองที แต่เป็นฐิตตาที่แข็งแรงกว่า หญิงสาวใช้จังหวะที่นางอัมพรเผลอจิ้มลูกตาแล้วผลักอีกฝ่ายออก และเพราะยืนทะเลาะกันอยู่ใกล้บันไดนี่เอง นางอัมพรที่เสียหลักพร้อมกับสูญเสียการมองเห็นชั่วขณะจากการถูกฐิตตาทำร้ายจึงพลัดตกบันไดลงไป
“ว๊าย!”
เสียงกรีดร้องพร้อมกับเสียงของหนักไหลตกกระทบตามขั้นบันไดลงไปจนถึงขั้นสุดท้ายพาให้เด็กรับใช้กรูกันเข้ามาดู แล้วก็ยืนงงกันอยู่ตรงนั้นเอง
ฐิตตายืนมองนิ่งๆ แล้วถึงสั่งเสียงเฉยเมย
“โทรตามรถโรง’บาลสิ”
เมื่อเห็นว่ารถมารับตัวนางอัมพรไปแล้วเลยตั้งท่าจะลากกระเป๋าจากไปอย่างที่ตั้งใจในทีแรก แต่พี่นวลที่เคยดูแลเจ้าหล่อนมาแต่เล็กมองเห็นแววตาหมองมัวของนาย จึงรีบรั้งเอาไว้
“คุณหนูอย่าเพิ่งไปไหนเลยนะคะ พี่นวลว่าเข้าไปพักในห้องก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวพี่นวลยกนมอุ่นๆ มาให้นะคะ”
ฐิตตารู้สึกใจคอไม่ดีเมื่อเห็นนางอัมพรตกบันไดลงไปแบบนั้น เธอไม่ได้ตั้งใจให้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นเสียหน่อย
และสาเหตุก็เกิดจากนางอัมพรมาหาเรื่องทะเลาะกับตนก่อนแล้วจึงพลัดตกลงไปเอง เมื่อถูกพี่เลี้ยงดึงให้กลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง หญิงสาวนั่งนิ่งพยายามสงบสติอารมณ์ แต่มือเล็กๆ นั่นก็สั่นเทาเบาๆ เพราะเกิดความหวาดกลัวไปหมด
นายแพทย์ภวินท์ต้องจบการประชุมก่อนเวลา เมื่อได้รับรายงานจากคะนึง เลขาส่วนตัวว่ามารดาของเขาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล
“เกิดอะไรขึ้นครับ”
“คุณอัมพรเธอ เอ่อ เธอทะเลาะกับคุณถิงค่ะ ไม่ทราบยังไงคุณอัมพรพลัดตกบันไดลงมาค่ะหมอ”
แล้วภาพที่ฐิตตากล่าวยั่วยุ หาเรื่องเขาเมื่อคืนนี้ก็ผุดวาบเข้ามาในหัวของนายแพทย์หนุ่ม
หลังฟังคำบอกเล่าจากเลขาคนสนิท เขาเข้าไปดูแลอาการของมารดาเมื่อเห็นว่าท่านกระดูกขาข้างขวาหักได้รับการตรวจจากหมอผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเรียบร้อยแล้ว และมีแพลนเข้ารับผ่าตัดใส่เหล็กดามเอาไว้ เท่านั้นภวินท์ก็เดือดเป็นไฟบรรลัยกัลป์ทันที เขาพาตัวเองกลับมาที่คฤหาสน์หลังใหญ่ที่เป็นของนายแพทย์ชวัลในเวลาต่อมา
ทันทีที่เข้ามาในบ้านก็ถามเอากับพี่เลี้ยงของฐิตตา ที่ยืนอยู่ตรงนั้นพอดี
“คุณฐิตตาอยู่ไหน”
“คุณหมอคะ คุณหมอใจเย็นๆ ก่อนนะคะ คือว่าคุณหนูไม่ได้ทำ...”
นายแพทย์หนุ่มเดินดุ่มๆ ขึ้นไปที่ชั้นบนของบ้านทันที ไม่รอให้อีกฝ่ายแก้ตัวให้นายของตน ก้าวขึ้นไปที่ห้องของฐิตตาอย่างไม่เคยคิดอยากจะกล้ำกรายมาก่อน แต่โทสะทำให้เขาหมดความอดทนในที่สุด
ประตูถูกกระชากเปิดออก ฐิตตาที่เอนหลังพิงหัวเตียงกอดตุ๊กตาตัวโปรดผมสีชมพูแปร๋นที่มารดาซื้อให้ สะดุ้งตกใจเพียงเล็กน้อยแล้วเมินมองไปทางอื่นทันที
“เรื่องที่คุณทำร้ายแม่ ผมจะไม่เอาเรื่อง”
ราวกับไม่ได้ยินเรื่องที่เขาพูด ฐิตตาบอกทั้งที่ยังมองไปทางอื่น คล้ายไม่ใส่ใจว่าใครจะเป็นจะตายเพราะใคร
“เซ็นใบหย่าให้ฉันเดี๋ยวนี้”
นายแพทย์ภวินท์ได้ยินแล้วก็ได้แต่แค่นหัวเราะทั้งที่ไม่ได้ขำเลยสักนิด ถามกลับ
“ผมทำแบบนั้นไม่ได้หรอกฐิตตา ไม่ใช่เพราะว่าผมรักคุณมากจนไม่อยากหย่านะ แต่ที่ยังหย่าไม่ได้เพราะต้องให้เป็นไปตามสัญญาของอาจารย์”
เขาเรียกบิดาของเธอว่าอาจารย์ทุกครั้ง ฐิตตาได้ยินแบบนั้นแล้ว เอ่ยขึ้นอย่างต้องการเอาชนะ อ้างถึงทนายประจำตระกูล
“ฉันจะคุยกับอาสุนัยให้ สัญญาบ้าบออะไรกัน ไร้สาระที่สุด”
ภวินท์เข้ามายืนประจันหน้ากับเธอ แล้วบอก
“ผมเคยคุยกับท่านแล้วเรื่องนี้ คุณก็ทนไปก่อนแล้วกัน รอให้ครบกำหนดสัญญา ผมจะหย่าให้ทันที อย่าว่าแต่คุณเลยที่อยากหย่า ผมเองก็อยากจนตัวสั่นเหมือนกัน”
เมื่อเห็นว่าในห้องมีแค่เราสองคน เขาก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงยียวน
“หวังว่าจะไม่ท้องเสียก่อนล่ะ”
ฐิตตาเสียววาบขึ้นในอก ตวัดตามองเขา กล่าวแทบเป็นตวาด
“มันจะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไง”
“ทำไมจะไม่ได้” นายแพทย์ภวินท์ย้ายมานั่งลงบนเตียงของเธอแล้วโน้มตัวเข้ามาพูดเสียใกล้
“ในเมื่อเรื่องที่เราทำร่วมกันนั่นน่ะ มันทำให้คุณท้องได้ ไม่รู้หรอกหรือ”
โต้กลับทันควันด้วยอารมณ์โมโห
“ไม่มีทาง! ฉันไม่มีทางท้องเด็ดขาด”
เขาลุกยืนแล้วว่าต่ออย่างไม่แยแส
“ก็ดีแล้วไง เพราะถ้าคุณท้อง ผมนี่ล่ะจะยื่นฟ้องไม่ให้คุณมีสิทธิ์ในตัวลูก ผู้หญิงแบบคุณจะดูแลใครได้ แค่ตัวคุณเองยังเอาไม่รอดเลยฐิตตา”
เขาขู่เธอสารพัดแล้วถึงจากไป ฐิตตาทั้งแค้นใจ เจ็บใจ เมื่อมองเห็นรถยุโรปของอีกฝ่ายขับออกไปจากรั้วบ้านแล้ว เธอตรงไปลากกระเป๋าลงมาที่ชั้นล่างของบ้าน นึกสังเวชที่แม้แต่บ้านหลังนี้ บิดาก็โอนให้เป็นชื่อของนายแพทย์ภวินท์ กิจการโรงพยาบาลท่านก็มอบหุ้นให้เขาจนเกินกึ่งหนึ่ง
ที่นี่ไม่มีอะไรเป็นของเธออีกต่อไปแล้ว
และทะเบียนสมรสไม่สามารถกักขังเธอเอาไว้ได้ เธอจะไป ครบสัญญาเมื่อไร เธอจะกลับมาทวงใบหย่า บ้าน และทรัพย์สินของเธอคืน
ฐิตตาอดสูนัก แต่เธอจะไม่อดทน เธออยู่ที่นี่ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
นายแพทย์ภวินท์ปิดแฟ้มรายงานลง เหลือบมองปฏิทินคล้ายครุ่นคิดรอคอย เขาไม่ได้ข่าวของฐิตตาอีกเลยจากวันนั้น ถึงนาทีนี้ก็ล่วงเข้าไปครึ่งปีแล้ว วันที่คนในบ้านรายงานว่าเจ้าหล่อนลากกระเป๋าออกไป เขาคิดว่าฐิตตาคงจากไปได้ไม่นานหรอก อย่างเก่งก็คงแค่เดือนเดียว
แต่นี่มันหกเดือนมาแล้ว หล่อนหายไปไหน
ก็ช่างปะไร
อยากเตลิดไปไหนก็ไปเถอะ หากจะตามหาตัวกันจริงๆ มันก็ไม่ยากนักหรอก จ้างคนตามหาประเดี๋ยวก็เจอ เผลอๆ เงินหมด ผู้หญิงที่ไม่ได้เรื่องแบบนั้นก็จะกลับมาเอง โดยที่เขาไม่ต้องออกตามหาด้วยซ้ำ
ก่อนผุดคำถามแวบเข้ามาในหัว
แล้วถ้าเธอไม่กลับมาล่ะ
ก็ช่างปะไร
บ้านของตัว
กิจการของพ่อตัว จะยกให้เขาก็ได้นี่ คิดอย่างมีโมโหขึ้นมาอีก
เพราะตอนนี้เขาพยายามเต็มที่แล้ว กับการเคลียร์ยอดติดลบของโรงพยาบาล และผลประกอบการก็ดีขึ้นตามลำดับ ราคาหุ้นของโรงพยาบาลสูงขึ้นจากเดิมจนเป็นที่น่าพอใจอยู่ไม่น้อยทีเดียว
ส่วนเรื่องฐิตตา เขาจะให้ความสำคัญเธอรองลงมาจากนั้น
งานที่สำคัญที่สุดของนายแพทย์ภวินท์ตอนนี้คือบริหารที่นี่ให้มันรอดอย่างที่อาจารย์ชวัลฝากฝังเขาเอาไว้ก่อนที่ท่านจะเสียชีวิตลง