บทที่3.2

1913 คำ
ผู้ชายอย่างเขามักคิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่และเหมาะสมที่จะเป็นช้างเท้าหน้า แน่นอนว่าฉันจะทำให้เขาเปลี่ยนความคิด ไม่ว่าเพศหญิง เพศชาย หรือเพศไหนๆ ฉันมองว่าทุกคนล้วนมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน ไม่มีใครยิ่งใหญ่กว่าใครหรอก “ใจร้ายจังนะ” ผาถอนหายใจเมื่อฉันออกแรงหนึ่งในสี่ส่วนเพื่อบิดข้อมือออกจากการเกาะกุม ด้วยความที่ผาผ่อนปรนลงเยอะแล้ว การดึงอิสรภาพกลับคืนมาในครั้งนี้จึงแทบไม่ต้องใช้ความพยายามอะไร “จะไปเรียนแล้ว” ฉันบอกเขาแค่นั้นแล้วเดินลงมาจากรถทันที ยังเหลืออีกครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาเรียน ฉันจึงตั้งใจว่าจะเข้าไปทำธุระในห้องน้ำสักหน่อย แต่วินาทีที่เดินผ่านลานหูกวางข้างตึกวิศวฯ ฉันกลับพบใครบางคนเข้าซะก่อน ผู้ชายท่าทางเกเร ใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ตอนนี้เต็มไปด้วยแผล...เอย์ เขามองเห็นฉันจากระยะหลายสิบเมตร ทว่าสบตากันไม่ถึงสามวินาที ร่างสูงเหยียบ 180 เซนติเมตรในชุดนักศึกษาไม่เป็นระเบียบก็ย่างสามขุมเข้ามาใกล้แล้วฉวยมือฉันไปบีบ “นึกว่าไปตายที่ไหน ที่แท้ก็ขลุกอยู่กับมัน” ในความโกรธ ฉันมองเห็นความน้อยใจจากแววตาของเขา ฉันไม่ได้พูดหรือตอบโต้อะไรเพราะคิดว่านี่ไม่ใช่เวลามาสู้รบตบตีกับเขา แต่ยังไม่ทันได้ตัดสินใจว่าจะทำอะไร เอย์ซึ่งหัวเสียเป็นทุนเดิมก็ลากฉันไปที่ไหนสักที่ด้วยท่าทีเกรี้ยวกราด แน่นอนว่าระหว่างทางมีนักศึกษามากหน้าหลายตาจับจ้องมาที่เราอย่างให้ความสนใจ ราวๆ สองนาทีหลังจากนั้นฉันก็พบว่าเอย์พาเข้ามาในห้องน้ำชายของตึกวิศวฯ ไม่เพียงเท่านั้น...เขายังปิดประตูลงกลอนอย่างดี ก่อนจะผลักฉันติดกับบานประตูที่ปิดสนิทราวกับต้องการเคลียร์กันตัวต่อตัวให้รู้เรื่อง เอาจริงๆ ฉันควรจะตกใจ ทั้งเรื่องที่เขายังไม่ตายแล้วมาปรากฏตัวตรงหน้า และเรื่องที่เขาลากฉันเข้ามาในนี้...ห้องน้ำชายที่แสนจะคับแคบ แถมยังเหม็นสาบชวนอ้วก ฉันไม่ตกใจ เพียงแค่เลิกคิ้วขึ้นมองเจ้าของร่างสูงในสภาพยับเยินอย่างมีคำถาม “ที่ไม่กลับบ้านเพราะนอนค้างกับมัน?” เอย์ถามอีกรอบ และยังคงเป็นเรื่องผาเหมือนเดิม ลมหายใจของเขากรรโชก นัยน์ตาคู่สวยฉายแววคุกรุ่นเหมือนฉันกำลังทำเรื่องผิดร้ายแรง แต่ขอโทษ...เขามีสิทธิ์อะไรมาหงุดหงิด นอกจากอวดดีแล้วยังชอบทำอะไรไม่เจียมกะลาหัว “ใช่” ฉันให้คำตอบที่เป็นความจริง และ... ตึง! เอย์ใช้กำปั้นข้างหนึ่งทุบลงบนบานประตูเฉียดผิวแก้มฉันไปไม่กี่เซนติเมตร การสั่นสะเทือนจากแรงปะทะทำให้ฉันรับรู้ถึงพละกำลังของเขา หากแต่ฉันยังคงจ้องหน้าเอย์ มองดูการกระทำน่าสมเพชอย่างเวทนา “ฉันบอกเธอว่าไง” เอย์ใช้น้ำเสียงดุดันที่มีทั้งความฉุนเฉียวและเอาแต่ใจ “เรื่องไอ้ผา เอย์เคยบอกเกลว่าไง” “ฮ้าว...” เพราะรู้ว่าเอย์ทำเป็นแต่เรื่องใช้กำลังและข่มขู่ แถมยังวางอำนาจบาตรใหญ่กับฉันทั้งที่ไม่มีสิทธิพิเศษอะไรสักอย่าง หนังม้วนเดิมที่ดูจนเบื่อจึงทำให้ฉันรู้สึกง่วงงุน รู้ตัวอีกทีก็ยกมือปิดปากซึ่งกำลังหาวอยู่ตรงหน้าเขา ถามแต่เรื่องเดิมๆ ทำแต่เรื่องเดิมๆ ฉันขี้เกียจอยู่ฟังเขาพล่ามน้ำลายแตกฟองแล้ว มันน่ารำคาญ หมับ! ไม่กี่วินาทีต่อจากนั้นมือข้างที่ยกปิดปากถูกเอย์คว้าด้วยความรุนแรงเพียงหนึ่งในสี่ส่วน เขากำลังจับจ้องรอยช้ำสีม่วงจากข้อมือข้างเดียวกัน ก่อนจะเคลื่อนสายตาขึ้นมาเพื่อมองหน้าฉัน “รอยอะไร ใครทำ” เอย์ดูหงุดหงิดกว่าเดิมหลายเท่าเมื่อพบว่ารอยช้ำดังกล่าวไม่ใช่รอยเล็กๆ และด้วยความที่ฉันเป็นคนผิวขาวค่อนไปทางซีด เวลามีรอยช้ำจะดูน่ากลัวเป็นพิเศษ “เกล บอกเอย์มา” “หยุดสาระแนสักเรื่องคงไม่ตาย” พึ่บ! ฉันขืนแรงเพื่อกระชากข้อมือกลับมา แต่เอย์ไม่ผ่อนปรนและไม่ยอมให้ฉันได้ทำตามอำเภอใจ ดูท่าว่าไอ้เด็กคนนี้คงอยากได้คำตอบว่าใครเป็นเจ้าของรอยช้ำที่ข้อมือของฉัน เอย์หวงฉัน จะหวงด้วยฐานะไหนก็ช่าง แต่เขาไม่ชอบให้ใครมาสร้างรอยช้ำหรือบาดแผลบนตัวฉัน ใช่ เพราะเขาคิดว่าตัวเองเป็นคนเดียวที่มีสิทธิ์ “ไอ้ผา?” วูบหนึ่งนัยน์ตาของเอย์เต็มไปด้วยประกายไฟ มันร้อนรุ่มแต่ก็ให้ความรู้สึกเยือกเย็นไปในคราวเดียว “มันทำร้ายเธอเหรอ” “ทำไม โกรธ?” ฉันถามกลับ เนื่องจากอยากรู้ว่าที่เขาเป็นแบบนี้เพราะโกรธหรืออะไร เอย์หายใจฟึดฟัดแสดงออกถึงความหงุดหงิดงุ่นง่าน หากแต่ปลายนิ้วโป้งจากมือข้างที่ยังคงคว้าข้อมือกลับลูบไล้รอยช้ำของฉันอย่างแผ่วเบา...ราวกับกลัวว่าหากออกแรงมากกว่านี้อาจทำให้ฉันเจ็บจนต้องร้องไห้ ตอแหลเก่งจริงๆ ทำเป็นลืมไปได้ว่าเคยทำฉันเจ็บมากกว่านี้ เจ็บจนเกือบตายแต่เขาไม่เห็นจะไยดี ไอ้สารเลว ลืมไปแล้วเหรอ “ก็แค่ตอบมา ไม่ยาก” เอย์ยังคงคาดคั้นจะเอาคำตอบ ฉันที่นิ่งเฉยต่อการกระทำของเขาอย่างเสมอต้นเสมอปลายมีความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มาสักพักแล้ว ดังนั้นฉันจึงให้คำตอบเขาไป “ใช่” หลังเลิกเรียน “อีเกล สรุปน้องชายแกเป็นอะไรอ่ะ ทำไมเยินขนาดนั้น” คำถามที่เต็มไปด้วยความกระหายใคร่รู้ของเฟรย์...หนึ่งในกลุ่มเพื่อนทำให้ฉันถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย เรื่องของเรื่องคือวันนี้เราเรียนหนักและแทบไม่ได้พักจึงไม่มีเวลามานั่งพูดคุยกันอย่างที่ควรจะเป็น พอถึงเวลาเลิกเรียนมันคงอัดอั้นตันใจจนต้องถามออกมา โดยไม่ได้สังเกตเลยว่าฉันเต็มใจที่จะตอบเรื่องนี้หรือเปล่า ความจริง...ไม่ว่าเรื่องไหน ถ้าฉันไม่อยากตอบก็แสดงออกไปตรงๆ ว่าไม่อยากตอบ “น้องเอย์เขาแบดบอยจะตาย คงมีเรื่องต่อยตีตามประสาอ่ะแหละ” ประโยคดัดจริตของมะเหมี่ยวฟังยังไงก็เหมือนมัน Crazy มากกว่าจะ Disgust เอย์ ซึ่งฉันมองว่าไม่แปลกเพราะลูกชายของสายธารมีรูปร่างหน้าตาเข้าขั้นโมเดลแถวหน้า ในสายตาคนภายนอกอาจมองว่าเขาเป็นเด็กธรรมดาๆ ที่หล่อเกินหน้าเกินตาคนอื่น แต่ไม่มีใครรู้หรอกว่านิสัยลึกๆ ของเขาเป็นแบบไหน ฉันเห็นมาหมดแล้วถึงมั่นใจ “อีนี่ก็ทำเหมือนไม่ห่วงน้องเลยนะ” เฟรย์กลอกตาใส่เหมือนรับไม่ได้ที่ฉันเฉยชาและสนใจเจ้าดุ๊กน้องหมาประจำมหาวิทยาลัยที่กำลังนอนตากแดดมากกว่าเรื่องของเอย์...คนที่มีศักดิ์เป็นน้องชายของฉัน “สนใจหมาขี้เรื้อนมากกว่าคนอีก” “มันอินดี้ ปล่อยแม่ง” มะเหมี่ยวหันไปพูดกับเฟรย์ พวกมันรู้ว่าฉันเป็นคนยังไงจึงบ่นออดแอด แต่ไม่ได้จริงจังอะไรนัก แน่นอน...ถ้าให้เลือกระหว่างเอย์กับหมา หมาดีกว่าเห็นๆ ฉันโทรไปหาผาเพราะเขาเป็นคนบอกว่าจะมารับหลังเลิกเรียน แต่โทรไปหลายสายแล้วก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะรับ ปกติฉันไม่ง้อเรื่องการไปรับไปส่งเพราะมีรถส่วนตัว แต่อย่างที่บอกไปว่ารถเสีย ตอนนี้มันจอดอยู่ที่อู่ของผา คาดว่าซ่อมเสร็จแล้ว เหลือแค่จ่ายเงินและตรวจเช็กอีกรอบ ผาบอกว่าซ่อมให้ฟรีในฐานะที่เป็นแฟน แต่ฉันยืนยันว่าจะให้ค่าตอบแทน เป็นแฟนก็ส่วนเป็นแฟน...ค่าแรง ค่าเสียเวลา ค่าเครื่องมือต่างๆ ก็ต้องจ่ายให้ในฐานะลูกค้าอยู่แล้ว ครืด ขณะที่ฉันตัดสินใจจะนั่งแท็กซี่ไปอู่ของผา หน้าจอโทรศัพท์มือถือก็ปรากฏชื่อแพน...หนึ่งในพนักงานประจำอู่ ไม่บ่อยนักที่เขาจะโทรมาหาฉัน คงมีเรื่องอะไรสักอย่าง “...?” ฉันกดรับโดยไม่ทักทาย [พะ พี่เกล!!] ปลายสายเสียงหอบสั่นราวกับกำลังตื่นเต้นจนควบคุมการพูดของตัวเองไม่ได้ [เกิดเรื่องแล้วครับ] “เกิดเรื่อง?” ฉันทวนถามสั้นๆ [ครับ คือ...] หลังฟังเรื่องราวทั้งหมดจากแพน ฉันก็วางสายแล้วขึ้นแท็กซี่ไปอู่ของผาทันที ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงที่หมาย เวลานั้นฉันพบว่ามีเลือดสีแดงข้นหยดอยู่บนพื้นบริเวณลานสำหรับพักรถ มีรอยเท้าและมีร่องรอยการปะทะเกิดขึ้นจริงๆ แพนเล่าว่าเอย์มาที่นี่ เขาทำร้ายผา ซึ่งอย่างที่เคยบอกไปว่าผาเองก็เป็นผู้ชายเลือดร้อน เขาคงไม่อยู่เฉยให้คนอายุน้อยกว่าอย่างเอย์หาเรื่องฟรี ผลสุดท้ายก็มีการนองเลือดเกิดขึ้น ตรงตามที่ฉันคำนวณไว้ไม่มีผิด ถ้าเอย์รู้ว่าเจ้าของรอยช้ำตรงข้อมือฉันมีต้นเหตุมาจากใคร เขาไม่นิ่งดูดายแน่ๆ แล้วก็อย่างที่เห็น เมื่อรู้ว่าผาเป็นคนทำ เขาก็บุกมาหาถึงที่และใช้กำลังตัดสินปัญหาเหมือนทุกครั้ง “พี่เกล!” แพนที่หันมาเห็นฉันพอดีวิ่งหน้าตั้งมาหาอย่างร้อนรน เขาอายุน้อยที่สุดในอู่ ไม่ได้เรียนหนังสือเพราะครอบครัวค่อนข้างยากจน เงินที่ได้จากการทำงานก็เอาไปจ่ายค่ายา ค่ารักษาพยาบาลให้แม่ที่กำลังป่วยหมด แพนเป็นเด็กดี ฉันเอ็นดูเขา “เละนะ” ฉันพูดพลางกวาดสายตาไปทั่วบริเวณ “ครับ ตอนนี้ผมกับพี่ๆ กำลังเก็บกวาดกันอยู่ ส่วนเฮียผาอยู่โรงพัก น่าจะใหญ่โตอยู่ครับเพราะเรื่องถึงหูเสี่ยโต้งแล้ว” เสี่ยโต้งที่ว่าคือพ่อแท้ๆ ของผา ท่านค่อนข้างดุ ถ้ารู้ว่าเอย์เป็นฝ่ายบุกมาหาลูกชายของตัวเองก่อน ชีวิตหมอนั่นคงจบไม่สวยเท่าไหร่ ผากับเอย์ไม่ถูกกันมาตั้งนานแล้ว เมื่อก่อนมีหลายครั้งที่ร้ายแรงถึงขั้นขึ้นโรงพัก แต่หลังจากที่ผารู้ว่าเอย์กลายเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวฉัน เขาก็พยายามเลี่ยงเพราะคิดว่าเรื่องนี้อาจส่งผลต่อความรู้สึกฉัน เขาไม่ได้มานั่งในใจฉัน จะไปรู้อะไร “งั้นขอเอารถไปเลยแล้วกัน” ฉันล้วงเงินออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้แพน “ส่วนนี้ค่าซ่อม ส่วนนี้ค่าขนมนาย” “เฮ้ยพี่ ค่าขนมอะไรตั้งสามพัน” แพนตาโต พยายามคืนเงินสามพันมาให้ฉัน “เก็บไว้เถอะครับ มันเยอะเกินไป” “ถ้าไม่เอาก็ทิ้ง” ว่าจบก็เดินขึ้นรถทันที ไม่สนใจท่าทีงกๆ เงิ่นๆ ของเจ้าเด็กกตัญญูคนนั้นอีกต่อไป ฉันถือว่าได้ให้ไปแล้ว เขาจะรับไว้หรือเอาไปทำอะไร หลังจากนั้นมันก็เป็นเขาที่จะต้องตัดสินใจเอง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม