ตอนที่ 8

1501 คำ
ตอนที่ 8 ทำไมถึงเป็นเช่นนี้นะหรือ...ก็ในจำนวนพี่น้องทั้งห้าคนนั้น มีเขาเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มิอาจจะฝึกวรยุทธ์ให้เก่งกาจได้อย่างไรเล่า แม้วรยุทธ์ขั้นพื้นฐานก็แทบจะมิเป็น สู้กับสัตว์อย่างหมากับแมว ก็ยังเป็นเขาที่พ่ายแพ้วิ่งหนีอย่างที่เขาเรียกว่า...หางจุกตูดทุกที แล้วอย่างนี้จะให้ขึ้นเวทีประลองยุทธ์ เท่ากับส่งเขาไปเป็นกระสอบทรายให้ผู้อื่นระบายอารมณ์นะสิ ท่านช่างคิดหาทางแก้แค้นคืนได้อย่างเจ็บแสบมากซ่งหยวนเจ๋อ เขมกรได้แต่กัดฟันกรอด ๆ ด้วยยังคิดมิออกว่าจะหลีกเลี่ยงเรื่องร้ายในครั้งนี้อย่างไรดี หากก่อนอื่น... “แล้วงานประลองที่ว่านี้...จะเริ่มเมื่อไหร่หรือขอรับ” ทุกคนได้แต่ทำหน้าราวกับโดนผีหลอก มองเขาอย่างคาดมิถึง เอ่อ...เขากล่าวอันใดผิดไปหรือ เขมกรขมวดคิ้วเข้าหากัน คิดว่าบนใบหน้าและดวงตาเต็มไปด้วยคำถาม “นี่ท่านจะบอกว่า...จำมิได้หรือขอรับพี่รอง” “เจ้าลืมไปหรือเปล่าน้องสี่น้องห้า เพราะข้าป่วยอย่างหนัก สมองได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนัก บางเรื่องที่สำคัญยิ่ง ข้าก็ยังจำมิได้เลย การมิได้ออกไปนอกเรือนก็มิได้รับรู้เรื่องภายนอก หากข้าจะจดจำเรื่องนี้มิได้ ก็มิแปลกอันใดมิใช่หรือไร” การพูดจาวกวนทำให้คนฟังรู้สึกมึนงงยามนี้เขาถนัดนักแล เขมกรยิ้มให้กับน้องชายและน้องสาวทั้งสองที่ได้แต่นิ่งและอึ้งด้วยมิรู้ว่าจะหาวาจาใดมาโต้ตอบกับเขา “งานประลองยุทธ์จัดขึ้นทุกห้าปี หมุนเวียนกันไปตามเมื่อต่าง ๆ ปีนี้จะจัดที่เมืองของเรา โดยมีตระกูลกวานเป็นผู้รับผิดชอบ ข้ายังเคยได้ยินท่านกล่าวว่าหากมีโอกาส จะลองลงประลองยุทธ์กับข้าอยู่เลยนะพี่รอง” เจ้า! เจ้าสาม เจ้าตัวแสบ! “เจ้าคงจะล้อข้าเล่นแล้วล่ะน้องสาม หากข้ากล่าวออกไป ข้าย่อมจะต้องจำได้บ้างสิ” ก็แน่ละสิ คนที่กล่าวเรื่องนี้คือเกาหยุนเหลียงมิใช่เขมกรคนนี้เสียหน่อย จะไปจดจำมันได้อย่างไรกันเล่า “ข้ายังทราบมาอีกว่า คุณชายเกาเก่งศาสตร์ทั้งหก[1]เป็นอย่างดี” หะ! เขมกรได้แต่อ้าปากค้าง ขณะหันไปมองหน้ามารดาพร้อมกับกะพริบตาปริบ ๆ ด้วยยังมิรู้เลยว่าอะไรคือศาสตร์ทั้งหกที่ซ่งหยวนเจ๋อกล่าวมา “เป็นเช่นนี้แล้ว ยามที่ประลองธนูกัน ข้าหวังว่าท่านจะมีไมตรี มิออมมือให้ข้าชนะได้โดยง่ายหรอกนะขอรับ” เขมกรได้แต่เบะปากและกลอกตาไปมา แค่จับคันธนูก็ยังมิเคยเลย จะให้ไปแข่งกับใครได้ล่ะ... “ฝีมืออย่างท่านพี่ แข่งยิงธนูกับบ่าวรับใช้ในครัวก็เห็นจะชนะยากแล้ว กลัวว่าจะไปทำเรื่องให้ท่านพ่อกับตนเองขายหน้าเสียมากกว่านะสิขอรับ” เจอวาจาดูถูกเหยียดหยามเช่นนี้ หากเป็นเกาหยุนเหลียงตัวจริง ป่านนี้คงอาละวาดพร้อมกับป่าวประกาศว่าตนเองนั้นเป็นผู้ที่เก่งกล้า มิว่าสิ่งใดก็ทำได้หมด เพียงแค่ยิงธนูและประลองยุทธ์เล็กน้อยเท่านั้น มิคณนามือแน่นอน จะวันไหนเมื่อไหร่ก็นัดมาเลย พร้อมรับมือทุกเมื่อ หากเขมกรนั้นมิใช่! เพราะเขามิได้เป็นคนเก่งที่สามารถทำทุกเรื่องทุกอย่างได้ อีกทั้งยังเป็นแค่หนุ่มน้อยที่หลงเข้ามาที่นี่เพียงเพื่อเปลี่ยนเกาหยุนเหลียงให้เป็นบุรุษที่ดีและบุตรที่กตัญญูต่อบิดาและมารดาเท่านั้น “น้องสามกล่าวถูกต้องแล้ว ข้าคงจะทำให้ท่านพ่อกับท่านแม่และตระกูลขายหน้าแล้ว” ไอ้ยิงธนูที่นี่มันจะเหมือนกับการโยนห่วงให้ลงขวด ขว้างลูกดอกให้ถูกเป้าหรือเปล่า หรือจะยิงหนังสติ๊กให้ถูกเป้าใช่ไหมนะ ถ้าใช่แบบนั้นเขมกรก็คิดว่าตนเองคงจะพอผ่านมันไปได้ มิทำให้ท่านพ่อกับท่านแม่และตระกูลเกาขายหน้ามากจนเกินไป...มั่ง “หรือคุณชายเกาจะมิร่วมประลอง” เขมกรอยากจะใช้สองนิ้วจิ้มตาของซ่งหยวนเจ๋อที่มองด้วยสายตาประมาณว่า ‘ข้าว่าแล้ว อย่างไรเจ้าก็ดีแต่ปาก เอาเข้าจริงก็มิกล้า ที่กล่าวว่าตนเองเก่งก็เพราะต่อยตีกับชาวบ้าน คนชราและเด็กเท่านั้น’ ก็แล้วยังไงล่ะ...ถึงอย่างไรเขมกรผู้นี้ก็มิได้โง่จนเอาตัวเองไปขึ้นเขียงเป็นเป้าให้ผู้อื่นซ้อมเอาหรอกนะ ทว่า...ปากมันกลับกล่าวออกไปว่า “คุณชายซ่งกล่าวมาเช่นนี้ ข้าคงจะมิอาจเลี่ยงได้แล้ว ในวันประลอง ข้าจะทำให้เต็มที่ขอรับ...มิทราบว่า นอกจากเรื่องนี้แล้ว คุณชายซ่งมีเรื่องอันใดจะกล่าวกับข้าอีกหรือไม่ขอรับ” เขมกรไถ่ถามซ่งหยวนเจ๋อด้วยน้ำเสียงที่คิดว่านุ่มนวลที่สุด พลางฉีกยิ้มหวานให้และยังจะส่งสายตาที่คิดว่าผู้ที่เห็นแล้วจะต้อง...ลืมคิดว่าจะทำสิ่งใด “ข้ามิได้จะเสียมารยาทเจ้าของเรือนที่ดีนะขอรับ เรื่องที่ท่านมาบอกกล่าวให้รู้...มันทำให้ข้าต้องคิดทบทวนฝีมือตนเองอยู่ระดับใด เพื่อจะได้เตรียมตัวให้พร้อม จะได้มิทำให้กตระกูลเกาขายหน้า อีกทั้งตัวข้าก็เพิ่งจะฟื้นไข้มินาน ตอนนี้ก็เริ่มรู้สึกมิสบายตัว อยากจะขอลาท่านไปพักผ่อนนะขอรับ” เขมกรกล่าวพร้อมกับยิ้มกว้าง ขณะมองซ่งหยวนเจ๋อที่อย่างไรก็รู้ว่าถูกเขาเอ่ยปากไล่! เขาก็มิรอให้ทุกคนที่ยืนอึ้งกับวาจาที่หวานแสบไส้ได้กล่าวสิ่งใด รีบคว้ามือของหลิวตงให้เดินตามอย่างรวดเร็ว ทว่า... “ท่าน!” เขมกรได้แต่เงยหน้ามองผู้ที่เคลื่อนไหวราวกับสายลมพัด เขาปวดศีรษะอย่างรุนแรงจนตาพร่า แขนขาก็อ่อนแรงจนยืนทรงตัวมิอยู่ มิคาดคิดว่าซ่งหยวนเจ๋อจะเห็นและเคลื่อนตัวมาช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว “หากร่างกายยังคงเป็นเช่นนี้ คงจะเป็นการยากที่คุณชายเกามีชัยในการประลองที่จะถึงนี้” เขมกรชักสีหน้าบึ้งตึงใส่คนกล่าว แม้มิอยากเข้าร่วม หากในฐานะของคุณชายตระกูลเกา เขาย่อมจะต้องต่อสู้สุดฝีมือ มิอาจให้พ่ายแพ้ในการประลองรอบแรกได้ “คุณชายซ่งมิต้องเป็นห่วงข้าหรอกขอรับ แม้ฝีมือข้าจะด้อยกว่าท่านมาก อีกทั้งสุขภาพที่ก็มิแข็งแรงอย่างที่ควรจะเป็น หากข้าก็คิดว่า...มิทำให้ตระกูลเกาต้องขายหน้าแน่นอน” เชื่อว่าเกาหยุนเหลียงจะต้องมีดีพอที่จะมิทำให้เขาและตระกูลขายหน้าแน่ “ท่านคงจะมิใช่วิธีแบบเดิมที่เคยใช้” วิธีแบบเดิม? เขมกรขมวดคิ้วเข้าหากัน ก่อนจะร้องอ๋อในใจพร้อมกับชักสีหน้าบึ้งตึงใส่คนกล่าว เมื่อคิดได้ว่าวิธีที่อีกฝ่ายกล่าวมานั้นคือ...การเล่นตุกติก เล่นมิซื่อ แอบทำร้ายผู้อื่นเพียงเพื่อให้ตนเองมีชัย “ที่ผ่านมาในสายตาของท่าน ข้าอาจจะแย่ มิได้เรื่องได้ความ แต่นับจากนี้...ขอให้ท่านรับรู้เสียใหม่ แม้ร่างกายจะมิพร้อม ฝีมือจะด้อยแค่ไหน หากก็มิคิดที่จะใช้วิธีสกปรกอย่างที่ท่านกล่าวมาแน่นอน ข้าจะต้องชนะด้วยวิธีที่ใสสะอาดเท่านั้น” ดูเหมือนที่เขากล่าวออกไป ซ่งหยวนเจ๋อจะแสดงออกอย่างชัดเจนว่ามิเชื่อ เช่นเดียวกับเหล่าพี่น้องที่เอ่ยออกมาว่า... “เป็นไปได้หรือ...ข้าว่าไม่นะ เจ้าว่าอย่างไรน้องสี่น้องห้า” “ข้าก็คิดเช่นนั้นพี่สาม...ท่านละพี่ใหญ่” น้องห้าหันไปเอ่ยถามผู้เป็นพี่ใหญ่ของเรือนที่แม้จะมีสีหน้าที่...เรียบเฉย หากในดวงตาก็ฉายความฉงนและสงสัยอย่างปกปิดเอาไว้มิมิด [1] (ความรู้สำหรับมหาบุรุษ คือวิชาความรู้โบราณมีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์โจว สำนักหลูที่ขงจื๊อเป็นศาสดาเจ้าลัทธิ ได้เรียบเรียงลงในบันทึกตำราชุนชิว ฉบับขงจื๊อเรียบเรียง อธิบายว่า บัณฑิตผู้จะเป็นมหาบุรุษพึงสำเร็จและมีความสามารถในศาสตร์ทั้งหกนี้เป็นอย่างดี.ได้แก่.- หลี่ หมายถึง วิชามารยาทพิธี - เล่อ หมายถึงวิชาคีตดนตรี - เช่อ หมายถึงวิชายิงธนู - อวี้ หมายถึงวิชาขับรถม้า - ซู หมายถึงวิชาอักขรวิธี การเขียนอักษรจีน – ซู่ หมายถึงวิชาคณิตศาสตร์คำนวณ)
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม