Chapter 3
บุพเพเริ่มอาละวาด (1)
ท่ามกลางความวุ่นวายของผู้คนมากหน้าหลายตา ธนัทเทพเดินตามคนขายลูกโป่งรูปร่างแปลกตาสีสันสดใสมาด้วยความสนใจ โดยลืมไปว่าไม่มีคุณลุงตามมาด้วย จนเมื่อคนขายลูกโป่งแฝงร่างหายลับไปกับฝูงชนหนูน้อยก็เริ่มรู้ตัว แววตาใสซื่อเหลียวมองไปรอบกาย จึงได้รู้ว่าตนมาอยู่ท่ามกลางคนแปลกหน้าโดยปราศจากร่างคุณลุงเสียแล้ว
ธนัทเทพเหลียวซ้ายแลขวาอย่างหวาดระแวง สายตาพยายามมองหาร่างคุ้นตาของคุณลุง เมื่อแน่ใจว่าไม่เห็นคุณลุงแน่แท้แล้ว ความหวาดกลัวเริ่มเข้ามาเกาะกุมหัวใจดวงน้อยๆ ที่ยังไม่ประสีประสาและยังไม่รู้จักการเอาตัวรอด หนูน้อยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องไปหาคุณลุงตนเองที่ไหน เพราะหนทางภายในสวนสัตว์นั้นแสนกว้างใหญ่ จะเดินย้อนกลับไปทางเดิมก็จำไม่ได้ว่าเดินมาจากทางไหน จนเมื่อสายตาไปสบเข้าหญิงสาวหน้าคุ้นตาที่กำลังเดินผ่านหน้าตนไป ธนัทเทพไม่รอช้า รีบพาร่างกลมป้อมวิ่งตรงดิ่งเข้าไปยังร่างนั้นด้วยความดีใจ
“คุณป้าคับ”
เสียงเรียกพร้อมนิ้วกลมป้อมยื่นมาสะกิดเข้าที่แก้มก้นเต่งตึงทำให้ญาตาวีชะงักฝีเท้า โดยหญิงสาวตั้งใจจะไปเข้าห้องน้ำเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน โดยเพื่อนพาหลานแยกตัวไปหาซื้อของกินแล้ว
นัดไปเจอกันที่รถ
'เอ๊ะ เด็กปากจัดนี่นะ คงจำพ่อมาล่ะสิ ถือวิสาสะมาจับก้นฉันได้ไง'
เพียงสายตาสบเข้ากับหนูน้อยหน้าคุ้นตา ญาตาวีถึงกับขุ่นเคืองขึ้นมาในทันใด เมื่อการกระทำของเด็กเมื่อสักครู่ทำให้ใบหน้าของคนที่เธอเชื่อว่าเป็นพ่อของเด็กลอยเด่นขึ้นมาในห้วงคำนึง
"ช่วยด้วยคับคุณป้า คุณลุงหายคับ"
"หือ?"
คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันเมื่อได้ฟังถ้อยคำออกมาจากริมฝีปากน้อยๆ หญิงสาวเหลียวมองไปรอบกายอย่างงุนงง แต่ไม่เห็นแม้เงาของชายหนุ่มที่ได้ปะทะคารมกันเมื่อตอนบ่าย
“พาเรย์ไปหาคุณลุงทีคับ”
หนูน้อยอ้อนวอนพร้อมทำหน้าคล้ายจะร้องไห้ แม้จะรู้สึกขุ่นเคืองอยู่ในอารมณ์ แต่ด้วยความมีมนุษยธรรม เธออดที่จะถามออกไปด้วยความสงสัยไม่ได้
“คุณลุง? คนไหนคุณลุงหนู”
“คุณลุงที่อยู่กับเรย์เมื่อกี้น่ะคับ”
หนูน้อยยังคงยืนยันอยู่เช่นนั้น ส่งผลให้สมองของญาตาวีครุ่นคิดด้วยความแปลกใจ สักพักเธอจึงเริ่มโยงเรื่องเข้าด้วยกันตามความเข้าใจของตนเอง
‘อ๋อ นึกออกล่ะ อีตาบ้านั่นแน่ๆ ทุเรศจริงๆ ให้ลูกเรียกลุง’
หญิงสาวลอบเบะปากออกมา เมื่อใบหน้าของชายหนุ่มที่เธอเข้าใจว่าเป็นพ่อของเด็กวนเวียนเข้ามารบกวนอยู่ในห้วงคำนึงอีกครั้ง
“อ้าว แล้วคุณพ่อหนูไปไหนเสียล่ะ ถึงปล่อยให้มาเดินอยู่คนเดียว”
“ไม่รู้คับ”
หนูน้อยส่ายหัวยิก อีกนัยหนึ่งเพราะไม่เข้าใจในคำถามนั่น สมองน้อยๆ เริ่มสับสนจึงมองใบหน้าหญิงสาวเบื้องหน้าอย่างงุนงง
"อ้าว ทำไมทำตัวแย่อย่างนี้"
ธนัทเทพเริ่มหวาดกลัวหนักขึ้น แววตากลมโตที่จ้องมองไปยังญาตาวีเริ่มสั่นระริก ใบหน้าหนูน้อยเห่อแดงมีอาการไม่ต่างไปจากคนที่กำลังจะร้องไห้
“บ้าจริง มัวไปอยู่ไหนกันนะ ลูกหายยังไม่รู้”
ญาตาวีเดินหมุนวนไปมาด้วยความกลัดกลุ้ม หญิงสาวถอนหายใจออกมาอย่างเซ็งๆ ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี เพราะเธอเองก็ไม่อยากเสียเวลาในเรื่องที่ไม่ใช่ธุระของตนเองสักเท่าไหร่
“คุณลุงอยู่ไหน…ฮึกๆ ฮือๆ”
โดยที่ญาตาวีไม่ทันจะตั้งตัว หนูน้อยก็ปล่อยโฮออกมาเสียงดังลั่นเมื่อรู้สึกโดดเดี่ยวขึ้นมาอย่างกระทันหัน ความกลัวว่าจะไม่ได้เห็นหน้าคุณลุงจึงร้องออกมาตามประสาเด็กที่กำลังรู้สึกหวาดกลัวคนแปลกหน้าขึ้นมาอย่างจับใจ
“ยะ…อย่าร้อง โอย ทำไงดีล่ะเรา”
ญาตาวีรีบเอื้อมมือไปปิดปากหนูน้อยเอาไว้ด้วยความ
ตกใจ หญิงสาวมือไม้เงอะงะทำอะไรไม่ถูกเนื่องจากที่ผ่านมาไม่เคยสุงสิงกับเด็ก เธอเลยไม่รู้จักวิธีปลอบประโลมให้เด็กคลายความหวาดกลัวจนหยุดร้องไห้
“ฮือๆ…หาคุณลุงวี”
ธนัทเทพเปล่งเสียงร้องหนักขึ้นเมื่อถูกปิดปากเอาไว้ ร่างกลมป้อมดิ้นไปดิ้นมาเพื่อให้หลุดพ้นจากพันธนาการ ใบหน้าน้อยๆ ส่ายไปมาด้วยความหวาดกลัว ยามนี้หนูน้อยรับรู้เพียงแต่ว่าอยากพบหน้าคุณลุงเพียงคนเดียว
“เด็กบ้า เงียบก่อนสิ ร้องทำไม”
ญาตาวีไม่รู้จะทำอย่างไรจึงตัดสินใจอุ้มเด็กขึ้นมา ก่อนพาเดินไปโดยมีจุดมุ่งหมายยังเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ หวังให้ช่วยกันประกาศหาพ่อเด็ก
“ฮึก ๆ คุณลุงวีค้าบ”
ธนัทเทพยังคงสะอึกสะอื้นไม่เลิก ญาตาวีมองหน้าหนูน้อยเป็นเชิงปรามให้หยุดร้อง เพียงเห็นดวงตากลมโตจากบิ๊กอายที่จ้องมองมายังตนเขม็ง หนูน้อยรีบหลบสายตาวูบก่อนก้มหน้างุดด้วยความหวาดกลัว
“เงียบเลยนะ ถ้าไม่เลิกร้อง ฉันจะพาไปทิ้งจริงๆ”
“ฮึกๆๆ”
“ฉันบอกให้เงียบ! เงียบสิ”
“ฮื๊ออ…คุณลุง”
เสียงกระซิบหวังข่มขู่ให้หยุดร้องกลายเป็นเสียงดุใน
ความรู้สึกของธนัทเทพ ความหวาดกลัวที่สุมอยู่ในจิตใจที่มีอยู่เป็นทุนเดิม เมื่อมาเห็นท่าทีแข็งกร้าวของหญิงสาวเบื้องหน้า ส่งผลให้หนูน้อยระเบิดเสียงร้องออกมาอีกครั้ง บรรดาผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาอยู่บริเวณนั้นต่างหันมามองกันเป็นตาเดียวด้วยความสนใจและความอยากรู้ตามประสามนุษย์ทั่วไป
“โอ๊ย ตายแน่เรา ทำไงดีล่ะ ว้าย!”
ด้วยอารามรีบร้อนประกอบกับความไม่คล่องตัวเนื่องจากอุ้มเด็ก ญาตาวีไม่ทันระวังตัวเธอจึงเดินสะดุดขาของตนเองจนล้มลงหน้าคะมำไปกับพื้น ทั้งเธอและเด็กล้มกลิ้งไปพร้อมๆ กัน ส่งผลให้ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ต่างจ้องมองด้วยความตกตะลึง
“เจ็บ…ฮึกๆ อือ…”
ธนัทเทพหัวกระแทกพื้นร้องไห้จ้าออกมาด้วยความเจ็บ ญาตาวีรีบผลุนผลันลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจ ใบหน้าของหญิงสาวซีดเผือดขึ้นมาในทันใด ก่อนรีบเอื้อมมือไปคลำศีรษะเด็กด้วยกลัวว่าหัวจะแตกขึ้นมา
“ฉะ…ฉันขอโทษนะ ได้โปรด หยุดร้องเถอะ โอ๋ๆๆ นิ่งซะนะ”
หญิงสาวโอบประคองหนูน้อยเข้ามาไว้ในอ้อมกอด หวังปลอบประโลมให้คลายความเจ็บปวดลงไปบ้าง มือข้างหนึ่งหมุนคลึงบนศีรษะกลมทุยไปมา ด้วยเธอเองยังคงตกใจและไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้เด็กบรรเทาความเจ็บลงไป และวิธีนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่เธอคิดได้ขณะนี้
“เจ็บค้าบ…ฮือๆ…”
“คุณครับ เป็นยังไงบ้างครับ”
พลเมืองดีที่อยู่บริเวณนั้นปราดเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใย เมื่อเห็นหนูน้อยตะเบ็งเสียงร้องหนักขึ้น ก่อนที่พวกเขาจะช่วยกันพยุงเธอและเด็กขึ้นมา ญาตาวีรับเด็กมาอุ้มเอาไว้โดยพยายามเขย่าร่างหนูน้อยไปมาหวังปลอบประโลม
“โอ๊ะ! ดูเหมือนเด็กจะหัวแตกนะครับคุณ”
พลเมืองดีเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงตกใจ เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นคราบเปรอะเปื้อนอยู่กับเส้นผมคล้ายๆ เลือด
“ห๊า!”
ญาตาวีเบิกตากว้างด้วยความตกใจ มือข้างหนึ่งรีบเอื้อมไปลูบคลำบริเวณศีรษะของหนูน้อยเพื่อสำรวจร่องรอยบาดเจ็บ เมื่อสัมผัสได้ถึงความเหนอะหนะหญิงสาวรีบผละมือออกจากบาดแผลแล้วนำมาดูให้แน่ชัดว่าที่เธอสัมผัสเมื่อสักครู่นั้นคือเลือดจริงๆ
“ตายแล้ว! จะทำอย่างไรดีล่ะทีนี้ แย่แน่ยายดรีม พ่อเด็กก็มัวไปไหนล่ะเนี่ย”
เพียงเห็นเลือดที่ติดมากับนิ้วมือ ส่งผลให้ญาตาวีละล่ำละลักออกมาด้วยความตกใจ หญิงสาวสอดส่ายสายตาไปมา หวังให้พ่อของเด็กตามมาเจอ จะได้รีบช่วยกันแก้ไขสถานการณ์ เพราะยามนี้เธอเองก็ทำอะไรไม่ถูกอยู่เหมือนกัน
“หาคุณลุง เรย์เจ็บ ฮึกๆ…”
จังหวะเดียวกันนั้น นาวีซึ่งกึ่งเดินกึ่งวิ่งสวนทางมาตรงบริเวณที่เกิดเหตุพอดี เขาได้ยินเสียงเด็กร้องลั่นดังออกมาจากทางกลุ่มคนที่ยืนอยู่ ด้วยความสนใจ เขารีบปราดเข้าไปยังบริเวณนั้นทันที
ภาพที่ได้เห็นทำให้นาวีถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะ ชายหนุ่มมองไปยังร่างหญิงสาวหน้าคุ้นตาสลับกับหลานชายตนเองไปมา ก่อนปรายตาไปทางพลเมืองดีที่ยืนจับจ้องเขาอยู่ สายตาชายหนุ่มเต็มไปด้วยคำถามมากมายว่าเกิดอะไรขึ้น หลานชายสุดที่รักของเขาถึงได้ร้องไห้จ้าเช่นนี้
“เรย์!”
ด้วยความอาทรที่แล่นปราดเข้ามาในจิตใจ ชายหนุ่มเข้าไปแย่งร่างหลานชายมาอุ้มไว้ ร่างหนูน้อยสั่นระริกเนื่องจากยังคงสะอึกสะอื้นไม่เลิก
“นี่มันอะไรกันครับ เกิดอะไรขึ้น”
“อะ…เอ่อ”
ญาตาวีกระอึกกระอักไม่กล้าพูดออกไป ด้วยเธอเองเป็นคนทำให้เด็กบาดเจ็บ ความหวาดกลัวในท่าทีแข็งกร้าวของชายหนุ่มเบื้องหน้าทำให้เธอถึงกับก้มหน้านิ่ง
“คุณผู้หญิงเธออุ้มเด็กมาแล้วล้มน่ะครับ”
พลเมืองดีคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นหญิงสาวนิ่งเงียบ เพียงเท่านั้น แววตาคมกล้าจับจ้องไปยังร่างหญิงสาวเบื้องหน้าด้วยประกายไฟที่ลุกโชนอยู่ในนั้น
เมื่อคลำไปที่ศีรษะหลานชายหัวแก้วหัวแหวนแล้วชายหนุ่มต้องใจหายวาบ ความโกรธแล่นพล่านไปทั่วร่าง ตลอดเวลาที่เลี้ยงดูมาเขาถนอมดั่งไข่ในหิน ไม่เคยทำให้ระคายแม้เพียงปลายเล็บ แต่ในวันนี้หลานชายของเขาต้องมาบาดเจ็บเพราะผู้หญิงแปลกหน้าคนหนึ่ง นาวีขบกรามแน่นเพื่อข่มอารมณ์อันเดือดพล่านที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ พยายามท่องในใจว่าเป็นความผิดของเขาเองที่ดูแลหลานไม่ดีพอ
“คุณลุงวี เจ็บค้าบ ฮึกๆๆ”
“โอ๋ๆๆ ไม่ต้องร้องนะครับคนดี เดี๋ยวคุณลุงจะพาไปหาหมอนะครับ”
นาวีปลอบโยนหลานชายพลางลูบศีรษะกลมทุยไปมาเพื่อปลอบประโลมให้คลายความหวาดกลัว ชายหนุ่มหันไปขอบคุณพลเมืองดี โดยไม่สนใจความรู้สึกของญาตาวีที่ยืนนิ่งมองมาว่าจะรู้สึกเช่นไร ร่างสูงหมุนกายก้าวขาออกจากบริเวณนั้นไปด้วยความรวดเร็ว ท่ามกลางสายตาของพลเมืองดีที่อยู่บริเวณนั้นต่างมองตามร่างเขาไปอย่างงุนงง
“คุณ ฉันขอแสดงความรับผิดชอบ ฉันจะไปด้วย ไปชดใช้ค่าเสียหาย”
ญาตาวีเอ่ยขึ้นขณะวิ่งตามหลังชายหนุ่มมา ร่างสูงหยุดกึกก่อนหันขวับไปมองหญิงสาวคนก่อเหตุด้วยแววตาคาดโทษ
“อย่าดีกว่า ผมหวังว่าเราจะไม่เจอหน้ากันอีก”
“ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ แล้วจะไม่ถามสักคำเลยเหรอ ว่าทำไมลูกคุณถึงมาอยู่กับฉันได้”
น้ำเสียงคนพูดออกแนวตัดพ้อ เมื่อเธอรู้สึกว่าชายหนุ่มตรงหน้าช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย
“ผมไม่เอาเรื่องคุณก็บุญแล้ว กลับไปเถอะไม่ต้องตามมา”
‘คำขอบคุณสักคำก็ไม่มี ฉันไม่แปลกใจเลย ว่าทำไมถึงพาลูกมาเพียงลำพัง นิสัยอย่างนี้เมียคงทิ้งไปแล้วล่ะสิ…ชิ!’
หญิงสาวคิดในใจขณะตัดสินใจสาวเท้าตามนาวีไป ซึ่งเธอตั้งใจจะแสดงความรับผิดชอบในฐานะที่เป็นต้นเหตุให้เด็กต้องบาดเจ็บ เพราะไม่อยากให้ใครมาว่าเอาได้ แม้จะรู้ว่าชายหนุ่มที่เดินจ้ำอ้าวไปก่อนหน้านั้นไม่ต้อนรับ แต่ด้วยความอยากเอาชนะทำให้เธอตัดสินใจที่จะดื้อดึงแม้จะต้องแลกมาด้วยการปะทะคารมกันอีกก็ตาม
หญิงสาวโทรหาเพื่อนเพื่อให้กลับไปก่อน และอธิบายให้เพื่อนรู้ว่าเธอเองกำลังจะทำอะไร และไปที่ไหนจะได้ไม่ต้องคอยเป็นห่วง ซึ่งหญิงสาวคิดเอาไว้ว่าจะโทรให้คนขับรถที่บ้านเอารถมารับ หลังจากเสร็จธุระเรื่องเด็กแล้ว