เช้าวันต่อมา
TIME 09:00 AM
“อ๊ะ อื้อ” ฉันค่อยๆลืมตาตื่นเพราะรู้สึกหนักที่ช่วงท้อง พอก้มลงไปมองเป็นแขนของใครสักคนวางไว้ที่หน้าท้องของฉัน พอฉันหันไปมองมันก็คือไอ้คิเรย์ คนที่ฉันเกลียดมากที่สุดในตอนนี้ พอนึกถึงเรื่องเมื่อวานฉันก็ยิ่งโกรธยิ่งเกลียดมัน ‘ถ้ากูไปจากที่นี่ได้เมื่อไหร่กูจะเอาคืนให้สาสม‘
พอฉันคิดได้แบบนั้นฉันก็ค่อยๆจับมือมันออกแล้วค่อยๆลุกลงจากเตียงแต่เพียงแค่เท้าฉันสัมผัสกับพื้นเท่านั้นแหละ
ตุ๊บ!
“โอ้ย โธ่เว้ย!!” ฉันเหวี่ยงเอามือทุบลงพื้นอย่างแรงด้วยความหงุดหงิดเมื่อขาฉันสั่นไปหมดยืนก็ไม่ได้แทบไม่มีแรงขยับตัวด้วยซ้ำ
“หึ! โดนเอาซะขนาดนั้นถ้ายืนไหวก็ไม่ใช่คิเรย์แล้ว” มันยิ้มออกมาด้วยความพอใจ มันคงตื่นนานแล้วสินะ
“……” ฉันได้แต่กำหมัดแน่นไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
“มึงคงจะโกรธจะเกลียดกูมากสินะ” เออใช่กูเกลียดมึง …ฉันได้แต่เอ่ยคิดในใจ แต่ทว่าก็ยังคงไม่ยอมเอ่ยพูดอะไรออกมา
“มึงเป็นอะไรถึงไม่พูดกับกู” คิเรย์เดินลงมาจากเตียงแล้วมาบีบคางฉันให้เงยหน้ามองมัน
“......” ฉันจ้องหน้ามันด้วยความโกรธแต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
“ได้มึงไม่พูดใช่ไหม”
“อื้ออ อ๊ะ”มันก้มลงมาจูบฉันอย่างแรง ก่อนที่ฉันจะใช้มือผลักมันออกแล้วตบหน้ามันอย่างเเรงจนหน้าหัน
เพี๊ยะ
“เลว!”ฉันด่ามันออกไปด้วยความเจ็บใจที่ไม่สามารถทำอะไรมันได้
“ขอบคุณที่ชม” มันเอ่ยพร้อมมองหน้าฉันด้วยความพอใจ ก่อนจะแสยะยิ้มออกมา
“ว่าแต่ยอมพูดกับกูแล้วหรอ”
“กูไม่อยากพูดกับคนอย่างมึงให้เปลืองน้ำลายหรอก” ฉันก็ยังคงเป็นฉันที่ไม่เคยเกรงกลัวใคร
“ดีเลย งั้นมึงก็ทนกับความปากเก่งของมึงให้ได้แล้วกัน” พูดจบมันก็จับแขนฉันดึงให้ลุกขึ้นโดยที่ไม่สนใจว่าฉันจะเจ็บหรือไม่ก็ตาม
“อ๊ะ ไม่! ปล่อยกู” ฉันพยายามปัดมือมันออกแต่ทว่าร่างกายฉันในตอนนี้แรงยืนแทบยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ
ตุ๊บ!
“อ๊ะ”
มันกระชากแขนฉันเเล้วผลักฉันลงบนเตียงอย่างแรง จนฉันต้องแสดงสีหน้าเหยเกออกมาด้วยความเจ็บและโคตรจุก จากนั้นมันก็ขึ้นมาคร่อมบนตัวฉัน
“ดูสิว่ามึงจะยังกล้าปากเก่งกับกูอยู่อีกไหม”
“จะทำอะไร” ฉันถามมันออกไป ทั้งที่พอจะรู้ว่าคงไม่พ้นเรื่องนั้น
“ก็แบบนี้ไง” พูดจบมันก็จับหัวฉันขึ้นส่วนอีกมือก็บีบปากฉันแรงเพื่อให้ฉันอ้าปากแล้วมันก็ยัดท่อนของมันที่แข็งตั้งแต่เมื่อไหร่ฉันก็ไม่รู้เข้ามาในปากฉัน และแน่นอนว่าเราทั้งสองไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าตั้งแต่เมื่อวานที่เรามีอะไรกันจนถึงตอนนี้มันเลยง่ายที่จะทำอะไรกับร่างกายอันเปลือยเปล่านี้
“อ๊ะ อ๊อก”
“ซี๊ดด~ โคตรคับเลย” มันกัดปากล่างตัวเองพร้อมแสดงสีหน้าเสียวซ่านออกมา
“ปากเล็กจังวะ อ้ากว้างกว่านี้หน่อย” มันไม่พูดเปล่ายังพยายามดันท่อนเข้ามาอีกด้วย แต่ก็เข้าได้แค่ครึ่งเดียวเพราะขนาดท่อนของมันนั้นทั้งใหญ่ทั้งยาว
“อื้ออ อ๊ะ ไอ่อะ” ฉันพยายามขัดขืนและใช้มือผลักขามันออกไป
“เธอไม่มีสิทธิ์มาสั่งฉัน!”
“อ๊อก อ๊อก” พูดจบคิเรย์ก็เริ่มขยับสะโพกเข้าออกพร้อมกับแสดงสีหน้าเสียวซ่านออกมาอีกครั้ง
“ซี๊ดดด~ ถ้ามึงกล้ากัดลูกกูอีก กูจะเอาจนกว่าของมึงจะแหกเลย” ปากหนาเอ่ยขึ้นอย่างรู้ทันความคิดของร่างบาง ส่วนเธอที่ได้ยินแบบนั้นก็หยุดความคิดนั้นไว้ทันที เนื่องจากสภาพร่างกายของเธอในตอนนี้ถ้าโดนเขาทำอีกน้องสาวของเธอคงได้แหกอย่างที่เขาว่าจริงๆแน่ เธอจึงทำได้เพียงปล่อยให้อีกคนนั้นทำตามใจของตัวเอง
“หึ! กลัวหรอ” คิเรย์ถามคนตรงหน้าขึ้นเมื่อเห็นว่าเธอนั้นไม่มีท่าทีขัดขืนเขาเหมือนอย่างตอนแรก แต่ทว่าคิ้วหนาก็ต้องขมวดเข้าหากันอย่างไม่พอใจทันทีเมื่อคำถามของเขานั้นไร้ซึ่งคำตอบจากปากของอีกคน แถมร่างบางยังคงเอาแต่จ้องเขาด้วยสายตาเกลียดชังอีกด้วย
“อวดเก่ง!”
ปึก!
พูดจบมันก็จับท้ายทอยฉันไว้แล้วดันท่อนเข้ามาจนสุดลำลึกจนถึงหอหอยฉัน แล้วมันก็กระแทกเข้าออกในปากฉันรัวๆ จนทำให้เกิดเสียงอันลามกขึ้น สวบ สวบ! อ๊อก อ๊อกๆ
“อื้ออออ อึก” ฉันได้แต่ใช้มือดันหน้าขาของเขาออก นี่เขากะจะฆ่าให้ตายเลยงั้นหรอ
“อืมๆๆๆ ไม่ไหวแล้ว” เขาเอ่ยเสียงกระเส่าและยังคงรัวท่อนเข้าปากของร่างเล็ก
อ๊อก อ๊อก อ๊อก
“อึก อือ อึก“ ดอลลี่ทำได้เพียงแสดงสีหน้าเหยเกออกมาด้วยความจุกที่คอ
“จะแตกแล้ว ซี๊ดดดด~ อื้ม”สิ้นเสียงทุ้มเขาก็กระตุกเสร็จแล้วปล่อยน้ำรักสีขาวข้นเข้าไปในโพรงปากเล็กของเธอทันที
“กลืนให้หมดไม่งั้นกูไม่เอาออกแน่” ปากหนาเอ่ยบอกเสียงแข็ง
“อึก” ดอลลี่จึงได้แต่ฝืนใจกลืนน้ำรักลงคอ ก่อนที่เขาจะยอมถอดท่อนแกร่งออกจากปาก แล้วร่างเล็กก็สำลักออกมา
แค่ก แค่ก
“หึ เป็นไงอร่อยไหม” คิเรย์ถามเสียงเบาพร้อมโน้มตัวยื่นหน้าเข้ามาใกล้ มือหนาก็ยกขึ้นสัมผัสที่ริมฝีปากบางอย่างเบาๆก่อนจะเช็ดน้ำรักที่เลอะที่มุมปากของเธอให้
“……” ดอลลี่ไม่มีท่าทีขัดขืนหรือปัดมือเขาออกแต่อย่างใด ทว่าเธอกลับเอาแต่จ้องหน้าเขาด้วยแววตาที่ยากจะคาดเดาในความคิด
ตึก ตึก ตึก นี่มันอะไรกัน ทำไมใจถึงเต้นแรงแบบนี้
“เป็นอะไรหน้าแดงๆ ไม่สบายหรอ” มันพูดพร้อมเอามือมาแตะที่หน้าผากฉัน ก่อนที่เราจะเผลอสบตากัน
ตึก ตึก ตึก ใจเต้นแรงกว่าเดิม หรือว่าฉันจะโกรธมันมากเกินไปเลยทำให้ใจสั่น
ในขณะที่ดอลลี่กำลังสับสนกับความรู้สึกตัวเองอยู่นั้นคิเรย์ก็ค่อยๆโน้มตัวเข้าใกล้หมายจะจูบริมฝีปากบาง แต่แล้ว…
พลั่ก! ปึก! ตุ๊บ!
“โอ้ยย อีเชี้ย” เป็นเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บของคิเรย์ หลังจากที่โดนดอลลี่ใช้จังหวะที่เขาเผลอผลักเขาออกก่อนจะใช้เท้าถีบเข้าที่อกแกร่งจนร่างหนาหงายหลังตกเตียงไปกองอยู่ที่พื้นห้องอย่างไม่ทันตั้งตัว
“มึงถีบกุทำไมเนี่ย!” มันถามพร้อมกับลุกขึ้นอย่างเอาเรื่อง แต่ทว่าร่างกายอันเปลือยเปล่าไร้เสื้อผ้าปกปิดนั้นทำให้ท่อนแกร่งมันยังชี้โด่มาที่ฉัน
“กะ ก็ กูตกใจ” ฉันตอบกลับพร้อมกับหลบตาอีกคนโดยหันหน้าไปอีกทาง
“ตกใจอะไร แล้วมึงหลบตากูทำไม” คิเรย์มือท้าวใส่เอวอย่างไม่เข้าใจ
“เรื่องของกู!! แล้วมึงเสือกอะไรด้วย” ฉันหันมาตอบกลับไป ก่อนที่สายตาฉันจะเผลอเหลือบไปมองที่ท่อนของมัน
คิเรย์หันมองตามสายตาของเธอ ก่อนที่เขาจะยกยิ้มขึ้นอย่างพอใจพร้อมกับนึกคิดอะไรสนุกๆเพื่อแกล้งอีกคน
“ก็แค่ผัวอยากรู้เรื่องของเมียเท่านั้นเอง” เขาพูดพร้อมกับนั่งลงบนเตียงแล้วค่อยๆคลานมาหาฉัน
“มาม๊ะ เมียจ๋าา”
“คะ ใครเมียมึง อย่ามามั่ว” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงติดขัดเล็กน้อยพร้อมกับเผลอถอยหลังจนชิดกับหัวเตียง…มันบ้าไปแล้ว…
“อ้าวว ลืมเเล้วหรอ ไม่เป็นไรงั้นเรามาทบทวนกันใหม่” ปากหนาเอ่ยพร้อมกับยกยิ้มขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์
พึบ!
“อ๊ะ นี่! ปล่อยนะ” ฉันเอ่ยสั่งเสียงแข็งทว่าเขาก็ไม่สนใจอีกเช่นเคย
มันดึงขาฉันเข้าไปหาตัวมันแล้วขึ้นคร่อมตัวฉันไว้ แต่ในขณะที่มันกำลังจะก้มลงมาจูบฉันนั้น
ปิ๊งป่อง ปิ๊งป่อง
มันชะงักแปปนึง แต่มันไม่สนใจกำลังจะก้มลงมาจูบฉันอีกครั้ง แต่…
ปิ๊งป่อง ปิ๊งป่อง ปิ๊งป่อง
เสียงออดดังขึ้นอีกครั้งแต่ครั้งนี้รัวกว่าครั้งแรก
“โว้ยยย ใครมันมาตอนนี้วะ” เขาสถบออกมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด พร้อมกับหยิบกางเกงขึ้นมาใส่ก่อนเดินออกไปจากห้องนอน
“เฮ้อออ~โล่งอกไปที” ฉันเอามือทาบตรงหน้าอกตัวเองอย่างโล่งใจ จากนั้นฉันก็พยายามลุกขึ้นจากเตียงเพื่อเดินไปหยิบเสื้อผ้าในตู้มันมาใส่เพราะเสื้อผ้าของฉันนะหรอถูกมันฉีกจนขาดหมดแล้ว จากนั้นฉันก็เดินไปง้างประตูดูเล็กน้อยว่าใครมา ที่แท้ก็เป็นพวกเฮียและเพื่อนนี่เอง เฮียคงตามหาฉัน เพราะนี่ก็ผ่านไปหนึ่งวันเต็มๆที่ฉันไม่ได้กลับบ้าน ฉันกำลังจะเปิดประตูเดินออกไป แต่แล้วฉันก็หยุดชะงัก
“ไม่ได้ ฉันจะให้อิเฮียรู้ไม่ได้ว่าฉันอยู่ที่นี่” ฉันรู้ดี ถึงแม้เฮียจะปากหมาแค่ไหน แต่สำหรับฉันเฮียคือคนที่รักฉันมากที่สุดและถ้าเฮียรู้เรื่องนี้ขึ้นมามีหวังโลกแตกแน่ๆ ไว้ค่อยหาทางอื่นแล้วกัน
เมื่อดอลลี่คิดได้แบบนั้น เธอก็พยายามคิดหาวิธีแล้วค่อยๆเดินรอบห้องเพื่อหาสิ่งที่จะป้องกันตัวเองได้ จนเธอเดินไปเปิดที่ลิ้นชักหัวเตียงแล้วพบว่ามีปืนอยู่กระบอกนึง ดอลลี่ยกยิ้มขึ้นอย่างพอใจหลังจากที่เช็คตรวจดูปืนมีลูกกระสุนครบ และแน่นอนว่าเธอต้องรอให้ดอลล่าร์พี่ชายของเธอและเพื่อนกลับไปก่อนเธอถึงจะจัดการกับเขา
เวลาผ่านไปสักพักดอลล่าร์กับเพื่อนก็กลับไปแล้วคิเรย์ก็กลับเข้ามาในห้องเพื่อที่จะจัดการกับร่างบางต่อแต่เมื่อเขาเปิดประตูเข้ามาในห้อง…
แก๊ก
เสียงไกปืนดังขึ้นพร้อมกับกระบอกปืนสีดำทึบจ่ออยู่ที่บริเวณหัวของเขา
“มึงคิดจะทำอะไรอีกล่ะ” คิเรย์เอ่ยถามร่างบางขึ้น โดยสีหน้าท่าทางปกติ ไม่มีความตกใจกลัวเลยแม้แต่น้อยอย่างกับเขารู้อยู่แล้วว่าเธอจะทำแบบนี้
“ปล่อยกูไปซะถ้ามึงยังไม่อยากตาย” ฉันบอกมันเสียงแข็ง
“หึ” มันทำเสียงออกมาแค่นั้น ก่อนที่ฉันจะเริ่มรู้สึกหงุดหงิด
“มึงขำอะไร”
“นี่มึงเป็นเอามากนะเนี่ย กูไปจับหรือไปห้ามมึงกลับบ้านตอนไหน มีแต่มึงเองนั้นแหละที่คิดเองเออเอง” มันตอบกลับฉันด้วยท่าทีสบาย ก่อนที่มันจะเดินไปนั่งที่เตียงโดยที่มีปืนฉันจ่อที่หัวของมันอยู่ นี่มันไม่คิดจะกลัวฉันสักนิดเลยหรอ
“กูไม่เชื่อมึงหรอก มึงต้องมีแผนอะไรใช่ไหม” ฉันถามมันออกไป คนอย่างมันนี่หรอจะปล่อยไปง่ายๆ
“เรื่องของมึง โอ๊ะ! หรือว่ามึงติดใจกูจนไม่อยากกลับเลยหาข้ออ้างนั่นอ้างนี่” มันพูดพร้อมกับลุกเดินเข้ามาหาฉัน ฉันเผลอถอยหลังเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยออกไปเสียงแข็ง
“นี่! อย่าคิดว่ากูไม่กล้ายิงมึงนะ”
“กล้ายิงผัวตัวเองได้ลงคอหรอ” ฉันได้แต่หลับตาลงเพื่อควบคุมอารมณ์ของตัวเองไว้ ถ้าฉันไม่เห็นแก่หน้าอิเฮียฉันคงยิงมันทิ้งตั้งแต่มันเดินกลับเข้ามาในห้องแล้ว
“ไร้สาระ” ฉันเอาปืนลง พร้อมหันหลังเพื่อที่จะกลับ
“เดี๋ยว!”
“อะไร….อื้ออ” ฉันหยุดแล้วหันหลังกลับมากำลังจะพูดแต่มันจับท้ายทอยแล้วดึงฉันเข้าไปจูบอย่างหนักหน่วงทันที ไม่นานมันก็ผละปากออก เราเผลอจ้องตากัน ก่อนที่ฉันจะได้สติและกำลังจะต่อว่า แต่ก็โดนมันพูดแทรกขึ้นซะก่อน
“นี่…”
“เมื่อคืนแตกใน อย่าลืมกินยาคุมล่ะ” มันยิ้มให้ฉันก่อนที่มันจะหันหลังแล้วเดินไปนอนลงบนเตียงอย่างสบายใจ
“ไอ้คิเรย์ ไอ้เหี้ย!! มึง…” ฉันได้แต่สถบคำหยาบด่ามันออกมาด้วยความหงุดหงิด ก่อนที่ฉันจะเดินออกมาจากห้องมันเพื่อเรียกแท็กซี่กลับบ้าน แต่ก็ไม่ลืมที่จะแวะซื้อยาคุมฉุกเฉิน ระหว่างทางกลับบ้านฉันก็พยายามนึกหาคำแก้ตัวกับอิเฮีย แต่คิดยังไงก็คิดไม่ออก เฮ้อ เดี๋ยวถึงก็คิดออกเองแหละ สักพักรถก็มาจอดอยู่ที่หน้าบ้าน ฉันจ่ายเงินแล้วก็เดินเข้าบ้านไป พอเข้ามาในบ้านก็เห็นอิเฮียกับฟีเลียนั่งอยู่ที่โซฟากันอย่างพร้อมหน้าอย่างกับรู้ว่าฉันจะกลับมาเวลานี้ยังไงยังงั้น
“มึงหายไปไหนมา” เฮียถามขึ้นทันทีที่เห็นหน้าฉัน
“ไปเที่ยวมา” ส่วนฉันไม่รู้ว่าจะแก้ตัวยังไง ก็เลยเลือกที่จะตอบแบบปัดๆไปทั้งๆที่รู้ว่ายังไงอิเฮียมันก็ไม่มีทางเชื่อ ทำไงได้ก็ฉันคิดไม่ทันหนิ
“กูให้มึงตอบใหม่อีกที” เฮียถามฉันขึ้นอีกรอบอย่างเสียงเรียบ อิเฮียโกรธแล้วแน่ๆ เชี้ย เอาไงดีวะคิดไม่ออก โอ้ยยย
“คะ คืออ…” ฉันพยายามส่งสายตาอ้อนวอนขอความเชื่อเหลือจากฟีเลีย แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือมันจ้องฉันด้วยสายตาเดียวกันกับอิเฮียเปี๊ยบเลย…นี่มึงจะไม่ช่วยกูจริงๆหรอ…
“ดอลลี่” เฮียเรียกชื่อฉันขึ้น บ่งบอกว่าเริ่มจะทนไม่ไหวแล้วสินะ
“ไม่รู้เว้ยยย! เหนื่อย! ไปละ” ฉันพูดพร้อมกับรีบวิ่งขึ้นบันไดเข้าห้องทันที ถ้าอยู่ต่อมีหวังกลายเป็นศพแน่
“ดอลลี่! มึงกลับมาเดี๋ยวนี้เลยนะ ดอลลี่!” ดอลล่าร์ได้แต่ตะโกนตามหลังน้องสาวสุดแสบของตัวเองไปอย่างทำอะไรไม่ได้ เขาอยากจะสั่งสอนเธอให้หลาบจำสักครั้งแต่ก็ไม่เคยทำได้สักที แต่ที่แน่ๆแค่เขาเห็นดอลลี่กลับมาอย่างปลอดภัยเขาก็พอใจแล้ว
“ช่างมันเถอะเฮีย เฮียก็รู้ว่าถ้ามันไม่อยากบอกฆ่ามันให้ตายเฮียก็ไม่มีวันได้คำตอบจากมันหรอก” ฟีเลียเอ่ยขึ้นอย่างรู้จักนิสัยของเพื่อตัวเองดี ก่อนที่เธอจะลุกเดินขึ้นห้องตัวเองไป ส่วนดอลล่าร์ก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างปลงชินกับนิสัยสุดแสนดื้อรั้นของผู้เป็นน้องสาวเพียงคนเดียวของเขา
TIME 5.00 PM
พอฉันตื่นก็เย็นแล้วเลยลงมาที่ห้องครัวเพื่อหาอะไรกิน เพราะตั้งแต่ฉันกลับมาก็ยังไม่ได้กินอะไรเลย
“คุณหนูหิวหรอคะ” เสียงใครบางคนทักขึ้น ฉันหันไปมองที่แท้ก็เป็นป้านวลนี่เอง
“ค่ะ ป้านวลมีอะไรให้ดอลลี่กินบ้างไหมคะ”
“ก็พอมีค่ะ น่าจะทำข้าวต้มได้อยู่ งั้นคุณหนูไปรอที่ห้องอาหารเลยนะคะ เดี๋ยวป้าเอาไปให้”
“ค่ะ เออป้าคะ เฮียไม่อยู่หรอ” ฉันถามเพราะไม่เห็นเฮีย แถมบ้านยังเงียบอย่างกับไม่มีคนอยู่ ส่วนอิฟีเลียน่ะหรอไม่ต้องถามถึง เวลามันไม่มีอะไรทำมันก็จะนอนอย่างเดียว ฉันชินแล้วแหละ
“ใช่ค่ะ คุณดอลล่าร์ออกไปตั้งแต่บ่ายแล้วค่ะ” เฮียคงโกรธฉันสินะ ฉันทำหน้าเศร้าทันที รู้สึกผิดจัง แต่จะให้ทำไงละถ้าบอกไปมีหวังเฮียไม่ยอมแน่ๆ คิดแล้วก็เครียด
“คุณหนูเป็นอะไรหรือเปล่าคะ ทำหน้าเครียดๆ” ป้านวลถามฉันขึ้น
“เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร” ฉันยิ้มตอบแล้วก็เดินไปที่ห้องอาหารทันที แต่พอเข้ามาก็เห็นฟีเลียมันนั่งอยู่ก่อนหน้าแล้ว
“มึงก็หิวเหมือนกันหรอ” ฉันถามมันไป คงเพิ่งตื่นสินะดูจากสีหน้าแล้ว
“เปล่า กูมารอมึงนั่นแหละ” มันนั่งกอดอกแล้วหันมามองหน้าฉันพร้อมทำหน้าจริงจัง
“มึงมารอกูทำไม” ฉันถามกลับไปพร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับมัน
“ตกลงเมื่อวานมึงหายไปไหนมา กูไม่เชื่อหรอกนะว่ามึงจะไปเที่ยวอะ” มันถามพร้อมกับจ้องจับผิดฉันอย่างจริงจัง
“นี่เฮียให้มึงมาถามกูใช่ไหม” ฉันถามมันกลับพร้อมแสดงสีหน้าน้อยใจออกมา
“เปล่า กูอยากรู้เองนี่แหละ”
“กูไม่เชื่อ”
“มึงไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่อง มึงก็รู้จักนิสัยเฮียดอลล่าร์ดี” จริงอย่างที่มันบอก ถ้าอิเฮียมันอยากรู้มันจะมาถามด้วยตัวเอง
“……” ฉันเงียบไม่ตอบอะไรออกไป ไม่รู้ว่าจะบอกว่าไง บอกไม่ถูก ใจนึงก็อยากบอกแต่ใจนึงก็กลัวมันไปบอกเฮีย ฉันได้แต่ทำหน้ากังวลออกมา
“เออ มึงพร้อมเมื่อไหร่ค่อยบอกกูแล้วกัน” มันคงเห็นฉันทำหน้าเครียดมันเลยไม่อยากบังคับ ถึงมันจะเป็นคนขี้เสือกแต่มันก็ไม่ชอบบังคับใครให้บอกมันหรอกนอกจากเขาจะเต็มใจบอก แล้วฟีเลียมันก็เดินออกไป ป้านวลก็เอาอาหารมาให้ฉันพอดีเป็นข้าวต้มกุ้ง ฉันก็นั่งกินไปคิดเรื่องที่เกิดขึ้นกับฉันไปด้วย มันอึดอัดมาก อยากระบายกับใครสักคนแต่ก็กลัวเขารำคาญ ฉันคิดอยู่พักใหญ่ จนเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง
TIME 7.30 PM
ฉันตัดสินใจที่จะเล่าเรื่องหมดให้ฟีเลียฟัง เพราะยังไงก็ไม่มีใครรับฟังฉันได้เท่ามันอีกแล้ว ตอนนี้ฉันอยู่ในห้องของฟีเลียแล้วเล่าเรื่องทั้งหมดให้มันฟังอย่างละเอียด
“กูว่าแล้ววว” มันพูดขึ้นเหมือนมันรู้ก่อนหน้านี้
“พูดเหมือนมึงรู้อยู่แล้วอะ” ฉันถามมันออกไป
“เปล่าหรอก กูแค่สงสัย เพราะวันนั้นที่ผับตอนมึงไปเข้าห้องน้ำกูเห็นเฮียคิเรย์เดินตามมึงไปแล้วจากนั้นมึงก็หายตัวไปเลย” มันอธิบายให้ฉันฟัง
“อีกอย่างดูจากท่าเดินของมึงวันนี้ ก็ยิ่งชัดเจนเลย”
“ดูออกขนาดนั้นเลยหรอวะ” ฉันถามมัน เพราะฉันไม่รู้ตัวเลยว่าวันนี้ตัวเองเดินขาถ่างแค่ไหน อีกอย่างตอนนี้มันก็ยังคงมีอาการเจ็บแสบอยู่บ้างแต่ก็ไม่มากเหมือนตอนเช้าแล้ว
“ว่าแต่ของเฮียเรย์ใหญ่ปะมึง” อยู่ๆมันก็ถามฉันขึ้นพร้อมจ้องหน้าฉันรอคำตอบอย่างจริงจัง
“อีฟีเลีย มึงถามอะไรของมึงเนี่ย” ฉันไม่ได้ตอบคำถามทว่ากลับเชิงต่อว่ามันไปด้วยความแก้เขิน
“เอ้า ก็กูอยากรู้ไง เห็นมึงเดินขาถ่างขนาดนั้นแสดงว่าต้องใหญ่มากแน่ๆ” มันพูดพร้อมทำหน้าเหมือนกำลังนึกภาพจินตนาการอยู่
“มึงหยุดเลยนะฟีเลีย ก็มันครั้งแรกของกู กูก็ต้องเจ็บเป็นธรรมดาไหม”
“ที่มึงพูดก็ถูก แล้วมึงคิดว่าเฮียดอลล่าร์จะไม่รู้จริงๆหรอว่ามึงไปโดนเอามาอะ”
“กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ” ฉันเอ่ยตอบฟีเลียพร้อมแสดงสีหน้ากังวลออกมา ก่อนจะเอ่ยห้ามมันเสียงแข็ง
“แต่มึงอย่าไปบอกเฮียเชียวนะ ถ้าเฮียรู้มีหวังเป็นเรื่องแน่”
“เออ กูไม่บอกหรอก”
หลังจากที่ฉันคุยกับฟีเลียเสร็จฉันก็กลับห้องตัวเอง แต่ขณะที่ฉันกำลังจะเข้าห้องตัวเองนั้นก็เจอเฮียที่กำลังขึ้นบันไดมาพอดี วันนี้เฮียกลับเร็วกว่าปกตินี่เพิ่งจะเวลาสองทุ่มกว่าๆเอง เฮียหันมามองฉันเล็กน้อยก่อนจะเดินไปทางห้องตัวเอง ฉันก็ไม่ได้ทักท้วงอะไรพร้อมกับเปิดประตูเพื่อที่จะเข้าห้องตัวเอง แต่แล้วฉันก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเสียงทุ้มของบางคนดังขึ้น
“พรุ่งนี้เช้าเข้าบริษัทพร้อมกู ห้ามสาย” หลังจากจบประโยคเฮียก็เปิดประตูเข้าห้องทันที
“เฮ้ออ ถึงเวลาที่ต้องทำงานจริงๆแล้วสินะ คิดแล้วดอลลี่เพลีย” ฉันถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย ชีวิตฉันต่อจากนี้คงไม่มีความสุขอีกแล้วสินะ
TIME 9.00 AM
เฮ้อออ นี่เป็นครั้งแรกเลยมั้งที่ตื่นเช้าหลังจากมาถึงที่นี่ แถมต้องมานั่งทานข้าวเช้าพร้อมกับเฮียและฟีเลีย อย่างกับโดยพ่อแม่บังคับลูกไปโรงเรียนยังไงยังงั้นเลย
“เฮียหาคอนโดให้ดอลลี่ได้ยัง” ฉันเอ่ยถามผู้เป็นพี่ชายขึ้นในขณะที่ทุกคนกำลังตั้งใจกินอาหารที่อยู่ตรงหน้ากันอยู่อย่างเงียบๆ
“อืม จะย้ายวันไหน” เฮียตอบกลับมาแต่ตายังคงมองที่จานส่วนมือก็หั่นสเต็กไปด้วย
“วันนี้แล้วกัน” ฉันก็ตอบกลับไปสั้นๆ
“อืม” เฮียมันตอบกลับมาแค่นั้น…นี่เฮียยังโกรธฉันอยู่หรอ ฉันมองหน้าเฮียพร้อมทำหน้าเศร้า แต่จะว่าไปก็สมควรแล้วที่เฮียจะโกรธ เฮียยังคงกินสเต็กที่หั่นไว้ไม่สนใจฉันเลยสักนิด ฉันยังคงมองเฮียอยู่แบบนั้น จนฟีเลียมันเอาเท้ามาสะกิดขาฉันแล้วส่ายหัวเบาๆเชิงห้ามก่อนที่มันจะเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายบรรยากาศอันตึงเครียดนี้
“เออ…ดอลลี่วันนี้มึงจะเข้าไปบริษัทวันแรกรู้สึกยังไงบ้าง” มันหันมาถามฉันขึ้น ซึ่งนี่เป็นคำถามอะไรของมันเนี่ย
“ไม่อยากไปเลยสักนิด” ฉันเอ่ยตอบตามความรู้สึกของตัวเอง ซึ่งคำตอบของฉันทำให้เฮียเงยหน้าขึ้นมามองหน้าฉันด้วยสีหน้านิ่งเรียบแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ก่อนที่เฮียจะก้มลงไปตั้งใจทานสเต็กต่อ
“งั้นวันนี้กูเข้าไปกับมึงด้วยเลยแล้วกัน ไหนๆกูก็ไม่มีอะไรทำ” ฟีเลียยังคงพยายามชวนฉันคุย แต่ก็ดูเหมือนไม่ช่วยให้บรรยากาศดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย ฉันเลยเลิกสนใจแล้วตั้งใจกินอาหารที่อยู่ตรงหน้าตัวเองไป พอหลังจากที่ทานอาหารเสร็จพวกเราก็เดินทางไปที่บริษัททันทีโดยที่ระหว่างทางก็ไม่มีบทสนทนาอะไรเลย