ตอนที่ 8 : รู้สึกได้ด้วยใจ

2969 คำ
แพรพรรณมองดูชายหนุ่ม ซึ่งเป็นพระเอกละครที่กำลังไปนั่งใกล้ๆ กับชนา โดยสาวเจ้าไม่ได้สนใจอะไรสายตายังคงจับจ้องอยู่กับหนังสือที่ถือติดมือมา แพรพรรณสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ไม่อย่างนั้นอาจจะเสียงาน เพราะดูเหมือนว่า ความสนใจจะไปตกอยู่ที่ตัวของหญิงสาวที่มาด้วยกับชายหนุ่มที่ใครๆ ก็รู้ว่า เจ้าชู้มากมายขนาดไหน “ทำงานก่อน ยายแพร อย่าเสียสมาธิสิ” แพรพรรณพูดกับตัวเอง จนกระทั่งได้ยินเสียงผู้กำกับละครสั่งให้เริ่มแสดง ชนาเลือกการนิ่งกับชายหนุ่มที่เป็นพระเอกละครคู่กับแพรพรรณซึ่งท่าทางคงจะเสร็จงานแล้ว เพราะเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดกีฬาและกำลังหาเรื่องชวนพูดคุย ชนาเพียงแค่เงยหน้ามายิ้มให้เล็กน้อย ก่อนจะกลับไปสนใจกับหนังสือที่ยังคงอ่านอยู่ “โอ้โห ถ้าจบประถม 6 แล้วอ่านหนังสือภาษาอังกฤษได้ ประเทศไทยคงมีคนเก่งล้นประเทศนะครับ” พระเอกละครที่ชื่อ จอมทัพยิ้ม เมื่อเห็นชนาเงยหน้ามาขมวดคิ้วและปิดหนังสือ ซึ่งทำให้ชายหนุ่มย่ามใจ เพราะคิดว่าสาวเจ้าคงเริ่มจะสนใจในตัวเอง จากที่ก่อนหน้าทำเป็นวางเฉยซึ่งอาจจะคงเป็นเพราะเกรงใจแพรพรรณ “ระดับการศึกษาไม่ใช่ตัววัดว่า ใครเก่งหรือไม่เก่งหรอกนะคะ อย่างคนจัดการเสื้อผ้า เย็บผ้าได้เก่งกาจกว่าคนจบปริญญาเอก ปริญญาโท ซึ่งคนจบปริญญาทั้งหลายอาจจะเก่งทฤษฎีกว่าฝ่ายจัดการเสื้อผ้า ไม่มีใครเก่งทุกเรื่องหรอกค่ะ ไม่ว่าจะเรียนจบอะไรมาก็ตาม” ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ มองสบตากับหญิงสาวที่ดูท่าทางเอาจริงเอาจัง แต่เมื่อเหลือบไปเห็นแพรพรรณมองมาจึงค่อยๆ เอื้อมแขนอ้อมไปพาดไว้ที่เก้าอี้ทางด้านหลังของชนา “โธ่เอ๊ยทำเป็นทศกัณฐ์” แพรพรรณบ่นงึมงำระหว่างอ่านบทที่ต้องถ่ายทำต่อ คนที่กำลังช่วยจัดทรงผมและเสื้อผ้าให้ยิ้มน้อยๆ จ้องมองใบหน้าบึ้งตึงนั้น “ฉากต่อไปมีบทแง่งอนหรือคะ” เสียงของคนที่กำลังจัดทรงผมให้ดังขึ้นทำให้แพรพรรณรู้เลยว่า ตัวเองแสดงท่าทางออกไปอย่างไร จึงรีบจัดการกับความรู้สึกของตัวเอง เริ่มด้วยการยิ้มสวยๆ ให้กับคนดูแล ซึ่งยิ้มให้กับความน่ารักของนางเอกสาว “หมั่นไส้” แพรพรรณคิดอยู่ในใจ หลังจากยังคงชำเลืองมองไปทางชนาซึ่งยังพูดคุยอยู่กับพระเอกหนุ่มที่ชื่อจอมทัพ บางทีทัศนคติของคนเราก็บอกความเป็นตัวของคนๆ นั้น เรียนรู้และทำความเข้าใจได้จากการสนทนา จอมทัพเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีอีกทั้งที่ได้ยินคนพูดถึงเรื่องของครอบครัวที่มีฐานะ ซึ่งไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมสาวๆ ถึงได้คลั่งไคล้ในตัวพระเอกหนุ่มที่มีชื่อเสียงโด่งดังคนนี้ สามารถเห็นได้จากการเอาอกเอาใจระหว่างการทำงานไม่ว่าจาก หญิงหรือชายก็ตาม “ท่าทางคุณผู้จัดารกับแพรสนิทกันนะครับ” จอมทัพถาม หลังจากคุยโวเรื่องของตัวเอง ซึ่งเขารู้สึกว่า เป็นการบอกเล่าเรื่องราวชีวิตโดยที่ชนาไม่ได้เอ่ยปากถามอะไรเลยสักคำ “คงอย่างนั้นค่ะ” ชนาไม่อยากพูดพาดพิงไปถึงเรื่องของแพรพรรณเพราะสาวเจ้าไม่ค่อยชอบชายหนุ่มรูปหล่อคนนี้สักเท่าไรนัก “คนฉลาดมักพูดน้อยสินะครับ” “ใครคะ คนฉลาด” ชนาถาม “ก็คุณผู้จัดการไง ผมชอบนะ พูดน้อยๆ และดูฉลาด เรียบง่ายท่าทางจะไม่เรื่องมากด้วย” จอมทัพพูดยิ้มๆ แต่ชนาไม่มีปฏิกิริยาใดๆ คงแค่ฟังและหันกลับไปสนใจหนังสือที่เปิดค้างอยู่ ชนาไม่ได้รู้สึกรำคาญกับการพูดคุยกับจอมทัพ หรือฟังเรื่องราวที่ชายหนุ่มบอกเล่า เพราะการฟังคือการเรียนรู้ที่ดี ไม่รู้เหมือนกันว่า ถูกสอนมาจากไหน การตั้งใจฟังอาจจะไม่ใช่การที่จะต้องมานั่งมองสบตา ถึงแม้สายตาจะอยู่ที่การอ่าน แต่ชนาเก็บรายละเอียดการพูดของจอมทัพ ซึ่งช่างสรรหาเรื่องราวดีๆ ของตัวเองมาเล่า จนชนานั่งยิ้มเมื่อได้ยินสิ่งที่ชายหนุ่มเล่าถึงความภาคภูมิใจในชื่อเสียงที่ตัวเองมี หากคิดไปถึงสาวสวยที่กำลังทำหน้าที่ของตัวเอง ช่างแตกต่าง เพราะรายนั้นบอกเล่าเพียงแค่การแสดงเป็นเพียงสิ่งที่ตัวเองอย่างทดลอง ไม่เคยพูดถึงเรื่องของชื่อเสียง ส่วนเรื่องเงินทองถือเป็นการทำงานที่ต้องรับผิดชอบค่อนข้างมาก แต่วันข้างหน้า เมื่อชื่อเสียงตามมา ไม่รู้ว่า สาวเจ้าจะยังคิดเหมือนอย่างที่พูดคุยกันก่อนหน้านี้หรือไม่ ชนาขมวดคิ้วเมื่อเห็นแพรพรรณทำหน้างอระหว่างที่ผู้กำกับสั่งเลิกกองและทุกคนแยกย้ายไปเก็บข้าวเก็บของ ชนาจึงรีบเก็บหนังสือใส่กระเป๋าถือของตัวเองและคว้าข้าวของๆ แพรพรรณเพื่อเอาไปเก็บที่รถ “เหนื่อยเหรอ หน้างอ คอหักเชียว” ชนายิ้มให้กับคนที่เข้ามานั่งอยู่ในรถด้านข้างคนขับ “ใครจะไปหน้าระรื่นเหมือนตัวเองล่ะ เห็นคุยกับพระเอกละครตั้งนานสองนาน” แพรพรรณพูดโพล่งออกมา เพราะอัดอั้นเอาไว้นาน “เราไม่ค่อยได้พูด แต่ชอบฟัง เขาเล่าเรื่องเขาให้ฟัง ก็สนุกดีนะ บ้านรวย หน้าตาดี งานการดีๆ พร้อมไปซะหมด” ชนาหัวเราะเล็กๆ ก่อนจะเคลื่อนรถยนต์ขับออกไป “เลยนั่งอยู่ให้เขาจีบว่างั้น” แพรพรรณบ่นพึมพำ “ไม่เห็นจะรู้สึกอะไรเลย ไม่เหมือน” ชนายิ้มก่อนจะหันไปชำเลืองมองแพรพรรณเล็กน้อย “ไม่เหมือนอะไร” แพรพรรณถาม “ไม่เหมือนตอนคนบางคนง้อ ตอนนั้นรู้สึก แต่ไม่รู้คิดไปเองคนเดียวหรือเปล่าสิ” ชนายิ้มเมื่อนึกถึงตัวเองตอนถูกแพรพรรณโอบกอดเอาไว้ “แหม คนเข้าหาเยอะเหลือเกินนะ จะฟ้องลุงคำ” แพรพรรณออกอาการแง่งอนแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว “ฟ้องว่าอะไร เราดูแลแพรไม่ดีหรือ” ชนาหันมาถามก่อนที่จะหันกลับไปตั้งใจมองท้องถนนอีกครั้ง “เปล่า เรื่องอื่น ทีหลังไปอ่านหนังสือไกลๆ ก็ได้ ไปที่เงียบๆ ที่ไม่มีคนน่ะ จะไปนั่งให้อีตาจอมทัพแทะโลมทำไมกัน โดนโอบอีกต่างหาก” “โอบ ตอนไหน” ชนาถาม “เอามือพาดเก้าอี้ที่ชนานั่ง โดนหลังไหมล่ะ ยังจะมาทำเป็นไม่รู้เรื่องอีก โถ่เอ๊ยที่แท้ก็หลงรูป” แพรพรรณมักจะพูดอะไรออกมาตรงๆ เลยพูดเรื่องที่เห็นให้เจ้าตัวได้รับรู้ “คุณพระเอกเขาเมื่อยแขน เลยเอามือพาดกับพนักเก้าอี้มั้งคะ หึงเหรอ” ชนาพูดแหย่เพราะคิดว่า คุณนางเอกอาจจะหวงคุณพระเอก “เป็นห่วงตัวเองนั่นแหละ ยังจะมาพูดโน่นพูดนี่อีก” แพรพรรณเผลอหยิกเข้าให้ แต่ชนากลับยิ้มกว้างมากขึ้นกว่าเก่า เมื่อได้ยินเรื่องความห่วงใยที่แพรพรรณเอ่ยออกมา “เขาพูดอะไรก็เรื่องของเขา เราแค่ฟังและที่นั่งอยู่ตรงนั้นน่ะ เพราะเป็นห่วงแพร เผื่อแพรมีอะไรให้ช่วย ถ้าเราหายไปหาที่เงียบๆ อ่านหนังสือใครจะดูแลแพรล่ะ เราอยากดูแลแพรให้ดีนะ เรารู้สึกอย่างนั้น อีกอย่างเราก็ไม่ได้พูดเล่าเรื่องอะไรของเราให้เขาฟังเลยสักนิด อ้อมีแค่บอกไปว่าจบประถม 6 แค่นั้น” ชนาหัวเราะ เมื่อคนที่หันหน้าไปทางด้านประตูรถยนต์รีบหันกลับมาทันที “ไอ้บ้า” แพรพรรณรำพึงออกมาเบาๆ “เอ๊า ไม่จบ ป.6 จะเรียน ม.1 ได้ไง ใช่ปะล่ะ เราไม่ได้โกหกนะ จบจริงๆ” ชนาหัวเราะ รอยยิ้มของแพรพรรณทำให้หัวใจของชนายิ้มได้เจ้าตัวรู้สึกอย่างนั้น “เขาเจ้าชู้ แพรเป็นห่วง” แพรพรรณพูดงึมงำ “แต่เราหวง” ชนาพูดงึมงำเช่นกัน แพรพรรณหันไปยิ้มและเสมองไปทางด้านข้าง เพราะเกรงว่าชนาจะเห็น คำรณรู้สึกสบายใจที่เห็นชนาดูแลเอาใจใส่แพรพรรณเป็นอย่างดีรวมถึงยังช่วยขับรถและดูแลระหว่างทำงาน ซึ่งปกติพริ้งมีหน้าที่คอยดูแล หลานสาว ถือเป็นงานหนักอยู่เหมือนกันที่ต้องไปรอคอยหลานสาว เดินแบบ ถ่ายแบบ และยังละครที่เพิ่งถ่ายทำไปได้ไม่นานนัก เรียกได้ว่า บางครั้งบางคราวกินเวลาพักผ่อนมากมายอยู่ อาจจะเป็นเหตุทำให้เกิดอาการเจ็บป่วย แม้จะเป็นเรื่องของท้องไส้ปั่นป่วน แต่ทั้งหมดทั้งมวลคงเป็นเพราะร่างกายที่พักผ่อนไม่เพียงพอ “แพรเอาหลานสาวมาคืนแล้วนะคะ ลุงคำ” แพรพรรณหันไปยิ้มทะเล้นให้คนที่จอดรถแล้วเดินมานั่งอยู่ข้างๆ “ไม่ต้องคืนก็ได้นะ ยายหนูแพร” ลุงคำหัวเราะ “แน่ะ ให้แล้วให้เลยน๊า” แพรพรรณพูดแหย่ ชนายิ้มอายๆ “ยกสมบัติให้ด้วยเอ๊า” ลุงคำหัวเราะ เมื่อเห็นชนายิ้มอายๆ “โห ดูไร้ค่ามากเลยค่ะ” ชนาบ่นพึมพำ “แพรไปก่อนนะ ขอบคุณที่ไปเป็นเพื่อน” แพรพรรณหันมายิ้มและบอกขอบคุณชนา “ถ้าป้าพริ้งยังไม่หายดี แพรบอกเรานะ จะขับรถให้” ชนาบอกเพราะไม่รู้เหมือนกันว่า ป้าพริ้งอาการเป็นอย่างไรบ้าง “ว่างงานอยู่ รับจ้างเลยไหมล่ะ” แพรพรรณหัวเราะ “ขนมน้าเพ็ญวันล่ะอย่างก็รีบไปแล้วล่ะ เราน่ะ” ชนาหัวเราะเช่นกัน แต่รอยยิ้มจางลง เมื่อเห็นรถสปอตมาจอดอยู่ใกล้ๆ รถยนต์ของแพรพรรณ ซึ่งบีบแตรเสียงดั่งลั่นเลยทีเดียว “ขนมเดี๋ยวเอามาให้นะ ไปล่ะ เสียงดังหนวกหู” แพรพรรณถอนใจ “ลุงคำว่า ผู้หญิงจะชอบรถยนต์หรูๆ ไหมคะ” ชนาถาม มองตามแพรพรรณที่ขับรถนำหน้าชายหนุ่มไปยังบ้านของตัวเอง “ไม่รู้เหมือนกัน ถ้ารู้ ข้าจะอยู่ตัวคนเดียวหรือ” ชนายิ้ม แต่ลุงคำหัวเราะเสียงดั่งลั่น สองลุงหลานมองไปทางบ้านเรือนไทยหลังงาม ซึ่งครั้งนี้ท่าทางชายหนุ่มจะได้เข้าไปในบ้าน เพราะเห็นพูดคุยอะไรบางอย่างกับสาวเจ้าของบ้าน ซึ่งกำลังเปิดประตูให้เคลื่อนรถเข้าไปภายใน แพรพรรณมองมาทางชนาเล็กน้อยก่อนจะเข้าบ้านไป “แต่หนูรู้นะ ทำไมลุงถึงอยู่ตัวคนเดียว” ชนาบอก “หัวใจรู้สึกอย่างไร ก็ตามนั้น ข้ามีความสุขนะ ไอ้ชาที่ได้อยู่แบบนี้ ใช้ชีวิตแบบที่ข้าอยากใช้ เอ็งก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ ไม่อย่างนั้นเอ็งจะแอบมาหลบอยู่ที่นี่ไม่ให้แม่รู้หรือ สาวๆ บ้านนั้นน่ะ น่ารักใช่ไหมล่ะ” ลุงคำถามยิ้มๆ ชนายิ้มน้อยๆ ไม่รู้ลุงคำคิดอย่างไร ถึงได้พูดออกมาอย่างนั้น แต่ชนาเชื่อเสมอว่า ผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อน ซึ่งคงพอจะมองเห็นอะไรบางอย่าง ชนาไม่รู้เหมือนกันว่า สิ่งที่รู้สึกจะเป็นสิ่งเดียวกับเจ้าตัวเขาหรือไม่ พฤกษ์นำกระเช้ามาให้กับพลับซึ่งเป็นกำนัน ชายหนุ่มพยายามหา ทางเพื่อจะเข้ามาสนิทสนมกับผู้ใหญ่ในบ้าน โดยได้รับคำแนะนำจากมารดาของตัวเอง ซึ่งเป็นภรรยาของนายอำเภอ โดยให้ใช้หน้าที่การงานของคนในบ้านเป็นช่องทางและได้ผลตามความคาดหมาย เพราะในเวลานี้ได้เข้ามานั่งอยู่ในบ้านพร้อมกับคำเชื้อเชิญให้ร่วมรับประทานอาหารเย็นด้วย “ของแพรพร้อมยังคะ แม่” แพรพรรณยิ้มๆ มองสบตากับมารดาที่เพิ่งเดินออกมาจากครัวพร้อมกับปิ่นโตสองเถา ซึ่งมีอาหารคาวหวานแยกกัน ป้าพริ้งยิ้มมองดูความแสบของแพรพรรณ เพราะเห็นไปกระซิบกระซาบบางอย่างกับมารดาและป้าพลับ “เรียบร้อยจ้ะ ไม่บอกก่อน แม่จะได้ทำของชอบของลุงคำให้มากกว่านี้อีก” เพ็ญบอกกับลูกสาว “โอ๊ยรายนั้นน่ะ ขอให้เป็นฝีมือเธอเถอะ ท้องแตกตายก็คงยอม” “พี่พริ้งก็นะ ช่างไปค่อนขอดพี่คำเขาเสียจริง ไม่เป็นหวงหรือหากผอมแห้งแรงน้อย อันที่จริง ยายเพ็ญทำกับข้าวเผื่อเสียทุกมื้อก็ได้นะ พี่คำจะได้สบายหน่อย ไม่ต้องมาเหนื่อยทำเอง” ป้าพรพูดขึ้น ขณะที่เพิ่งเดินลงมาสมทบที่โต๊ะรับประทานอาหารค่ำ พร้อมกับชายหนุ่มเจ้าสำอาง ซึ่งรู้อยู่ว่าเป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของนายอำเภอ “พี่เดินไปเป็นเพื่อนไหมคะ” พฤกษ์ยิ้มให้แพรพรรณที่หันมองสบตากับป้าพริ้ง “อย่าเลยค่ะ แพรไปนาน นัดลุงคำกับหลานเอาไว้ว่า จะไปทานข้าวด้วย” แพรพรรณพูดจบก็รีบผลุนผลันออกไปทันที ทำเอาชายหนุ่มนั่งอ้าปากหวอ เพราะถึงแม้จะได้เข้ามาร่วมโต๊ะกับครอบครัว แต่สาวเจ้าหนีหน้าไปเสียต่อหน้าต่อตา เมื่อทำท่าจะลุกตาม ก็ถูกผู้ใหญ่ทัดทานเอาไว้ “มาเถอะ พ่อคุณทานข้าวกันดีกว่า มาหาฉันไม่ใช่หรือ” พลับบอกทำเอาพี่ๆ น้องๆ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ พริ้งกับพรส่ายหน้ากับความฉลาดของหลานสาวที่ใช้เพื่อนบ้านเป็นตัวช่วยในการหนีหน้าชายหนุ่ม “ผมว่า ผมตามแพรไปดีกว่าครับ” พฤกษ์บอก “อย่าเลย ตาคำน่ะ ไม่รับแขกหรอกนะ ยิ่งขวางโลกอยู่” พริ้งบอกแล้วแอบยิ้ม เมื่อพูดนินทาคำรณ ซึ่งใครๆ ก็รู้ว่า เป็นผู้ใหญ่ใจดี แต่กับคนที่ดูคนเพียงแค่ภายนอกคงไม่ชอบลุงคำของแพรพรรณนัก เพราะเสื้อผ้าขาดวิ่นมอมแมม มีกลิ่นดิน กลิ่นโคลนติดตัวอยู่ตลอดเวลา “พี่พริ้งก็พูดไป ไม่ดุเท่าไรนักหรอก ยิงปืนแม่นน้อยกว่าฉันหน่อยเท่านั้นเอง พ่อหนุ่มมาๆ กินข้าวกินปลาซะ” ทุกคนเมื่อได้ยินเรื่องปืนผาหน้าไม้แทบจะกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ เพราะเคยเห็นคำรณยิงปืนแค่เพียงครั้งเดียว ช่วงที่มีขโมยเข้ามาที่บ้านเรือนไทย แต่เพียงแค่ยิงขู่เท่านั้น “ครับผม” พฤกษ์จำใจต้องกลับมานั่งลงที่เดิมและทานข้าวไปอย่างเงียบๆ เพราะป้าๆ ของแพรพรรณ รวมถึงมารดาพูดคุยกันเอง เสียเป็นส่วนใหญ่เหมือนดังว่า ไม่ได้มีเขาเป็นแขกมาร่วมโต๊ะด้วย ชนามองดูแพรพรรณที่หิ้วปิ่นโตเดินเข้ามา และกำลังรีบไปช่วยถือแต่เจ้าตัวทำท่าบ่ายเบี่ยงเดินตรงเข้าไปจัดการ โดยเปิดปิ่นโตและนำมาวางเรียงพร้อมทั้งเดินเข้าไปในครัว ตักข้าวมาให้ลุงคำกับชนาเรียบร้อยและใช้สายตาดุๆ จ้องมองเมื่อชนาทำท่าจะลุกไปช่วย “หนีลูกนายอำเภอมาหรือ ยายหนูแพร” ลุงคำหัวเราะ “กลัวกินข้าวไม่ลง เลยหนีมากินข้าวกับลุงคำนี่แหละค่ะ” แพรพรรณพูดยิ้มๆ มองสบตากับชนาที่ตักกับข้าวใส่จานให้ “หนุ่มเสียใจแย่เลยเนอะ” ชนาพูดขึ้นลอยๆ “ช่างสิ คนอื่นเสียใจก็ช่างเขา แต่กลัวใครบางคนไม่เข้าใจมากกว่า” แพรพรรณพูดขึ้นลอยๆ เช่นกัน ลุงคำยิ้มๆ มองสองสาวสลับกันไปมารีบทานข้าวและขอลงไปดูแปลงผักหลังบ้าน ปล่อยให้สาวๆ ได้รับประทานอาหารด้วยกันตามลำพัง “อ้าวลุงคำทำไมอิ่มเร็วนักล่ะคะ” ชนาถาม “นั่นสิ หรือฝีมือแม่เพ็ญตกเสียแล้วนะเนี่ย” แพรพรรณหัวเราะเมื่อเห็นลุงคำทำเสียงจุๆ เหมือนไม่อยากให้พูดดังไป “เอ็ดไป เดี๋ยวก็อดของอร่อยกันพอดี แม่เพ็ญของยายหนูแพรน่ะ แม่ครัวชั้นเยี่ยมของจังหวัดแล้วนะ” ลุงคำหัวเราะก่อนจะเดินออกไปทางด้าน หลังบ้าน “ป้ากับแม่ไม่ว่าอะไรหรือ หิ้วปิ่นโตมากินข้าวที่นี่น่ะ” “ถ้าว่า เดี๋ยวคงมาตาม” แพรพรรณบอก “มาพร้อมปืนลูกซองล่ะสิ” ชนาพูดเสียงอ่อยๆ “กลัวอะดิ อ้าปาก” แพรพรรณพูดคล้ายดุชนา “ไม่เอาเดี๋ยวก้างติดคอ” ชนายิ้มๆ มองดูข้าวกับปลาสลิดที่อยู่ในช้อนซึ่งแพรพรรณถืออยู่ “แพรดูแล้ว ไม่มีก้าง” แพรพรรณยิ้มและพยักหน้าบอก “เอาช้อนมา เรากินเองก็ได้นะ” ชนายิ้มให้แพรพรรณที่ทำหน้ามุ่ย “ทำไม ไม่ผลัดกันดูแลล่ะ ชาดำเย็นช่วยดูแลแพร แพรเองก็อยากดูแลบ้าง รังเกียจเหรอ” แพรพรรณใช้ลูกอ้อน ซึ่งชนาใจอ่อนตั้งแต่เห็นแววตาอ้อนวอนคู่นั้นนานแล้ว “เราจะเคยตัวเอานะ เกิดวันหนึ่งแพรไม่อยากดูแลขึ้นมา เราจะทำอย่างไรล่ะ” ชนายิ้มและยอมอ้าปากให้แพรพรรณป้อนให้แต่โดยดี “ไม่ต้องทำอะไร เพราะแพรจะดูแลไปเรื่อยๆ เหมือนที่ดูแลลุงคำ ว่าแต่ชาดำเย็นเถอะ เป็นถึงด็อกเตอร์อีกหน่อยจะมีเวลาอยู่ให้ดูแลหรือ” “เรารู้นะว่า ไม่ใช่แค่เพียงการกระทำ แต่แพรรู้สึกได้ด้วยใจ” ชนาหลบสายตาคู่สวยของแพรพรรณ ซึ่งพอจะรู้ว่า วาววับขนาดไหน “รู้สึกสิ ใจน่ะ รู้สึกตั้งแต่แรกเจอเลย” แพรพรรณยิ้มและรู้สึกเขินอายไม่ต่างไปจากชนา จึงรีบตักกับข้าวใส่จานให้เป็นการเอาอกเอาใจไม่กล้าที่จะป้อนข้าวให้อีก ไม่อย่างนั้นมีหวังสิ่งที่ห้ามเอาไว้อาจจะเผยออกมา
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม