ซื้อข้าวเปลือก

1765 คำ
เวลาล่วงเลยไปจนถึงยามเซิน (15.00-16.59) ท่านลุงใหญ่และคนอื่นๆ จึงได้กลับมาถึงบ้านสกุลจาง จางต้าฉวนอุ้มบุตรสาวที่ยังสลบไสลแต่สีหน้าของนางก็ดูดีขึ้นมากแล้ว ไข้ก็ลดลง สะใภ้ใหญ่หลี่ซี่อเดินถือห่อยา ห่อใหญ่ตามกลับมาด้วย ส่วนจางต้าหลางก็กำลังนำข้าวสารและเครื่องปรุงในครัวอีกไม่กี่ชนิด ทยอยลงจากเกวียนเข้ามาเก็บในบ้าน จางเฟยอีเข้าไปถามถึงอาการของจางจื่อเหมยกับนางหลี่ซื่อว่า มีการอาเจียนบ้างหรือไม่ แม้นางจะไม่มีความรู้ทางด้านการแพทย์แต่ก็พอจะได้ยินมาบ้างว่า ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บบริเวณศีรษะหากมีอาการอาเจียนนั้นมักจะได้รับความกระทบกระเทือนไปถึงสมอง ซึ่งอาจเป็นอันตรายร้ายแรง “ไม่นะ นางเพียงแค่เพ้อพูดอะไรออกมาด้วยพิษไข้เท่านั้น ข้ายังไม่เห็นนางอาเจียนเลยสักครั้ง ท่านหมอก็บอกว่าไม่มีปัญหาร้ายแรงอันใด คืนนี้นางก็อาจจะฟื้นแล้วล่ะ” “ท่านป้าก็พักบ้างเถิดเจ้าค่ะดูแลพี่จื่อเหมยมาทั้งคืน แล้ววันนี้ก็ยังต้องวุ่นวายอีกทั้งวัน ข้าจะอยู่ดูแลพี่จื่อเหมยแทนท่านคืนนี้ดีหรือไม่เจ้าคะ” “ไม่เป็นไรเฟยอี ข้าไม่เหนื่อยเลย จื่อเหมยปลอดภัยแล้วข้าก็วางใจหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งแล้วล่ะ ขอบใจเจ้ามากนะหลานรัก” นางหลี่ซื่อน้ำตาคลอเบ้า แต่ใบหน้าก็ยิ้มออกมาได้แล้ว ดึงร่างหลานสาวเข้าไปกอดไว้ เช่นนี้นางก็รู้สึกดีขึ้นมากแล้วจริงๆ ไม่ต้องรู้สึกผิดต่อหลานสาว บุตรสาวตัวเองก็ปลอดภัยดี “ไปหาท่านปู่กับท่านลุงทั้งสองของเจ้าเถิด พวกเขาคงกำลังปรึกษากันเรื่องของที่ซื้อมาจากในเมืองอยู่” “เฟยอีมาพอดี พวกเรากำลังคุยกันเรื่องของที่จะแบ่งกันให้ท่านปู่ของเจ้าฟังอยู่เลย เจ้าก็มาร่วมฟังด้วยเสีย ข้าเอาปิ่นเงินไปที่ร้านรับจำนำ พวกเขาให้ราคา 4 ตำลึง แต่หากขายขาดก็จะให้ 5 ตำลึงเงิน ราคาปิ่นนี้จริงๆ ต้องขายได้ถึง 7 ตำลึงเงินแต่เวลานี้ของจำพวกเครื่องประดับล้วนแล้วแต่เป็นของสิ้นเปลือง พวกเขาจึงให้ราคาสูงสุดได้เพียงเท่านี้” จางต้าฉวนค่อยๆ เล่าให้บิดา น้องชายและหลานสาวได้ฟัง “ข้าตัดสินใจขายขาดมาเลย เพราะเกรงว่าจะเหลือมาซื้อข้าวของไม่พอ ค่ารักษาและค่ายาของจื่อเหมย 1 ตำลึงกับ 800 อีแปะ ข้าซื้อข้าวเปลือกมา 5 โต่ว (ราว 29.5 กิโลกรัม) ราคา 1 ตำลึงกับ 770 อีแปะ เกลือและน้ำตาลอย่างละห้าเหลี่ยงเป็นเงิน 300 อีแปะ แป้งสาลีกับแป้งข้าวโพดอย่างละ 5 จิน เป็นเงิน 450 อีแปะ ใช้เงินไปทั้งหมด 4 ตำลึงกับ 320 อีแปะ เหลือกลับมา 680 อีแปะขอรับท่านพ่อ” จางต้าฉวนกล่าวอย่างปวดใจ ราคาข้าวของแพงกว่าเดิมไปมาก เวลานี้ข้าวสารขัดสี ราคาจินละ 45 อีแปะ เขาซื้อไม่ไหว จึงต้องซื้อข้าวเปลือกมาแทน เอามาช่วยกันตำเปลือกออกหน่อยก็ใช้ได้แล้ว “เงินที่ขายปิ่นของเฟยอีคราวนี้เป็นน้ำใจของหลานสาว ถึงเวลานางออกเรือนบ้านใหญ่และบ้านรองก็จดจำเอาไว้ให้ดี ทั้งอาหารและเงินที่เหลือ ก็แบ่งให้ทั้งสามบ้านไปเท่าๆ กัน วันนี้เวลาก็เย็นไปมากแล้ว พรุ่งนี้ค่อยไปช่วยกันทำความสะอาดบ้านเดิมของย่าเจ้าก็แล้วกันนะเฟยอี” จางเฟยอีรับคำอย่างว่าง่าย เวลานี้นางกำลังพยายามจดจำราคาข้าวของในยุคนี้เอาไว้ นางมีเงิน 2 ตำลึงเศษ เมื่อเทียบกับราคาสินค้าที่ได้ยินมาจากท่านลุงใหญ่ ดูแล้วนางคงใช้จ่ายอะไรไม่ได้มากนัก .......... อีกไม่นานป้าสะใภ้รองก็จะกลับจากนา เพื่อมาเตรียมอาหารเย็นให้ทุกคน จางเฟยอีทนไม่ไหวกับรสชาติของผักป่าและมันเทศต้มที่ต้องเห็นทุกคนกินมาหลายมื้อแล้ว จึงทำทีจูงจางเฟยเทียนและน้องสาวตัวเล็กอีกสองคนเดินออกไปเก็บของป่าที่ภูเขาท้ายหมู่บ้านด้วยกัน "เฟยเทียน เจ้าเฝ้าน้องสาวอยู่ตรงนี้ก่อน ห้ามพากันเดินไปไหนไกลนะ ในป่ามีงูและสัตว์มีพิษ ข้าจะเดินไปหาผักป่าทางนั้นอีกเดี๋ยวจะกลับมา" หญิงสาวคิดจะสำรวจดูว่าในป่าบนภูเขา นางจะพบอาหารอย่างอื่นที่สามารถนำมาทำเป็นอาหารได้อีกหรือไม่ จากความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมนางเหมือนจะเคยเห็นต้นถั่ว เห็ดชนิดต่างๆ อยู่บ้าง แต่คาดว่าคนในหมู่บ้านก็คงแย่งกันมาเก็บกันจนแทบไม่เหลืออะไรอยู่แล้ว ครั้งนี้นางหวังว่าจะได้พบกับพืชบางอย่างที่พวกเขาอาจจะยังไม่รู้จัก ยังไม่เคยมีผู้ใดทดลองนำไปเป็นอาหาร เรื่องแบบนี้นางเคยอ่านเจอบ่อยๆในนิยายที่นางชื่นชอบ ไม่แน่นางอาจจะมีโชคบ้างก็ได้ "เอ๋ นั่นดูเหมือนต้นหัวไชเท้าเลยนี่" นางรีบเดินไปยังต้นพืชชนิดหนึ่งซึ่งเวลานี้ถูกตัดใบออกไปจนเกือบหมด หลงเหลือใบเล็กๆ ปล่อยให้เติบโตเอาไว้ นางหยิบเสียมอันเล็กออกมาจากมิติ ค่อยๆ ขุดลงไปในดินอย่างระมัดระวังไม่ให้ไปโดนหัวของมัน "โอ..หัวไชเท้าจริงๆ ด้วย พวกเขาคงเก็บเอาแต่ใบของมันไปกินแล้วทิ้งหัวของมันไว้เพราะคิดว่าเป็นราก เช่นนี้ก็เป็นโชคข้าล่ะ มีหลายต้นเลยทีเดียว" นางเลือกขุดหัวไชเท้าในบริเวณนี้ขึ้นมาทั้งหมด อย่างไรมันก็เป็นพืชอายุสั้นปล่อยทิ้งไว้เดี๋ยวหัวของมันก็จะแห้งเหี่ยวตายไปเปล่าๆ จากนั้นนางก็หยิบถั่วลิสงดิบออกมาจากมิติอีกจำนวนหนึ่ง เอาผ้าที่เตรียมมาไว้แล้วห่อเอาไว้ แล้วจึงเดินกลับมาเรียกเด็กทั้งสามคนให้ไปช่วยเก็บหัวไชเท้าที่ขุดไว้กลับบ้าน “รากไม้เหล่านี้กินได้ด้วยหรือเจ้าคะพี่เฟยอี” จางลี่เจี๋ยเด็กหญิงวัย 5 ขวบถามขึ้นมาด้วยความไร้เดียงสา หัวไชเท้าพวกนี้ ขาดน้ำจึงทำให้มีขนาดเล็กและดูแห้งเหี่ยวอยู่บ้างแถมยังมีดินติดอยู่เต็มไปหมด มองดูแล้วคล้ายรากไม้อยู่ไม่น้อย “กินได้สิ สิ่งนี้เรียกว่าหัวไชเท้า วันนี้พี่สาวจะทำอาหารอร่อย ๆ ให้พวกเจ้าได้กินกัน พวกเราช่วยกันเก็บพวกมันกลับไปให้หมดเลยนะ” เด็กทั้งสามคนต่างก็ช่วยกันเก็บหัวไชเท้าใส่ตะกร้าเล็กๆ ที่พวกเขาถือติดมือมาด้วย จางเฟยเทียนเด็กชายวัย 5 ขวบ เขาเกิดก่อนจางลี่เจี๋ยเพียง 4 เดือน แสดงความเป็นพี่ชายในกลุ่มเด็กน้อย แย่งหัวไชเท้ามาใส่ตะกร้าของตัวเองมากกว่าใคร จางเฟยอีมองน้องชายคนเล็กด้วยความเอ็นดู น้องชายสองคนของนางเป็นเด็กดี มีน้ำใจกันทั้งคู่ นางตั้งใจว่าจะเลี้ยงดูพวกเขาให้ดีที่สุด เมื่อกลับมาถึงบ้าน ป้าสะใภ้รองยังไม่กลับมา พี่น้องคนอื่นๆ ก็ยังคงทำงานกันอยู่ในพื้นที่เพาะปลูก มีเพียงป้าสะใภ้ใหญ่ที่กำลังหุงข้าวอยู่วันนี้นางคิดจะให้ทุกคนได้กินข้าวสวยสักวันหลังจากที่ต้องประหยัดกันจนตัวลีบ กินแต่ข้าวต้มที่มีแต่น้ำเสียส่วนใหญ่ มาหลายวันแล้ว “ป้าสะใภ้ใหญ่เจ้าคะ วันนี้ข้าจะทำอาหารเองเจ้าค่ะ” “โอ..เฟยอีก็ทำอาหารเป็นด้วยหรือ ข้าไม่เห็นเจ้าทำมาก่อนเลยนี่” “ทำเป็นเจ้าค่ะ ข้าแอบมองท่านป้าทั้งสองทำมาหลายครั้งแล้ว อาหารง่ายๆ บางอย่างข้าก็จดจำวิธีทำเอาไว้ได้แล้วเจ้าค่ะ” ที่จริงแล้วนางก็ไม่ได้เป็นแม่ครัวฝีมือฉกาจอันใด แต่กับข้าวของบ้านสกุลจางเท่าที่นางรู้เป็นเพียงอาหารง่ายๆ ประเภทต้ม กับผัดเพียงเท่านั้น เครื่องปรุงก็ไม่ได้มีหลากหลายมากนัก ดูแล้วไม่น่าจะยุ่งยาก เมื่อครั้งที่ต้องอยู่บ้านคนเดียวในชีวิตก่อน นางก็เคยหัดทำอาหารจากการศึกษาผ่านตำราอาหารมาบ้างแล้ว “แล้วนี่คืออะไรหรือเฟยอี” นางหลี่ซื่อหยิบหัวไชเท้าแห้งเหี่ยวขึ้นมามองดู พร้อมกับทำสีหน้าแปลกๆ “นี่คือหัวไชเท้าเจ้าค่ะ ท่านพ่อเคยชี้ให้ข้าดูว่านี่เป็นอาหารที่กินได้ ครั้งนี้ข้าโชคดีไปพบมันในป่าเลยช่วยกันขุดกับพวกน้องๆ กลับมา” “เอ๋.. เจ้าผักนี่ข้าเคยเห็นมาก่อนนี่นา ไม่มีใครเอารากของมันมากินหรอกเฟยอี ชาวบ้านว่ารากของมันกัดมือ หากสัมผัสกับมือนานๆ ก็จะแสบและคันมากเลย เราจะเลือกตัดแต่ใบของมันมาผัดกับไข่ หรือต้มใส่เกลือเท่านั้นล่ะ” หลี่ชุนเถาทอดถอนใจออกมาเล็กน้อย หลานสาวไม่ค่อยประสีประสาคงเข้าใจอะไรผิดๆ มา “ท่านป้าสะใภ้เจ้าคะ หัวไชเท้านี่กินได้จริงๆ ท่านป้าวางใจได้ เดี๋ยวข้าจะตุ๋นหัวไชเท้ากับถั่วลิสงให้พวกท่านได้ลองชิมกันดู รับรองว่าอร่อยแน่นอนเจ้าค่ะ” นางหลี่ซื่อมองไปยังถั่วลิสงจำนวนมากที่อยู่ในห่อผ้าแล้วนึกเสียดาย ถั่วพวกนี้หากนำมาต้มกินก็ทำให้ทุกคนในบ้านได้อิ่มท้องกันมื้อหนึ่งเลยทีเดียว แต่หลานสาวของนางยินยอมที่จะปรับเปลี่ยนตัวเองหันมาใส่ใจเรื่องอาหารการกิน นางก็ไม่อยากจะขัดขวาง ให้นางได้แบ่งถั่วไปต้มกับรากไม้นั่นสักนิดคงไม่เป็นไร หากนางทำของเสียหายก็ถือเสียว่าจะได้ให้นางจำไว้เป็นบทเรียน “เช่นนั้นข้าจะแบ่งถั่วมาต้มสักหน่อยแล้วกันนะเฟยอี เวลาเจ้าหั่นรากไม้นั่นก็ระวังหน่อย อย่าแช่ไว้นานมือเจ้าจะแสบเอาได้”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม