หมับ!
สิ้นคำพูดของฉัน ก็เหมือนว่ามันไปกระตุกต่อมความเดือดดาลให้ปะทุขึ้นมากกว่าเดิม แอลถึงกระชากข้อมือฉันแล้วลากออกไปด้านนอกโดยไม่สนสายตาของคนรอบข้างแม้แต่นิด
ฉันเค้นเรี่ยวแรงในการแกะฝ่ามือของเขาออก แต่ก็ไม่ประสบผล ซ้ำร้ายกว่านั้น ยิ่งฉันต่อต้านเท่าไหร่ แอลยิ่งกอบกุมข้อมือฉันแน่นขึ้นจนเจ็บแปลบไปถึงกระดูกด้านใน
แอลไม่ยอมพูดจาเลยอีกเลยหลังจากนั้น แต่การกระทำยังดำเนินต่อไปจนถึงขั้นที่ฉันถูกบังคับให้ขึ้นไปนั่งบนบิ๊กไบค์คันโปรดของเขา
“จะพาฉันไปไหน!” คำถามของฉันดังขึ้นแข่งกับสายฝนที่กำลังตกปรอยๆ
“พาไปตายด้วยกันมั้ง” คำตอบนั้นทั้งเยือกเย็นและน่ากลัว ฉันมองรอยเลือดที่มุมปากเขา... ดูเหมือนว่านั่นยังไม่เพียงพอ “ขึ้นรถ อย่าให้ต้องใช้กำลัง”
“ไม่... อ๊ะ” ปฏิเสธไม่ทันครบประโยค แอลจัดการอุ้มฉันขึ้นไปนั่งด้านหน้าโดยง่ายเหมือนฉันเป็นเพียงกระดาษแผ่นบางๆ ไม่กี่วินาทีต่อมาเขาก็ตามขึ้นมาซ้อนทับด้านหลัง ไอร้อนจากกายเขาซึมผ่านเสื้อมาถึงแผ่นหลังฉัน
และเสียงหัวใจของเขา... มันไม่เต้นระรัวเหมือนเมื่อก่อน
“พาฉันมานี่ที่ทำไม ปล่อย ฉันจะกลับ!”
หัวใจฉันแทบหล่นไปกองที่ตาตุ่มเมื่อได้คำตอบว่าสถานที่ๆ เขาจงใจพามาคือ... คอนโดฯ ของเขาเอง
ฉันเคยอยู่ที่นี่ตอนคบกับเขา มีเหตุผลเพราะไม่อยากเสียเงินกับค่าเช่าหอ สักพักฉันค้นพบว่าเขากลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต และใช่ สถานที่แห่งนี้คือจุดเกิดเหตุเมื่อปีก่อน
นั่นคือสาเหตุที่ทำให้ฉันรู้สึกโกรธ กลัว และอีกมากมายเมื่อต้องกลับมาเหยียบที่นี่อีกครั้งในรอบหนึ่งปี
ไม่รู้หรอกนะว่าหลังจากที่ฉันขนของออกไปแล้ว เขายังกลับมาอยู่ที่นี่อีกไหม แวะมาบ้าง หรือไม่เคยกลับมาจนกระทั่งเมื่อหลายวันก่อน
ไม่รู้อะไรทั้งนั้น ไม่อยากใส่ใจด้วย
“เป็นไง ตกใจเหรอ?” แอลเห็นปฏิกิริยาจากฉันจึงถามขึ้น เขาจัดการล็อกห้องอย่างดิบดี ก่อนกระชากกระเป๋าใบโปรดไปจากมือฉันแล้วโยนมันลงพื้นอย่างไร้ค่า ฉันกำหมัดแน่น...
“อะไรทำให้นายกลายเป็นแบบนี้แอล!” ฉันถามเสียงกร้าว มองสบตาเขาอย่างต้องการคำตอบ แต่แอลกลับดันฉันติดกับกำแพงห้อง มองดูเสื้อที่เปียกชื้นของฉันด้วยสายตาเข้าใจยาก “นายไม่... อึก อื้อ!”
แอลจู่โจมฉันทันทีเป็นการหยุดคำพูด ไรฟันเรากระทบกันจนฉันรู้สึกปวดจี๊ดไปถึงสมอง พยายามบังคับไม่ให้ตัวเองเผยอริมฝีปาก แต่สู้แรงมหาศาลของแอลไม่ได้เลย เขาบงการฉันด้วยมือเพียงข้างเดียวและริมฝีปากช่ำชอง
เขาเน้นย้ำและกดกระแทกในทุกๆ จังหวะการหายใจ นั่นทำให้ฉันหอบโยนไปทั้งตัว ก่อนจะรู้สึกปวดแปลบบริเวณริมฝีปากล่างเนื่องจากแอลได้เปลี่ยนจากการจูบเป็นการขบกัด...
เจ็บ...
“เธอทำให้ฉันต้องเป็นแบบนี้เอง จำไม่ได้เหรอ” แอลผละริมฝีปากออก นัยน์ตาดำมืดคู่นั้นกำลังคาดคั้นคำตอบขณะปลายนิ้วโป้งลูบไล้รอยจูบที่คงจะบวมเห่อและแดงช้ำ ฉันได้กลิ่นเลือดจางๆ
แอลซาดิสม์เสมอเมื่อโกรธจนยับยั้งตัวเองไม่ได้ “ตอบสิพลัม...”
“ฉันไปทำอะไรนาย มีแต่นายที่ทำให้ฉันเสียใจนะแอล นายทิ้งฉัน!” อารมณ์ฉันร้อนระอุมาก เหมือนเขาเอาแต่โทษฉันจนลืมมองข้ามสิ่งที่ตัวเองเคยทำไว้กับฉัน
เขาบอกฉันคือสาเหตุ นั่นน่ะ เป็นการโยนความผิดให้ฉันหรือเปล่า
ก็รู้ว่าเลว แต่ไม่คิดว่าจะเลวขนาดนี้
“หึ...” แอลแค่นหัวเราะและบิดยิ้ม “ก็ดี พอรู้ว่าเธอเป็นแบบนี้ฉันจะได้ไม่ออมมือ”
“นายมีสิทธิ์พูดแบบนั้นด้วยเหรอแอล อย่ามาเยอะกับฉันนะ อื้อ!” แอลแสดงความรำคาญผ่านสีหน้าก่อนปิดริมฝีปากฉันด้วยริมฝีปากของเขาอีกครั้งในระดับความรุนแรงที่มากขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ฉันหัวหมุนไปหมดเมื่อต้องรองรับสัมผัสดุดันที่ไม่ได้ทำเพราะความรักใคร่ แต่เป็นการลงโทษ
ฉันพยายามเอาคืนด้วยการกัดริมฝีปากเขา กะเอาให้เลือดซิบ แต่ขยับริมฝีปากได้เพียงไม่นาน ปลายลิ้นเปียกชื้นก็จู่โจมเข้ามาแบบไม่ทันได้ตั้งตัว มันเคลื่อนไหวอย่างอิสระภายในพื้นที่ของฉัน แต่กลับเชี่ยวกราดเหมือนสภาพอารมณ์ของแอล
ฉันผลักไส แอลดึงดัน ในระยะเวลาที่บอกไม่ได้ว่าผ่านไปเท่าไหร่... เราอยู่ในสภาพนี้จนฉันแทบไม่มีแรงยืน คล้ายว่าแอลกำลังฆ่าให้ฉันตายอย่างช้าๆ
ปลายเล็บที่จงไว้ยาวจิกแน่นบริเวณต้นคอเขา ฉันออกแรงกดและลากเป็นทางมายังลูกกระเดือก แต่เพราะเรี่ยวแรงฉันถูกสูบกลืนออกไปแล้วสองในสามส่วน มันจึงไม่รุนแรงพอจะเอาคืนเขา ทว่าแอลก็ยอมผละออก
เขาหายใจรดฉัน
ฉันจ้องหน้าเขา
เหนื่อยตั้งแต่คบกันยังเลิกรา พอกลายเป็นคนแปลกหน้าเขาก็ไม่วายหาเรื่องมาให้ฉันช้ำใจ
หรือฉันควรถามเขาดีๆ
เราควรสนทนากันดีๆ สักครั้งไหม...
“นายต้องการอะไรกันแน่แอล กลับมาทำไม ทำแบบนี้ทำไม” ฉันตัดสินใจถามเขาอย่างจริงจัง และแอลเองก็ใช้สายตาเย็นชามองฉันกลับมา
“ทำไมไม่ถามตัวเองดูล่ะว่าเคยทำอะไรไว้” เขาย้อนถามคล้ายกับประโยคก่อนหน้านี้
ฉันคิด คิดมาหลายรอบแล้ว
ไม่ใช่แค่วันนี้ ตอนนี้ แต่คิดมาตลอดหนึ่งปี ถึงเขาจะห่างหายออกไปจากชีวิต แต่ปริศนาที่เขาทิ้งไว้ทำให้ฉันหยุดหาคำตอบไม่ได้จริงๆ
และใช่ ฉันนึกไม่ออกเลย
“...” เมื่อตอบอะไรไม่ได้ ฉันจึงเงียบไป
“เห็นไหม” วูบหนึ่งแววตาเขาฉายชัดถึงความเจ็บปวดอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน “ขนาดเธอยังไม่รู้ตัวเองเลยว่าก่อเรื่องอะไรไว้”
“...” แอลกำหมัด มันทาบกับกำแพงใกล้ๆ ใบหูฉัน
“แล้วจะอยากรู้ไปทำไมว่ามีเหตุผลอะไรที่ฉันต้องกลับมา”
[บทบรรยาย :: แอล]
นึกถึงเรื่องนี้ทีไร ผมรู้สึกเหมือนมีเลือดไหลออกมาจากหัวใจเลย
เหี้ยเอ๊ย...
ลูกพลัมไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเองทำอะไรไว้หรือแกล้งไม่รู้กันแน่ เอาแต่ถามว่ากลับมาทำไม อะไรทำให้เป็นแบบนี้
คนทำผิดต้องรู้สิ่งที่ตัวเองทำสิ รู้อยู่แก่ใจแต่มาถามผมแบบนี้มันเหมือนว่าเธอ ‘จงใจทำมันลับหลังผมและคิดว่าผมเป็นไอ้หน้าโง่ที่ไม่มีทางรู้’ ตอนนี้ถึงยังทำหน้างงงวยเหมือนตัวเองคือคนถูก
ลูกพลัมเป็นฝ่ายลงมือเฉือนหัวใจผมทิ้งก่อน เลือดเปื้อนมือเธอ...แต่เธอดันทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ผมควรทำไง ควรโอบกอดเธอ ร้องไห้ตัวสั่นระริกเพื่อขอร้องเธอเหรอ
ผมรู้ตัวเองว่าเป็นคนใจร้อนระดับที่พร้อมจะทำลายทุกอย่างเมื่อทนไม่ไหว คืนนั้น... ถ้าผมไม่จากมา รับประกันเลยว่าลูกพลัมจะเละยิ่งกว่านี้ เธอจะเจ็บปวดเจียนตายที่ตอบแทนความรักที่ผมมีให้เธอด้วยเรื่องบัดซบแบบนั้น
กลับมาหาเพราะคิดถึงคือหนึ่งในคำตอบ และอีกเหตุผลคืออยากรู้ว่าเธอเข้าใจเหตุผลที่ผมโกรธหรือยัง
“ก็พูดมาตรงๆ สิ!!” ตอนแรกลูกพลัมเหมือนจะระงับอารมณ์และถามผมด้วยเหตุผล แต่ต่อมาเธอก็ขึ้นเสียงอย่างทนไม่ไหว “นายบอกว่าฉันผิด แต่นายไม่พูดออกมาว่าฉันทำอะไร ใครมันจะไปตรัสรู้!”
“ถ้าฉันบอก เธอจะทำไง?” ผมเลิกคิ้ว มองรอยเลือดบนริมฝีปากเธอไปด้วย
“มันก็ขึ้นอยู่กับสิ่งที่นายพูด ถ้าเป็นเรื่องงี่เง่า... ฉันก็ไม่มีเหตุผลต้องอธิบายอะไรเพิ่มเติม”
งี่เง่าสินะ
“เหรอ งั้นเอาแบบนี้...” ผมใช้ปลายนิ้วสางเส้นผมยาวๆ ของเธอ ออกแรงขยุ้มและกระตุกเล็กน้อยจนลูกพลัมแหงนหน้าขึ้นโดยอัตโนมัติ ริมฝีปากผมแตะริมฝีปากเธอแบบเฉียดผ่านทุกครั้งที่พูด “อยู่แบบนี้ต่อไปจนกว่าเธอจะรู้ด้วยตัวเอง”
“...”
“อยากรู้เหมือนกันว่าจะแกล้งโง่ได้อีกนานแค่ไหน”
ผมรักเธอแทบขาดใจ
และเธอจะต้องใจขาดตายที่ทำแบบนี้กับผม
[จบบทบรรยาย :: แอล]
ฉันถูกแอลขังไว้ในคอนโดฯ...
ไม่เชิงขังหรอก แต่เขาไม่ให้ฉันกลับหอมากกว่า แม้ฉันสามารถหนีออกไปทางระเบียงห้องได้ แต่ห้องของแอลอยู่ชั้นบนสุดของตึก ดังนั้น... ถ้าหาทางหนีมันก็ไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตาย
อีกอย่างนะ คอนโดฯ นี้เป็นของลุงเขา ท่านยกห้องนี้ให้แอลเป็นของขวัญตอนอายุสิบแปดปี (หลายคนคิดว่าลุงเขาซื้อให้แต่ไม่ใช่หลานเจ้าของคอนโดฯ) ถ้าฉันก้าวเท้าออกจากห้องไปได้ก็ไม่แน่ใจว่าจะรอดปลอดภัยถึงชั้นล่างไหม พนักงานที่นี่สนิทกับแอล บางคนรู้จักฉัน
แต่ก็... เชื่อฟังแอลที่เป็นหลานเจ้าของคอนโดฯ มากกว่า
เรามีปากเสียงกันหลายชั่วโมงติดต่อกัน จนในที่สุดแอลก็เป็นฝ่ายเงียบและออกไปสูบบุหรี่ที่ระเบียง แต่นัยน์ตาคมกริบยังคงมองฉันผ่านกระจกใส
ฉันเหนื่อยแต่พยายามถ่างตาไม่ให้หลับ ซึ่งก็ทำได้แค่ไม่นาน... รู้ตัวอีกทีก็สลบไสลอยู่บนเตียงของเขา ตื่นขึ้นมาอีกทีก็สายของอีกวันแล้ว
“พี่แอลใจร้ายเกินไปแล้ว!”
ฉันได้ยินเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังมาจากห้องรับแขก สมองออกคำสั่งให้เดินไปดูแต่ยังคงความเบาบางของฝีเท้า กระทั่งมาถึง ฉันจึงได้เห็นว่าแอลกำลังกอดกับผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ เธอหันหลังมาทางนี้
เขาลูบหัวเธออย่างทะนุถนอมราวกับต้องการปกปักษ์รักษา
แววตาคู่นั้นอ่อนโยนจนคนรับสามารถละลายคาอกได้
และผู้หญิงคนนั้นได้รับมันเป็นคนที่สองต่อจากฉัน... ซึ่งเป็นอดีตคนรักของเขา
ฉันมองแผ่นหลังของเธอ ตัวเธอเล็ก ผิวขาว ไว้ผมประบ่า
ไม่รู้ว่าอะไรทำให้ฉันแค่นยิ้มออกมา แต่มันต้องเลือนหายไปเมื่อแอลหันมาเจอฉันยืนอยู่ตรงนี้ ฉันไม่ขยับตัว จงใจทำให้เขาเห็น ซึ่งดูเหมือนว่าการที่แอลเอาแต่จ้องฉันทำให้ผู้หญิงคนนั้นรู้ตัวจนต้องหันกลับมามองตาม
“พี่ลูกพลัม!” เธอผลักแอลออกอย่างแรง ก่อนจะวิ่งมาหาฉันเหมือนเด็กน้อยเจอของเล่น ดูจากทรงแล้วก็คงจะเด็กกว่าจริงๆ นั่นแหละ ที่สำคัญ... เมื่อเธอหยุดอยู่ตรงหน้า ฉันถึงเห็นว่าเด็กคนนี้หน้าตาน่ารักมากขนาดไหน รอยยิ้มสว่างไสวสุดๆ
“รู้จักฉันด้วยเหรอ?” ฉันถาม จะว่าไปเด็กตรงหน้าก็ดูคับคล้ายคับคลาเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่นึกไม่ออก
“เอ้าๆ หนูไง” เธอใช้นิ้วจิ้มอกตัวเองสองที “น้องสาวที่น่ารักของไอ้พี่แอลคนเฮงซวยไงคะพี่ลูกพลัม”
เธออธิบายพร้อมเสียงสดใส ฉันร้องอ๋อขึ้นมาในใจทันที
ตอนคบกับแอล ฉันไม่เคยไปบ้านเขาเพราะรู้มาว่าครอบครัวเราสองคนเป็นปรปักษ์กันมานาน นั่นทำให้แอลต้องแนะนำครอบครัวของเขาผ่านรูปภาพ เขามีน้องทั้งหมดสามคน เธอเป็นน้องคนรอง ฉันเคยเห็นรูปของเธอเมื่อสองปีที่แล้ว ตอนนั้นยังผมยาวใส่ชุดมอ.ปลายอยู่เลย
ตอนนี้น่าจะขึ้นมหาวิทยาลัยแล้วแน่ๆ แต่การตัดผมสั้นแบบนั้นทำให้เธอดูเด็กลง ฉันจำเธอเกือบไม่ได้แน่ะ
“อายใช่ไหมคะ” ฉันยิ้มอย่างเป็นมิตร ส่วนอายพยักหน้าหงึกหงัก สักพักก็ตรงเข้ามากอดแขนฉันและกระซิบกระซาบข้างหูด้วยน้ำเสียงมีลับลมคมใน
“ไอ้พี่ชายเฮงซวยมันทำไรพี่ป่าว มันซาดิสม์กับพี่ไหม บอกหนูมาๆ” อายชำเลืองสายตามองพี่ชายตัวเองด้วยสายตาไม่พอใจ เธอถามเหมือนรู้เรื่องทั้งหมดระหว่างฉันกับแอลเลย
“ไอ้อาย! ทำไรวะ” เป็นเสียงของแอลนั่นเอง
“ไอ้พี่สารเลว หนูเห็นแผลที่ปากพี่ลูกพลัม รังแกพี่สะใภ้เหรอ! ทำไมเป็นคนแบบนี้ จะฟ้องพ่อให้เตะก้านคอ!” อายเท้าสะเอวหลังจากเห็นรอยแผลเล็กๆ จากการถูกแอลกัดบนริมฝีปากฉัน “คนรักกันเค้าไม่ทำแบบนี้ หนูจะปกป้องพี่ลูกพลัม! อ๊ะ”
อายถูกแอลดึงออกไปในที่สุด แอลเหมือนอยากดุน้องสาว แต่ก็ทำได้แค่...
“เออ ตอนนี้ไม่ทำแล้ว” พูดจาด้วยเสียงอ่อนๆ เหมือนไม่อยากมีเรื่องทะเลาะด้วย เขายกมือลูบศีรษะอายอีกครั้งขณะที่เธอแหงนหน้าขึ้นมองพี่ชายพร้อมทำแก้มป่อง
แล้วไอ้คำว่าตอนนี้ของเขามันหมายความว่าไง? ตอนอื่นอาจจะทำงี้เหรอ
“ให้มันจริงอย่างที่ปากว่าด้วยล่ะ” อายใช้กำปั้นเล็กๆ เคาะกะโหลกพี่ชายดัง ‘เปาะ’ โดยที่ผู้ถูกกระทำยืนทำหน้าเนือยใส่ไม่คิดจะตอบโต้
“รู้แล้วน่า”