หญิงสาวกึ่งวิ่งกึ่งเดินออกไป ใจก็ภาวนาอย่าให้ฝนตกลงมาตอนนี้ แต่ดูเหมือนคำอธิฐานของเธอจะไม่เป็นผลเพราะขนาดออกมาได้ยังไม่ถึงหน้าโรงพยาบาลดีสายฝนที่ตั้งเค้าอยู่เมื่อครู่ก็โปรยหนักลงมาโดยไม่ฟังคำขอของเธอเลยสักนิด เธอรู้ดีว่าจุดที่ตัวเองยืนอยู่ถึงย้อนกลับเข้าไปในโรงพยาบาลก็คงเปียกสะบักสะบอมไม่ต่างจากไปต่อเท่าไรนัก สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดตอนนี้คือกลั้นใจวิ่งผ่านสายฝนไปให้ถึงจุดหมายโดยเร็วที่สุด
ทว่าสิ่งที่หางตาเหลือบไปเห็นกลับทำให้ร่างบางต้องหยุดยืน ภาพที่ปรากฏตรงหน้า… ใต้ร่มเงาเล็กๆ ของพุ่มไม้ มีสุนัขตัวหนึ่งกำลังนอนครางด้วยท่าทางเจ็บปวด
เร็วเท่าความคิด ช่วงขาเรียวรีบเดินเข้าไปสำรวจใกล้ๆ ก่อนอุทานกับตัวเองอย่างตกใจ เสียงครวญของสุนัขตัวนี้ คงมีที่มาจากบาดแผลที่ฉีกเหวอะหวะตามตัวไปทั่ว โดยเฉพาะท่อนขามีรอยบาดเจ็บที่น่าจะเป็นสาเหตุให้เดินไม่ได้
ณัฐรดาไม่รอช้ารีบเข้าไปอุ้มสุนัขสี่ขาที่นอนตัวสั่นตากฝนอยู่ พอมาเจอเหตุการณ์แบบนี้เธอก็นึกขัดใจตัวเอง การไม่ได้เอารถมาทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างติดขัดตามไปหมด เมื่อนึกไปถึงโรงพยาบาลหรือคลินิกที่รับรักษาสัตว์เท่าที่คุ้นตาก็อยู่ไกลไปกว่านี้อีกมาก
ตอนนี้ ถ้าจะมีก็แต่…
ร่างเล็กหยุดครุ่นคิดกับตัวเอง ฝนเม็ดหนาที่ตกลงมาและไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ทำให้เธอต้องรีบตัดสินใจเพื่อจะทำอะไรบางอย่าง มือบางยังกอดเจ้าสี่ขาตัวกำลังพอดีไว้ในอ้อมแขน
ก็ถ้าโรงพยาบาลสัตว์ยังไปไม่ได้ อาศัยโรงพยาบาลคนไปก่อนก็แล้วกัน
******
ทุกคนดูจะแปลกใจอยู่มาก สายตาหลายคู่ที่มองมาคล้ายกำลังตั้งคำถามว่าเธอใช้ตรรกะอะไรในการคิด ถึงได้อุ้มหมาเข้ามาขอรักษาในโรงพยาบาลของคน!!
พิสูจน์ได้ตั้งแต่ยามหน้าประตู ไล่ไปถึงหน่วยเปล นั่นยังไม่รวมพยาบาลที่เดินผ่าน ที่พอเธอแสดงเจตนาออกมาปุ๊บ ทุกคนก็พร้อมใจผสานเสียงค้านออกมาทันใด
“แล้วทำไมคุณไม่เรียกรถแท็กซี่พามันไปล่ะครับ เดี๋ยวผมโทรเรียกให้ก็ได้” เสียงห้วนของหนึ่งบุรุษผู้ทำหน้าที่พนักงานเปลแทรกขึ้นมา น้ำเสียงอึกอักบ่งบอกชัดว่าเขาคงอยู่ในอารมณ์ที่ทั้งสงสารและลำบากใจไม่น้อย แต่ก็พยายามเลือกทางออกที่ดีที่สุด
“แล้วคุณไม่เห็นเหรอคะ ว่ารถมันติดไม่ขยับขนาดนี้ คุณจะปล่อยให้หมามันหนาวตายเจ็บตายกลางสายฝนหรือไง” ไม่แพ้ร่างเล็กที่สวนกลับไปด้วยแรงอารมณ์ของคน (ที่โมโหแทนหมา) เช่นกัน
“แต่นี่มันโรงพยาบาลรักษาคนนะคุณ”
ทว่าพอมาเจอคำพูดที่ตรงกับตรรกะความจริงแบบนั้น คนที่ทำท่าจะเถียงกลับ จึงจำต้องเม้มปากเก็บคำพูดของตัวเองอย่างไม่รู้จะอ้างเหตุผลอะไรขึ้นมาคัดค้าน ณัฐรดาก้มลงไปมองหน้าเจ้าตูบในอ้อมแขนที่ตัวยังคงสั่นระริกไม่หาย ใบหน้ายุ่งที่คิ้วขมวดเป็นปมบ่งบอกชัดเจนว่าหญิงสาวกำลังเข้าตาจน เธอไม่รู้จะทำอย่างไรให้ได้ดีกว่านี้ หรือบางทีอาจต้องพยายามเรียกรถแท๊กซี่ไปส่งเจ้าสี่ขาให้ถึงมือหมอให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้จริงๆ
ก็ได้แต่หวังว่าเจ้าของแท็กซี่จะไม่รังเกียจมันเหมือนที่ใครต่อใครไม่อยากต้อนรับ
“มีอะไรกันเหรอครับ” ก่อนเสียงทุ้มเรียบคลับคล้ายคลับคลาว่าคุ้นเคยที่ดังแทรกเข้ามาจะทำให้คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมอง ร่างสูงที่ปรากฏตัวตรงหน้าทำให้คิ้วที่ขมวดมุ่นเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มระบายบนใบหน้าขึ้นมาทันใด
เขาต้องช่วยเธอได้แน่ๆ
“คุณหมอ ดีใจจังเลยที่เจอคุณ ช่วยรักษาหมาให้หน่อยได้ไหมคะ”
ด้านคนที่เพิ่งเดินผ่านมาเห็นเหตุการณ์ ด้วยสัญชาตญาณเขารับรู้ถึงความผิดปกติทำให้ต้องเดินเข้ามา ทั้งที่โดยความเป็นจริงไม่ใช่ปกตินิสัยของเขาเท่าไรนัก ทว่าทันทีที่เห็นหน้า เสียงใสพร้อมแววตาเป็นประกายแห่งความหวังของสาวน้อยร่างเล็กที่เขาชักจะเริ่มคุ้นเคย กับคำขอร้องโดยไม่อธิบายที่มาที่ไปของเธอทำให้เขาแปลกใจยิ่งกว่า
ดวงตาคมภายใต้กรอบแว่นมองไปยังเจ้าสี่ขาในอ้อมกอดของเธอที เงยหน้ามองเจ้าของดวงตาเป็นประกายเต็มไปด้วยความหวังอีกที
“รักษาหมาหรือครับ” คิ้วหนาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ชายหนุ่มถามออกไปอย่างอดสงสัยไม่ได้ แต่จนแล้วจนรอดคำตอบก็ยังเป็นการพยักหน้ากลับมาอย่างมั่นอกมั่นใจ