คอนโด INLAK
-KLOEM TALK-
“ทำอะไร”
“เปล่า” ผมตอบและเก็บโทรศัพท์มือถือ
“นึกว่าคุยกับผู้หญิง”
“จะคุยกับใครได้ มีอยู่ตรงนี้ทั้งคน” ยกยิ้มพร้อมกับดึงเธอลงมานั่งที่ตักของผม
“น่ารักจัง ทำหวานกับอินได้แค่ในคอนโดเท่านั้นเหรอ” เธอหันมามองหน้าแล้วก็ยื่นมือมาจับที่แก้มของผม
‘อินรัก’ เป็นหนึ่งในผู้หญิงของผม และที่ผมมาหาเธอบ่อยก็เพราะว่าเธอเหมือนใครบางคนในหัวใจของผม
ใครบางคนที่ผมรักมานาน
ผมยอมให้อินรักลูบแก้ม ทั้งที่ไม่มีใครได้สัมผัสนอกจากมอร์ฟีนกับคนในครอบครัวของผม แล้วที่ยอมเพราะอินรักหน้าตาคล้ายคลึงกับมอร์ฟีน แม้จะไม่เหมือนมาก แต่มันก็แทนกันได้
ก็แค่อยู่ด้วยแล้วคิดว่าอยู่กับมอร์ฟีน
“ก็รู้อยู่ว่าทำไม” ผมบอกและหอมลงที่ซอกคอของเธอ
“แต่เคลิ้มก็ปกป้องอินได้ไม่ใช่เหรอ อินเป็นแฟนเคลิ้มนี่นา…” เธอทำหน้าหวานหยาดเยิ้ม
“ไม่เอา ไม่ซีเรียสสิ มาทำอะไรสนุก ๆ กันดีกว่าเนอะ” ผมพูดแล้วก็วางเธอลงที่เตียง จากนั้นก็ถอดชุดคลุมเธอออก
แล้วก็ยาวเลยครับ เพราะผมเป็นคนจุดติดง่าย
สาเหตุที่เธอได้อยู่แค่ตรงนี้ ก็เพราะว่าผมไม่คิดจะให้ใครมามีอำนาจในชีวิต
แม้ว่าเธอจะหน้าเหมือนมอร์ฟีน แต่เธอก็เป็นได้แค่ตัวแทน เธอไม่มีทางเป็นมอร์ฟีนที่ผมรักได้
ผมพูดได้เต็มปากว่ารัก แต่คนอย่างผมคงไม่มีปัญญาดูแลผู้หญิงอย่างมอร์ฟีนได้ เธอสูงเกินกว่าที่ผมจะเอื้อมถึง
ผมมันก็แค่หลานนอกไส้ของตระกูล ก็แค่พึ่งใบบุญนามสกุลศิวะวานนท์
ครึ่งชั่วโมงต่อมา…
“พรุ่งนี้ขอติดรถไปด้วยได้ไหม” อินรักถามเมื่อเธอเดินออกมาจากห้องน้ำ เธอเดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง ทาครีมบำรุงอะไรของเธอนั่นแหละครับ
“ไม่ได้หรอก ก็บอกแล้วไงว่าที่มอเราเป็นเพื่อนกัน” ผมบอกและลุกขึ้นแต่งตัว
“วันนี้ก็ไม่ค้างที่นี่เหรอ” เธอทำหน้าตื่น ๆ เมื่อผมลุกขึ้นแต่งตัว
“ไม่”
“เคลิ้ม”
“ว่า”
“เด็กปี 1 บริหารคนนั้นเป็นใคร”
“ทำไม”
“ก็เพจที่มอแชร์คลิปมา เคลิ้มออกตัวป้องเด็กนั่น ปกติเคลิ้มไม่ทำ แล้วทำไม…” อินรักเดินเข้ามาหาผมแล้วยื่นมือมาลูบที่ใบหน้า
“น้องสาวไอ้ตั้มไอ้ตาม ก็แค่น้องเพื่อน”
“แค่น้องจริง ๆ ใช่ไหม”
“คิดว่าจะชอบคนแบบนั้นหรือไง พูดอะไรหัดคิดหน่อย” ระหว่างั้นนั้นผมยกมือขึ้นลูบที่แก้มของอินรักเล่น
“ไม่รู้สิ ปกติเห็นไม่สนคนโดนรังแก หนำซ้ำยังร่วมด้วย แต่นี่จับมือถือแขน ก็เลยรู้สึกว่า…”
“ไม่มีอะไรหรอกน่า ทำอย่างกะเคลิ้มจะสนใจ”
“พูดแล้วนะ”
“อืม ไปนะ” ผมบอกและแตะที่บ่าของเธอก่อนจะเดินออกจากห้องอินรัก
ก็แค่เหมือนมอร์ฟีนที่ผมรัก ไม่งั้นผมไม่สนใจหรอก
แล้วที่เหมือนก็เพราะศัลยกรรมล้วน ๆ แต่ผมก็โอเคนะ เพราะเธอเหมือนมอร์ฟีน
แต่ก็นะ ถึงจะเหมือนแค่ไหน แต่ผมไม่ได้รัก
ครืด ครืด…
“เออ”
(อยู่ไหนวะ แดกเหล้ากัน) เพื่อนของผมมันโทรเข้ามา
แต่ไอ้เพื่อนคนนี้มันชื่ออะไรไม่รู้ ผมจำไม่ได้ ผมเพื่อนเยอะ เท่าที่จำชื่อได้ก็เฉพาะคนที่สนิทจริง ๆ
“ที่ไหน”
(ดีเอ็นเอ ตอบแทนที่มึงมาช่วยกูวันนี้)
“เออ ๆ เดี๋ยวไป” ผมบอกออกไปเมื่อได้ชื่อร้าน แล้วจำได้คร่าว ๆ ว่ามันคือคนที่ผมไปช่วย และทิ้งไอ้อ้วนให้เข้าบ้านไปเอง
ไอ้ห่า กูอุตส่าห์รีบเหยียบรถไป พอไปถึงเสือกมีเรื่องกับนักเลงกระจอก เสียเวลากูฉิบหาย
บ้านจิว ฮอลล์
เวลา 02.00 น.
พรึบ!
ไฟกลางบ้านเปิดสว่างขึ้น ทั้งที่ผมเดินเข้ามาแบบเงียบเชียบ
“ยิ้มตาหวานมาเชียว กลับบ้านตีสอง เข้าเรียนตอนไหน มึงนี่มันขี้เกียจเรียนได้ใครวะ” พ่อของผมใส่ยับทันทีที่เห็นหน้าลูกชายสุดรัก
เหมือนตั้งใจดักรอผมกลับ
“ได้พ่อหรือแม่ดีครับ หรือได้ทั้งสองคนรวมกัน” ผมฉีกยิ้มกว้าง
“ลามปามนะมึง”
“แล้วนี่ดักรอผมหรือว่าหนีแม่เที่ยว ดูเหมือนตัวพ่อจะมีกลิ่นน้ำหอมแปลก ๆ นะครับ” ผมเหล่ตามองพ่อแบบจับผิด
“หนีเที่ยวเหี้ยอะไร กูลงมาดักรอมึง แล้วนี่ก็กลิ่นน้ำหอมตัวใหม่ของแม่มึง จับกูลองฉีด อยากรู้หอมไหม เป็นไงล่ะ ฉุนกึก กูจะเปลี่ยนเสื้อก็ไม่ให้เปลี่ยน แม่มึงน่ากลัวแค่ไหนมึงก็รู้”
“พ่ออ่อนไง” ผมพูดแล้วเดินมาทิ้งตัวนอนที่โซฟาตัวยาว วันนี้ผมจะนอนนี่แหละครับ ขี้เกียจขึ้นห้อง
แล้วตั้งแต่ผมจำความได้ ผมก็เห็นพ่อกลัวแม่ตลอด ไม่รู้ว่าแม่ผมทำอะไรใส่พ่อ พ่อถึงได้กลัวขนาดนั้น
“กูแค่รักแม่มึง กูไม่ได้กลัว” พ่อพูดแว่ว ๆ ตามผมมา
“สงสัยรักมากนะครับ ถึงได้นอนหน้าห้องประจำ”
“ไอ้เคลิ้ม ไอ้ลูกเวร จะแซวกูก็กลัวกูอายบ้าง มึงเมาแล้วก็นอนไปเลย” หลังจากนั้นเสียงของพ่อผมก็หายไปครับ
บ้านนี้เราอยู่กันสามคน เพราะน้องสาวของผมไปอยู่กับยาย แม่ก็ไม่อยากให้ไปหรอกครับ แต่อยู่ที่นี่จิลลาจะไม่หายดี แม่กับพ่อก็เลยไม่มีทางเลือก
ทำได้แค่รอจิลลาหายดีแล้วกลับมา
เรื่องของจิลลามันเป็นความผิดของผมแบบที่ไอ้ทิวมันบอกจริง ๆ นั่นแหละ
คิดแล้วก็หดหู่
ผมควรนอน
เช้าวันต่อมา…
“ที่นอนดี ๆ มีก็ไม่นอน ชอบรึเกินโซฟาเนี่ย ไม่ต้องทำเนียนหลับเลยนะ เสียงแม่ดังขนาดนี้แม่รู้ว่าตื่นแล้ว ลุกมากินข้าว จะได้แต่งตัวไปเรียน ขาดเรียนเก่งเหมือนพ่อมึงจริง ๆ” เสียงของแม่ผมดังลั่นอยู่ข้าง ๆ หูของผม แล้วแบบนี้ผมจะไม่ตื่นได้ยังไงวะ
จะผ่านไปนานเท่าไหร่ แม่จิวก็คือแม่จิวจริง ๆ
“บ่นอะไรครับคุณจีรณาสุดสวย” ผมพึมพำออกไป
“ไม่ต้องมาปากหวานใส่แม่ ลุกมากินข้าว”
“ครับครับครับคุณจีรณา” แล้วผมก็ต้องแพ้ให้แม่ ผมลุกขึ้นจากโซฟา แล้วก็เดินมาหอมแก้มของแม่
“มึงหอมแก้มเมียกูทำไมไอ้เคลิ้ม” เสียงคนหวงของรีบตะโกนมาทันที
“นี่แม่ผมไหมพ่อ”
“ลูกก็ช่าง นี่เมียกูมึงจะมาหอมไม่ได้” พอพ่อพูดแบบนี้ผมก็หอมแก้มแม่ต่อหน้าพ่ออีกสิครับ ผมมันโรคจิตชอบกวนให้พ่อโดนด่า
“ถ้าแม่ว่างก็พาพ่อไปเช็กที่โรงพยาบาลบ้างนะครับ อาการท่าจะหนัก” ผมบอกและเดินมานั่งที่โต๊ะกินข้าว
“นี่มึงว่ากูบ้าเหรอไอ้เคลิ้ม ไอ้ลูกเวร วัน ๆ มีแต่แผลกลับมา กูส่งไปเรียนไม่ได้ส่งไปรบ มึงนี่มัน…”
“ไม่แปลกใจเลยว่าลูกหยาบคายได้ใคร บอกแล้วใช่ไหมว่าให้พูดเพราะ ๆ ชอบพูดคำหยาบ แล้วก็มาว่าลูก มึงนี่มันจริง ๆ เลยนะฮอลล์ ไปเลยไปนั่งกินข้าว ก่อนที่จะไม่ได้กินเพราะกินไม่ลง” นั่นไงครับ ในที่สุดพ่อของผมก็โดนด่าอย่างที่ผมตั้งใจ
เล่นกับใครไม่เล่น มาเล่นกับคนอย่างผม ยืมมือแม่มาใช้ยังไงก็สำเร็จอยู่แล้วสำหรับคนอย่างพ่อผม
“มึงนี่เกิดมาเพื่อให้กูโดนด่าจริง ๆ นะ ไอ้ลูกดีเด่น ลูกประเสริฐ ลูกรักของพ่อ ไอ้… ไอ้… โอ๊ย! กูอยากโวยวาย” พ่อของผมเริ่มเก็บอารมณ์ไม่อยู่ ปากอยากจะด่า แต่แม่ก็ชี้หน้าดักไว้ พ่อก็เลยทำได้แค่เดินมากินข้าวครับ
นี่แหละครับ พ่อของผมก็ยังเป็นพ่อที่กลัวแม่เสมอ และคงจะตลอดไป
มหาวิทยาลัย
เวลา 16.55 น.
“นี่ ๆ วันนี้ชอปเปอร์บริหารให้เพื่อนมาขอโทษเด็กอ้วนเมื่อวานด้วยนะ” เสียงของเด็กที่มหาวิทยาลัยพูดคุยกัน แล้วมันเสือกผ่านเข้ามาในหูผม
“น่าแปลกที่คนอย่างชอปเปอร์สนใจเด็กนั่น พอ ๆ กันกับเคลิ้มวิศวะที่เอาอกเอา…”
“เอาเหี้ยอะไร แล้วเมื่อกี้ใครขอโทษใคร” ผมรีบเดินไปดักหน้านักศึกษาขาเม้ากลุ่มนั้น
“ก็น้องสาวของตั้มตามไง ที่โดนถ่ายคลิปเมื่อวาน วันนี้
ชอปเปอร์สั่งให้เพื่อนมาขอโทษน้องคนนั้น”
ยังไม่ทันที่ผมจะฟังอะไรต่อ ผมก็เดินออกมาแล้วกดโทรหาไอ้ตัวการอย่างไว
ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด…
รับสิวะ!
(สวัสดีค่ะ) เสียงที่พูดเข้ามาในสาย ทำให้ผมฉุนเฉียวขึ้นมาทันที
“ทำไมมึงมารับโทรศัพท์ไอ้เหี้ยนี่!” ผมตะคอกใส่ปลายสายเลยล่ะ
(พี่เคลิ้มเหรอ) น้ำเสียงมันนี่ไม่สะทกสะท้านเลยจริง ๆ
“กูถามว่ามึงมารับโทรศัพท์มันได้ยังไง” ผมเริ่มจะหัวร้อนกับไอ้อ้วนนี่ละ อย่าให้กูเจอนะ
(ก็…)
((เดี๋ยวพี่คุยเอง… ว่ายังไงเพื่อนรัก คิดยังไงโทรหาอดีตเพื่อนอย่างผมครับ นี่ต้องดีใจใช่ไหมที่คนดังของมหาวิทยาลัยจำเบอร์อดีตเพื่อนคนนี้ได้))
“ไอ้สัสเปอร์ เด็กนั่นรับโทรศัพท์มึงได้ยังไง”
(กูชื่อชอปเปอร์ครับ นี่ถึงขนาดจำชื่ออดีตเพื่อนผิดเลยเหรอเนี่ย)
“อย่ากวนตีนกู ไอ้อ้วนอยู่ที่ไหน กูจะไปรับมัน”
(ทำไมผมต้องบอกด้วยครับ แค่นี้นะครับเพื่อนเก่า พอดีว่าอดีตเพื่อนมีอย่างอื่นต้องทำเยอะ)
“ไอ้เหี้ยเปอร์!” มันกดตัดสายผมโดยที่ผมยังไม่ทันได้ด่ามันด้วยซ้ำ
ไอ้อ้วน! มึงไม่รู้หรือไงว่ามันตัวอันตราย ทำไมโง่แบบนี้วะ
ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด…
ผมกดโทรหาน้องสาวของเพื่อนสนิททันที แล้วโคตรนานกว่ามันจะรับสาย
ไปทำซากอะไรกับไอ้เปอร์วะ
(อะไร)
“มึงอยู่ไหนบอกกูมาเดี๋ยวนี้” ผมถามตะคอก
(อะไรของพี่เนี่ย โวยวายใส่นิ่มทำไม)
“กูถามให้ตอบ!”
(แล้วพี่เป็น…)
“ตอบ!”
(อยู่ที่ลานจอดรถของตึกบริหารไง เสียงดังทำไมเนี่ย)
“มึงรอกูอยู่ที่นั่นเลยนะ อย่าเสือกขยับไปไหน ถ้ามึงขยับมึงเจอกูแน่ เดี๋ยว เดี๋ยว เดี๋ยว เดี๋ยวได้แดกตีนกู แล้วอย่า
เสือกวางสายกูนะไอ้อ้วน ไม่งั้นมึงจะโดนหนักกว่าคนอื่น เดี๋ยวบ้องหูมึงลั่นไอ้อ้วน!” ผมโวยวายแล้วก็รีบเดินไปที่รถ เพื่อที่จะขับไปลานจอดรถของคณะบริหาร
เหตุผลส้นตีนอะไรทำไมถึงได้ไปอยู่ด้วยกัน ทั้งที่เมื่อวานยังมีเรื่องกันอยู่เลย
โอ๊ย! แล้วทำไมกูต้องหงุดหงิด ทำไมกูต้องออกตัวแรงแบบนี้ด้วยวะ เป็นบ้าอะไรของกูเนี่ย
-End KLOEM-