“คุยกับพี่เคลิ้มแล้วนิ่มโดนด่าตลอดเลย เอะอะด่า เอะอะว่า อะไรนักก็ไม่รู้ แล้วนิ่มก็บอกไว้เลยว่านิ่มไม่สนใจพี่เคลิ้มหรอก ไม่ต้องมาแอบชอบนิ่ม นิ่มไม่ชอบนักเลง” ฉันพูดจบก็หันหน้าออกไปทางกระจกพร้อมกับกอดอกเชิด ๆ
“มึงนี่มันพูดไม่รู้เรื่อง หรือมึงพูดไม่รู้เรื่องกันแน่วะ กูเริ่มจะปวดประสาทกับมึงแล้ว”
“แล้วจะมายุ่งกับนิ่มทำไมล่ะ นิ่มอยู่ของนิ่มดี ๆ ก็ดีอยู่แล้ว แต่นี่พี่เล่นมาหานิ่มที่คณะ พรุ่งนี้ชีวิตของนิ่มต้องวุ่นวายแน่ ๆ” ฉันหันมาโวยวาย ในขณะที่พี่เคลิ้มเลี้ยวรถจอดที่หน้าร้านข้าวหมูแดงหน้าปากซอยบ้านฉัน
“จะสนใจทำเหี้ยอะไร ถ้าพวกไหนมันวุ่นวายมึงก็ด่าแม่งเลย ปากมึงหัดด่าคนอื่นบ้างไม่ใช่ร้องเอาแต่ใจแต่กับพี่ ๆ ของมึง แคร์แม่งแต่คนอื่น เสือกไม่แคร์ความรู้สึกตัวเอง อ้วนแล้วยังโง่”
“งั้นนิ่มเริ่มด่าพี่ก่อนเลยแล้วกันนะ ปากหมา ด่าเก่ง ตัวอันตราย จุดบ่อเกิดของความวุ่นวาย อยู่ที่ไหนก็มีปัญหาผู้หญิงตลอด”
“ก็กูหล่อ ใคร ๆ ก็อยากห่อกูกลับบ้าน” พี่เคลิ้มมันยกยอตัวเอง แล้วก็ดับเครื่องยนต์และลงจากรถ
“แต่นิ่มคนนึงที่ไม่อยากห่อ ขี้เกียจฟังคำบ่น ขี้หูเต้นระบำไปหมด” ฉันบอกและลงจากรถเช่นกัน
“ถามกูก่อนไหมว่ากูอยากห่อตัวเองให้มึงรึเปล่า”
“ก็คงอยากห่อแหละ งั้นจะมาส่งที่บ้านทำไม” ฉันเบ้ปากแล้วก็เดินเข้ามาในร้าน
“มึงควรเลิกอ่านนิยายบ้าบอของมึง” ไอ้พี่เคลิ้มเดินตามฉันมา
“อย่ามายุ่ง นั่นมันความสุขของนิ่ม พี่เลิกบ่นแล้วพูดมาว่าจะกินอะไร”
“แดกเหมือนมึงอะ มึงแดกอะไรกูก็แดกแบบนั้น” ไอ้พี่เคลิ้มตอบแล้วก็ล้วงโทรศัพท์มือถือขึ้นมากด
“แดกเดิกอะไรพูดจาไม่เพราะเอาซะเลย บอกไว้เลยนะว่าถ้าจะมาเป็นน้องเขยของพี่ตั้มพี่ตามต้องพูดเพราะ ๆ ไม่งั้นไม่ผ่านนะจ๊ะ” ฉันยักคิ้วใส่พี่เคลิ้ม
“เดี๋ยวถ้ากูเจอมึงรอบหน้า จะหาซื้อยาลดความมโนมาให้ สต่งสติของมึงมันไปหมดแล้ว” ไอ้พี่เคลิ้มว่าฉันและยังคงก้มหน้ากดโทรศัพท์มือถือต่อ
“ชิ ว่าคนอื่นไม่ดูสติตัวเองเล้ย…ลุงคะเหมือนเดิมค่า” ฉันพึมพำใส่คนตรงหน้า แล้วก็ตะโกนบอกลุงเจ้าของร้าน ซึ่งนี่คือหนึ่งในเจ้าประจำของฉัน ลุงจะรู้ว่าฉันกินอะไร เพราะทุกครั้งที่มาฉันก็สั่งเมนูเดิม
“เรื่องของแดกนี่แหกปากเก่ง” ไอ้พี่เคลิ้มเหลือบสายตาขึ้นมามองฉันแล้วก็ส่ายหัวใส่
“ขอถามจริง ๆ เถอะพี่” ฉันเอามือทั้งสองข้างวางที่โต๊ะแล้วก็จ้องหน้าพี่เคลิ้มแบบจริงจัง
“อะไร?” พี่เคลิ้มขมวดคิ้ว
“คือเป็นไรกับนิ่มมากปะ ทำไมต้องด่า นี่เวลาพี่อยู่กับผู้หญิงพี่เป็นแบบนี้แล้วผู้หญิงโอเคได้ไง” ฉันจ้องหน้ารอคำตอบ
“กับผู้หญิงเวลาจะล่อกูพูดดีด้วย แต่กับมึงกูไม่คิดจะล่อ กูจะป้อให้เสียเวลาทำไม” พอตอบฉันแล้วก็ยักคิ้วใส่ฉันก่อนจะก้มลงไปกดโทรศัพท์มือถือของตัวเองเหมือนเดิม
“เบิ๋ดคำสิเว่า” ฉันพูดภาษาถิ่นฐานบ้านเกิด
“ภาษาอะไรของมึง แปลด้วยกูฟังไม่ออก”
“ภาษาบ้านเกิดแม่ของนิ่ม แล้วก็ไม่แปลด้วย คร่านเว่า”
“โอเค ไม่แปลก็ไม่แปล แต่อย่าพูดอะไรที่กูฟังไม่ออกอีก กูปวดประสาท”
“ย่านเฮาล่อด่าแม่นบ่”
“อ้วน… เดี๋ยวมึงจะโดน” พี่เคลิ้มเริ่มชักสีหน้า ส่วนฉันก็เล่นหูเล่นตากวนประสาทพี่มัน
ในที่สุดฉันก็ได้วิธีที่จะทำให้พี่เคลิ้มหัวร้อน
การที่พี่เคลิ้มมันฟังภาษาอีสานไม่ออก ถือว่าเป็นเรื่องดีสำหรับฉันที่จะเอาไว้หลอกด่าคนปากหมาเยี่ยงเพื่อนของพี่ชายคนนี้
“ได้แล้วหนูนุ่มนิ่ม ลุงทำให้พิเศษเลยนะ ว่าแต่นี่ใครล่ะ แฟนหนูเหรอ” ลุงเจ้าของร้านเอาข้าวมาวางที่โต๊ะให้ฉัน แล้วจากนั้นก็ถามถึงสถานะของผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับฉัน
“ไม่ใช่แฟนค่ะลุง เขาเป็นเพื่อนของพี่ตั้มกับพี่ตาม พอดีวันนี้คนขับรถที่บ้านไปทำธุระกับแม่ ส่วนพี่ชายทั้งสองก็ติดกิจกรรมที่มอ เพื่อนของพี่ชายก็เลยอาสามาส่งจ้ะ” ฉันพูดจบก็ฉีกยิ้มให้ลุงเจ้าของร้านข้าวหมูแดง
“อ่อ เป็นแบบนี้นี่เอง ลุงก็นึกว่าหนูนุ่มนิ่มจะมีแฟนแล้ว”
“หุ่นแบบนิ่มใครจะเอาจ๊ะลุง”
“ทำเป็นพูดไป หนูนุ่มนิ่มน่ารัก ลูกชายลุงยังชอบแอบมองอยู่บ่อย ๆ” ลุงเจ้าของร้านพูดถึงลูกชาย
ซึ่งหน้าตาเป็นยังไงก็ไม่รู้ ฉันไม่เคยเห็นหรอก
“ลุง… ข้าวหมูแดงห่อนึงจ้า” เสียงของลูกค้าตะโกนเรียก
“งั้นลุงไปขายข้าวต่อก่อนนะหนูนุ่มนิ่ม” ลุงพูดแล้วเดินออกไป ฉันก็เลยไม่ได้คิดจะถามถึงลูกชายที่ลุงพูดถึง
“นี่มึงมาแดกข้าวหรือมาอ่อยลูกชายร้านข้าววะ” ไอ้พี่เคลิ้มพูดเมื่อเห็นว่าลุงเดินออกไปแล้ว
“โอ๊ย! หุ่นอย่างนิ่มจะไปอ่อยใครติด เอาตรง ๆ นิ่มยังไม่เคยเห็นลูกชายลุงแกสักครั้ง แต่แกชอบพูดถึงลูกชาย ชอบเล่าว่าลูกชายอยู่กับเมีย นาน ๆ ลูกชายจะมาหาแก สงสัยแกเหงามั้งเลยหาเพื่อนคุย นิ่มก็เลยชอบมากินข้าวร้านนี้ เพราะจะได้คุยกับลุงแกด้วย เห็นแกยิ้มแล้วก็รู้สึกอยากยิ้มตาม” ฉันบอกเล่าพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า
“โคตรนางเอก ควรอ่านนิยายแล้วคิดว่าตัวเองเป็นนางร้ายบ้างนะ เวลาโดนไอ้พวกส้นตีนนั่นล้อจะได้เอาตัวรอดได้”
“ง่ะ วกมาที่นิยายของนิ่มได้ยังไง กินข้าวดีกว่า”
จากนั้นฉันก็เลิกพูด แล้วก็ตักข้าวทานอย่างเอร็ดอร่อย พี่เคลิ้มก็คงอร่อยเหมือนกันมั้ง
สิบนาทีต่อมา…
“อร่อยไหมจ๊ะ” ฉันถามขณะที่เราเดินออกจากร้าน สรุปแล้วมื้อนี้พี่เคลิ้มได้ทานฟรี เนื่องจากฉันสะสมแต้มเอาไว้ แล้วก็ครบพอดี
“ก็ดี ขึ้นรถได้ละจะได้กลับบ้านนอน ดึกละ” พี่เคลิ้มพูดและเดินไปทางฝั่งคนขับ ฉันก็เดินไปอีกฝั่ง จากนั้นเราก็ขึ้นมานั่งในรถ
ครืด ครืด ครืด…
“เออ”
(…)
“อ้าว ไอ้สัส!”
(…)
“อย่าเพิ่งให้พวกมันเห็น รอกูก่อน”
(…)
“กูอยู่ซอยบ้านไอ้ตามกำลังจะไป อย่าเสือกเปิดก่อน รอกู”
(…)
“แปดนาที”
(…)
“เออ แป๊บเดียว” พี่เคลิ้มกดตัดสายแล้วหันมามองหน้าฉัน
“มีธุระด่วนว่ะ มึงเรียกวินไปส่งเข้าบ้านได้ไหม เพื่อนกูรออยู่”
“ได้ดิ แค่นี้เอง ขอบใจนะพี่ที่มาส่ง” ฉันพยักหน้าเข้าใจ ดูจากท่าทางคงไม่พ้นเรื่องชกต่อย
“ถึงบ้านแล้วไลน์บอกกูด้วย กูว่างแล้วจะตอบ”
“จ้า ถึงแล้วจะไลน์ไปบอกนะคะเพื่อนพี่ชาย ยังไงก็ระวังตัวเด้อ” ฉันบอกและเปิดประตูลงจากรถ
พอฉันปิดประตู ไอ้พี่เคลิ้มก็ขับรถออกไปทันที เหมือนว่าเขาจะรีบมาก ๆ
พอรถพี่เคลิ้มลับสายตา ฉันก็เดินมาที่หน้าวิน แต่มันไม่มีวินมอเตอร์ไซค์เลยน่ะสิ
งั้นก็เดินเอาแล้วกัน ขี้เกียจรอ แล้วบ้านฉันก็ไม่ได้อยู่ซอยลึกอะไรมากมาย
เท่าที่ฉันได้ฟังผ่าน ๆ จากการบอกเล่าของพี่ชายเวลาเล่าให้ผู้หญิงที่โทรมาเหมือนจะจีบพี่เคลิ้ม
ฉันจับใจความได้ประมาณว่า พี่เคลิ้มไม่มีหัวใจให้ใครอีก เพราะรักผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นเพื่อนสนิทแต่อายุมากกว่า แล้วพี่เคลิ้มก็เป็นคนที่รักการชกต่อย รักเพื่อนมาก ขนาดผู้หญิงที่พี่เคลิ้มรักก็ยังห้ามไม่ฟัง แล้วพี่เคลิ้มเขาก็ชอบมั่วผู้หญิง ชอบหลอกล่อผู้หญิงขึ้นเตียง บางคนไม่โอเคพี่เคลิ้มก็ฉุด
นั่นคือสิ่งที่พี่ชายฉันพูด แล้วฉันก็สรุปจับใจความได้แบบนั้น ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าจริงไหม แค่แอบได้ยิน
เพราะฉันไม่คิดสนใจเขา ฉันแค่บอกกับตัวเองว่าอย่าไปเข้าใกล้เขา เพราะเขาคือหนึ่งในตัวอันตรายของชีวิตฉัน ส่วนอีกสองคนก็คือพี่ชายฝาแฝดของฉันทั้งสองนั่นแหละ
ก็อย่างที่รู้กันว่าฉันไม่อยากให้ใครรู้ว่าฉันเป็นน้องสาวใคร
แต่ตอนนี้คงไม่ทันแล้วล่ะ ในเมื่อไอ้พี่เคลิ้มป่าวประกาศไปเรียบร้อย
“ขึ้นรถ เดี๋ยวไปส่ง”
“…”