Episode 5

2843 คำ
    “ออกไป”     “ออกไป”     “ไสหัวออกไป”     “ออกไปเดี๋ยวนี้”     “ออกไปได้แล้ว”     “แต่...”     “ฉันบอกให้ออกไป”     “ค่ะ” หญิงสาวในสภาพเปลือเปล่าเดินคอตกออกไปตามคำสั่งทันใด ไม่มีสิทธิ์ใดๆจะได้ท้วงติง     นี่เป็นอีกคืนแล้วที่เธอไล่ผู้หญิงพวกนี้ออกไป เพราะไม่มีกระจิตกระใจจะมาทำเรื่องอะไรแบบนี้เลย ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาเธอเอาแต่เฝ้าคิดถึงใครบางคนที่มาป้วนเปี้ยนอยู่ในสมองของเธอจนไม่เป็นอันได้ทำอะไร     พอตั้งใจอยากจะคลายเครียดด้วยการทำเรื่องที่ทำอยู่เสมอนั่นก็คือเรื่อง ‘เซ็กส์’ ตัวของเธอก็กลับไม่มีใจทำสะอย่างนั้น เพราะเรื่องของหล่อนมันยังคงค้างคาอยู่ในจิตใจจนปั่นป่วนไปหมด     หลังจากจบประโยคสุดท้ายที่เธอได้พูดกับหล่อนไป เธอก็กดตัดสายทิ้งทันทีไม่ให้หล่อนได้ทันตอบโต้ และหลังจากนั้นไม่ถึงชั่วโมงต่อมา เลขาของเธอก็โทรมาบอกว่าลุงของหล่อนยอมรับสารภาพว่ากุเรื่องขึ้นมาเพื่ออยากจะเอาไปโอ้อวดเพื่อนๆ เธอจึงสั่งการให้เกรียงไกรจัดการในทันทีและให้ลุงของหล่อนไปแก้ข่าวสะ ไม่งั้นเธอจะไม่มีทางปล่อยเขาไปแน่     ไม่รู้ว่าทำไมตัวของเธอถึงได้ใส่ใจและสนใจในตัวหล่อนมากมายถึงเพียงนี้ จนตัวของเธอเกิดคำถามกับตัวเองขึ้นมาในใจ แต่สุดท้ายก็ต้องพับเก็บเอาไว้เพราะเธอให้เหตุผลกับตัวเองเสมอว่า...เป็นเพราะเธอรู้สึกผิด เธอไม่มีทางที่จะมีความรักได้อีก ความรักที่ผ่านมาของเธอนั้นมันช่างเป็นเรื่องที่ไม่น่าจดจำและห่วยแตกที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้     เช้าวันนี้ก็เป็นอย่างเคย เธอต้องตื่นขึ้นมาทำงาน ทำหน้าที่เป็นประธานที่ดีคนหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครรู้เลยว่าเบื้องหลังของเธอมันช่างโสมมขนาดไหน คิดไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าถ้าหากพวกเขารู้ว่าคนที่ตัวเองนับถือ เป็นถึงบอสใหญ่ของบริษัท แท้จริงแล้วก็เป็นเพียงหญิงสาวที่มีแต่เรื่องสกปรกโสมม คนพวกนั้นจะยังเทิดทูญและนับถือเธออยู่หรือเปล่า     “วันนี้ตอนเย็นมีนัดทานข้าวกับคุณปรีญาดาครับ”     “ขอบใจมาก...แล้วหล่อนเป็นอย่างไรบ้าง” เป็นคำถามที่เธอมักจะถามทุกวันจากเลขา     เธอส่งให้คนไปตามดูหล่อนเอาไว้ เพราะเธอยังอยากจะรู้ความเป็นมาในชีวิตประจำวันของหล่อน เพราะตัวเองเอ่ยปากพูดไปถึงขนาดนั้นแล้ว หากไม่ทำอะไรสักอย่าง มันก็คงเสียคำพูดไม่น้อย แม้ตอนที่มีสติขึ้นมาจะรู้สึกผิดต่อหล่อนมากก็ตาม แต่หล่อนดันปากดีเองที่มาพูดกับเธอแบบนั้น     “หล่อนยังคงไปเรียนตามปรกติครับ...ร่องรอยที่ลำคอของหล่อนก็เริ่มจางลงจนแทบไม่เห็นแล้ว นี่รูปของเธอในวันนี้ครับ” เกรียงไกรยื่นส่งรูปของหล่อนให้เธออย่างที่เคยทำเป็นประจำ     วันนี้หล่อนก็ยังคงอยู่ในชุดนักศึกษารองเท้าผ้าใบตามเดิม แต่ที่แปลกตาไปคงเป็นเพราะวันนี้หล่อนเลือกจะรวบผมเป็นมวยไว้บนหัว ซึ่งพอดูแบบนี้แล้วหล่อนกลับดูน่ารักไร้เดียงสาไปอีกแบบ     “คุณหนูยิ้มด้วยนะครับ” เสียงของชายหนุ่มเรียกให้เธอมีสติอีกครั้ง     กัญญ์กุลณัชตวัดสายตาขึ้นไปมองอย่างแข็งกร้าว จนเลขาหนุ่มต้องหุบยิ้มลงและก้มหน้าหลุดตาลงต่ำอย่างรู้สถานะของตัวเอง     “ขออภัยครับคุณหนู”     “ออกไป” สิ้นคำสั่งนั้น เขาก็ขออนุญาตเดินออกไปทันใดไม่ให้เธอได้หงุดหงิดใจอีก     หลังจากที่ประตูปิดลงกัญญ์กุลณัชก็ยกรูปของหล่อนขึ้นมาดูอีกครั้ง ภาพถ่ายกริยาบทจากมุมต่างๆ ของหล่อนกำลังทำเธอตกอยู่ในห้วงภวังค์ มันเป็นรูปถ่ายเพียงห้าใบที่หล่อนหันซ้ายแลขวาอยู่อย่างนั้น แต่ตัวของณัชเองกลับรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาตรงอกข้างซ้ายจนต้องวางรูปลงไปบนโต๊ะเพื่อเรียกสติตัวเองให้กลับมา     เธอก็เพียงแค่รู้สึกผิดเท่านั้น...มันจะไม่มีอะไรมากเกินกว่านี้!      “อีก 10 นาทีลงมารอผมที่ต้นไม้หลังหอเธอนะ”     “ค่ะ” และสายก็ถูกตัดลงโดยชายหนุ่มปลายทาง     ประกายดาวมีนัดทานข้าวเย็นกับอาจารย์ที่ปรึกษาหนุ่มที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเธอเรื่องที่ฝึกงาน หลังจากที่เธอไปปรึกษาอาจารย์ว่าต้องการฝึกงานที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง ซึ่งอาจารย์คนนั้นบอกว่าเขารู้จักอาจารย์ภายในโรงเรียนแห่งนี้ และจะต้องเป็นคนที่มีเส้นสายเท่านั้นทางโรงเรียนถึงจะรับเข้าฝึกงาน     ซึ่งเธอไม่ได้ตั้งใจอยากจะเป็นเด็กเส้นหรือว่าอะไรหรอก แต่อาจารย์เขาบอกว่าจะเสนอแนะหาแนวทางให้กับเธอเอง เอาเป็นว่าตอนเย็นให้เธอไปทานข้าวกับเขาแล้วหลังจากนั้นเขาจะบอกรายละเอียดต่างๆ ให้เธอฟัง     และเธอเองก็ตอบรับไปอย่างว่าง่าย อาจารย์คนนี้เป็นที่ปรึกษาและดูแลเธอมาตั้งแต่ปีหนึ่ง อาจารย์คอยให้คำปรึกษาเธอมาตลอดเปรียบเสมือนกับพ่อของเธออีกคน เธอจึงมีความเคารพและนับถือมากๆ ไม่ต่างจากพ่อของเธอที่อยู่บนสวรรค์เลย     ตอนนี้เธอก็ยังคงไปทำงานที่ร้านกาแฟอยู่ตามเดิม แม้คุณเกรียงไกรจะโอนเงินเข้าบัญชีเธอมาแล้วมากกว่าจำนวนหกหลัก เขาบอกว่าเจ้านายของเขาพอใจในตัวของเธอมาก แต่เธอก็ยังฐิฑิในตัวของเขาจนพลอยรังเกียจเม็ดเงินของเขาไปด้วย เผื่อเอาไว้ว่าถ้ามันเป็นเงินอย่างไม่ถูกกฏหมายเธอจะได้เอาคืนไปได้ง่ายๆ โดยที่ไม่พลอยซวยไปด้วย     และหลังจากจบประโยคที่เขาพูดกับเธอในตอนนั้น เธอก็ไม่ได้พูดคุยหรือว่าได้พบเจอกับเขาอีกเลย และเธอก็ถือว่ามันเป็นเรื่องดีที่จะได้ไม่ต้องพบเห็นให้รำคาญใจอีก เธอจะถือสะว่าจูบของเขาในวันนั้นเป็นเรื่องที่ดีที่สุดในวันนั้นของเธอก็แล้วกัน     Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr     “ผมมาถึงแล้ว”     “รอสักครู่ค่ะ” มัวแต่ครุ่นคิดจึงไม่ทันได้นึกว่านัดกับอาจารย์เอาไว้     ประกายดาวรีบลุกออกจากห้องอย่างรวดเร็วและตรงไปที่รถญี่ปุ่นคันน้อยของอาจารย์ที่เธอคุ้นหน้าคุ้นตาดีเพราะเห็นเขาใช้รถคันนี้อยู่เป็นประจำ     “ขอโทษค่ะอาจารย์” เมื่อก้าวขึ้นมาบนรถเธอก็รีบขอโทษขอโพยทันควัน จนอาจารย์ต้องยกมือมาโบกไปมาว่าไม่เป็นไร     ก่อนที่รถจะมุ่งหน้าไปร้านที่ไกลจากมหาลัยฯ เพราะถ้าหากว่าใครมาพบเห็นเข้า มันคงไม่ใช่เรื่องดีสำหรับตัวเขาที่เป็นอาจารย์ดีเด่นและนักศึกษายอดเยี่ยมอย่างประกายดาวแน่     “ขอบคุณวันนี้ที่ให้เกียรติมาทานข้าวกับดานะคะ”     “รีบพูดธุระของเธอมาเถอะ ฉันมีอะไรต้องไปทำ”     “ใจอ่อนให้กันบ้างสิคะ ดาตามจีบคุณมาเป็นปีแล้วนะ”     “ถ้าเธอรู้จักฉันมากกว่านี้...เธออาจจะรังเกียจฉัน”     “ว่าไงนะคะ?”     “ไม่มีอะไร” ประโยคนั้นจบลงเพราะมีบริกรเข้ามารับออเดอร์     ปรีญาดาสั่งอาหารอย่างกระตือรือร้น เพราะเธอรู้ดีว่าคนตรงหน้าชอบทานอะไรหรือไม่ชอบทานอะไร ก็แน่ล่ะว่าเธอต้องรู้ ก็เธอตามจีบเขามาเป็นปีแล้ว แต่คนตรงหน้าของเธอก็ยังดูไม่มีทีท่าว่าจะสนใจ หรือจะยอมใจอ่อนให้เธอเลยแม้เพียงนิด แต่เธอกลับชอบเขามากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะมันท้าทายเธอมาก คนอย่างเธออยากได้อะไรก็ย่อมต้องได้ทั้งนั้น...     “สั่งเป็นล็อบสเตอร์ให้นะคะ...คนไม่ทานเนื้อ”     “ตามใจเธอเลย ฉันอะไรก็ได้”     “งั้นเอาตามนี้เลยค่ะ” บริกรหนุ่มคร่อมหัวรับให้ก่อนจะเดินจากไป     กัญญ์กุลณัชยกไวน์ขึ้นมาจิบเบาๆ เพื่ออยากจะผ่อนคลาย เมื่อประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนเกรียงไกรโทรมาบอกเขาว่าหล่อนออกไปกับผู้ชายอีกคนที่เป็นอาจารย์ พร้อมกับแนบรูปชายคนนั้นมาด้วย     แม้เขาจะบอกว่าเป็นอาจารย์ของหล่อนก็ตาม แต่เธอกลับรู้สึกไม่ค่อยจะไว้ใจสักเท่าไหร่ แต่เธอก็ยังคงสงบนิ่งไว้ เพราะเธอเองก็เคยหลายครั้งที่ออกไปทานข้าวกับอาจารย์เมื่อสมัยเรียนต่างประเทศ เขาอาจจะมีธุระเรื่องส่วนตัวคุยกันก็ได้ จึงส่งให้เกรียงไกรตามไปก่อนและคอยส่งข่าวบอกเธอเป็นระยะ     “วันนี้ดูรีบร้อนจังค่ะ” ปรีญาดาเอ่ยทักคนที่มองดูแต่นาฬิกาอยู่บ่อยครั้ง เขาดูเป็นกังวลมาก ซึ่งเธอเคยพบเห็นแบบนี้อยู่บ่อยๆ ตอนเธอลากเขาออกมาหาทั้งๆ ที่เขายังคงทำงานอยู่     “เครียดเรื่องงานนิดหน่อย...ไม่มีอะไร”     “อย่าหักโหมมากสิคะ เรื่องงานของคุณก็เบาๆ ลงบ้าง” คำพูดที่ออกมาจากปากคนตรงหน้าของเธอก็ทำเอาหัวใจมันรู้สึกพองโตขึ้นมาไม่น้อยเลย     แต่เธอบอกไปแล้วว่าความรักสำหรับเธอมันเป็นเรื่องห่วยแตก...     “เปิดใจให้กันบ้างสิคะณัช ดา...”     Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr     “ขอเวลาสักครู่” กัญญ์กุลณัชลุกออกไปทันใดให้เธอที่นั่งอยู่ตรงข้ามได้แต่หน้าเสีย     เขาเดินออกไปรับโทรศัพท์ที่ทางด้านนอกแล้ว เธอได้แต่ยกยิ้มตามหลังไปอยู่อย่างนั้น เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาลุกออกไปรับโทรศัพท์ แค่เพียงไม่นานเขาก็จะกลับมา แล้วเราก็จะได้นั่งทานอาหารด้วยกันตามเดิม     “ว่าไง”     “หล่อนไปร้านเดียวกับคุณหนูเลยครับ ผมได้ยินว่าเขาขอโต๊ะ VIP อีกไม่นานคุณหนูคงได้พบ” ได้ยินเพียงเท่านั้นเธอก็รีบหาที่หลบทันใดอย่างไม่เข้าใจตัวเอง     เสียงรองเท้าเดินขึ้นบันไดมาพร้อมกับเสียงหัวเราะคิกคึกที่เธอจำได้ดีว่าเป็นเสียงของหล่อน แต่พอได้ยินมันเช่นนี้เธอกลับรู้สึกไม่ชอบใจเอาเสียเลย     “จับตาดูเอาไว้ด้วย มีอะไรรีบแจ้งข่าว”     “รับทราบครับคุณหนู”     เธอเห็นคนสองคนเดินเข้าไปยังห้อง VIP เธอก็เดินกลับเข้ามาในห้องบ้างด้วยความรู้สึกขุ่นมัวในใจ     “เป็นอะไร หน้าเป็นตูดเชียว” ปรีญาดาเอ่ยแซวคนที่เดินหน้ามุ่ยเข้ามา     เธอไม่เคยเห็นเขาในสภาพแบบนี้เลย ปรกติจะเห็นแต่ทำหน้าขรึม เขาอาจจะกำลังเปิดใจให้เธอไปอีกขั้นก็ได้นะ     “รีบทานเถอะ ฉันมีธุระ” เขาจัดการทานอาหารทันทีด้วยใจที่ขุ่นมัว     มันต้องพิเศษอะไรขนาดนั้นเชียวหรือถึงต้องทานถึงในห้อง VIP หล่อนลืมไปแล้วหรือยังไงว่าหล่อนเป็นของเธอน่ะ     “ดื่มหน่อยดีกว่าค่ะ...เราไม่ได้มาทานด้วยกันตั้งนานแล้วนะ” ปรีญาดายกแก้วของหล่อนส่งมาตรงหน้า     กัญญ์กุลณัชมองที่แก้วเล็กน้อยและหันกลับไปสบตาหล่อน เธอรู้ดีว่าสายตาของหล่อนนั้นมันกำลังสื่อความหมายเพียงใด เพราะหล่อนก็ถือเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยผ่านเรื่องอย่างว่ากับเธอมาแล้ว แต่มันก็เป็นเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น และที่เธอยังยอมติดต่อกับหล่อนอยู่ เป็นผลมาจากทางธุรกิจเท่านั้น แม้เธอจะรู้อยู่แก่ใจว่าหล่อนต้องการสานสัมพันธ์กับเธอมากเกินกว่านั้นก็ตาม     “ฉันไม่ดื่มมากนะ” เธอว่าก่อนจะยกแก้วชนกับหล่อน และเราก็ยกดื่มกันรวดเดียวจนหมด     ข่าวคราวของหล่อนเงียบหายไปเลยเกือบๆ ครึ่งชั่วโมงได้ คนของเธอยังไม่ติดต่อกลับมางั้นก็แปลว่าสถานการณ์ยังคงปรกติดี หล่อนอาจจะแค่มาทานข้าวกับอาจารย์เพราะมีเรื่องต้องคุยเป็นการส่วนตัวก็เพียงเท่านั้น     “ดาเริ่มไม่ไหวแล้วนะคะณัช” เสียงยานคางของคนตรงหน้าดึงสติของเธอให้กลับมา     ขวดที่สามแล้วตั้งแต่ที่เรานั่งดื่มกันมานี่ คนอย่างเธอที่ผ่านเรื่องพวกนี้มาเป็นประจำไม่ได้มีปัญหากับเรื่องพวกนี้หรอก แต่เธอลืมไปเลยว่าคนตรงหน้าของเธอนั้นคืออ่อนแค่ไหน ดื่มไปขนาดนี้ก็ไม่แปลกที่เจ้าตัวจะมึนเมา     “กลับบ้านไหม เดี๋ยวฉันให้คนไปส่ง” เธอเสนอเพราะเธอยังมีเรื่องต้องทำอีก คงจะไปส่งหล่อนด้วยตัวเองไม่ได้     “ณัชไปส่งดาไม่ได้เหรอ” คนตรงข้ามเริ่มงอแงก่อนจะลุกมาทางเธอ     หล่อนเดินเซไปเซมาก่อนที่จะล้มลงไปนั่งกับพื้นให้ณัชได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอาใจ     “เดี๋ยวโทรเรียกเกรียงไกรให้นะ”     Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr     ไม่ทันที่เธอจะได้ต่อสายหาเลขา เขาก็โทรกลับมาทันใดให้เธอกดรับในทันทีเพราะถือโทรศัพท์อยู่ก่อนแล้ว     “อาจารย์หิ้วปีกหล่อนขึ้นไปบนรถแล้วครับ ดูท่าทางหล่อนน่าจะเมา”     “อะไรนะ!” กัญญ์กุลณัชลุกออกจากห้องอย่างรวดเร็วหลังทราบพิกัด แต่เขาก็ยังไม่ลืมคนในห้องและฝากให้เกรียงไกรมาดูแลแทนแล้ว     กัญญ์กุลณัชวิ่งออกมาอย่างรวดเร็วแต่ก็ไม่ทันอาจารย์หนุ่มที่ขับรถออกไป เกรียงไกรที่รู้หน้าที่ดีก็ขับรถมารับเธอถึงที่โดยที่เธอไม่ต้องเอ่ยปากสั่ง     “ไปส่งดาให้ถึงบ้าน”     “แต่...”     “ฉันสั่งอะไรก็แค่ทำ!”     “รับทราบครับคุณหนู” ก่อนที่เธอจะขึ้นไปนั่งแทนที่และขับรถยุโรปตามออกไปอย่างว่องไว     จิตใจของเธอตอนนี้มันร้อนรุ่มดั่งเปลวเพลิง เธอไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าหล่อนโดนกระทำการใดแล้วบ้างตอนอยู่บนรถ เธอได้แต่สถบด่าทอตัวเองในใจว่าไม่น่าปล่อยให้เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้น     เวลานี้เป็นเวลาเลิกงาน ทำให้รถนั้นค่อนข้างที่จะติดและสัญจรยาก เธอยังมองเห็นรถสัญชาติญี่ปุ่นนั้นอยู่ไม่ไกล ก่อนที่มันจะเปลี่ยนทิศทางเป็นเลี้ยวเข้าไปในซอยที่มีป้ายม่านรูดตั้งอยู่เด่นหรา     “โถ่เว้ย!” แต่รถของเธอกลับติดแหง็กอยู่ตรงนี้ขยับไปไหนไม่ได้     กัญญ์กุลณัชจึงตัดสินใจลงจากรถและเลือกจะวิ่งไปแทนเพราะมันอาจจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้วในตอนนี้     ณัชยืนหอบอยู่สักพัก แม้เธอจะออกกำลังกายอยู่เป็นประจำแต่การวิ่งเข้ามาเกือบกิโลแบบนี้ก็ทำเธอเหงื่อตกได้ไม่ยาก เธอสังเกตุมองหาห้องที่ถูกปิดไว้ แต่ตอนนี้เหมือนโชคชะตานั้นกลั่นแกล้งเพราะมันปิดเอาไว้เกือบจะทุกห้อง     “ห้องเต็มแล้วครับ”     “รถญี่ปุ่นทะเบียน XX8954 อยู่ห้องไหน”     “ขออภัยครับเราไม่สามารถบอกข้อมูลได้”     “อยากลองดีใช่ไหม” ณัชจ้องหน้าชายคนนั้นไม่วางตา แต่เขาก็ยังขึงขันจะไม่ยอมบอกเพราะทำตามหน้าที่     “อะไรของมึงวะ หาเรื่องกูหรือไง”     “ตอนนี้ฉันยังไม่มีเวลามาต่อล้อต่อเถียง...บอกมาว่ามันอยู่ห้องไหน”     “ผ่านศพกูไปก่อนเถอะ เป็นแค่ผู้หญิงสะเออะมากวนส้นตีนกู” ณัชเดือดดาลจนสมองแทบจะระเบิด     เธอจ้องมองไปที่ชายคนนั้นไม่วางตา จนเขาเดินถอยหลังหนึ่งก้าว แต่ยังวางมาดเอาไว้เพราะปากดีไปเยอะ     “มึงคงยังไม่อยากตายตรงนี้ใช่ไหม”     “อะ อะไรของมึงวะ เข้ามาดิ” ก่อนที่มันจะปล่อยมัดใส่     แต่คนฝึกฝนมาดีอย่างเธอมีหรือจะมาเจ็บกับหมัดง่อยๆ แบบนั้น ณัชสวนกลับที่ท้องจนเขานั้นตัวงอ แต่ยังขึงขันจะสู้ต่อไปเพราะเสียหน้าไม่ได้     “คุณณัชครับ”     “จัดการมันที แยกย้ายกันตามหารถญี่ปุ่นทะเบียน XX8954 ให้ทั่ว เดี๋ยวนี้!”     “ครับ”     ชายฉกรรจ์กว่า 20 คนวิ่งกรูกันตามหาจ้าละหวั่น ส่วนชายที่เห็นเธอเอากำลังเสริมมาเขาก็เริ่มตัวสั่น ก่อนที่จะหมดสติไปเพราะถูกหนึ่งในนั้นต่อยเข้าที่ท้ายทอย
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม