“ลิลินดา”
“...งื้ม พี่อาร์จ๋า~ แจ๊บๆ”
“ลิลินดา!”
ป้าบ!!!
เฮือก!
ฉันสะดุ้งเมื่อถูกอะไรสักอย่างฟาดเต็มกบาลอย่างไม่ปรานีปราศรัย ฉันเบ้หน้าพร้อมโอดครวญออกมาอย่างห้ามไม่ไหวก่อนตวัดตามองเจ้าของการกระทำอย่างเอาเรื่อง ใครมาบังอาจประทุษร้ายน้องพายคนสวยคนนี้คะ
“กล้าหลับในคาบเรียนครูได้ยังไง!”
“คะ...ครูพรทิพย์”
อ่า พอสบตากับเจ้าของฝ่ามืออรหันต์นั่นปุ๊บ รู้สึกเหมือนเห็นนรกรำไรเลยไง ไอ้เราก็คิดว่าใครที่ไหนมาตบหัว ที่แท้ก็ครูพรทิพย์สุดหฤโหดนั่นเอง และตอนนี้ท่านกำลังมองฉันด้วยสายตาไม่สบอารมณ์อีกต่างหาก แม้จะมีแว่นหนาๆ บดบังไว้บ้างก็ไม่อาจลดทอนรังสีอำมหิตที่แผ่กระจายออกมาได้เลย
งานเข้าแน่ๆ อีพายเอ๊ย! ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าครูแกโหดอย่างกับอะไร ไหงกล้าฟุบหลับในคาบแกแบบนี้ แถมยังฝันว่าพี่อาร์กำลังเปลื้องผ้าอีกต่างหาก
“ไม่ต้องทำหน้าเหมือนเห็นผี รู้ใช่ไหมว่าเธอต้องโดนลงโทษ” ครูพรทิพย์พูดเสียงเย็นเฉียบ เล่นเอาขนอ่อนตามร่างกายลุกพึ่บพับประหนึ่งรอคำพิพากษาจากปีศาจร้าย “ไปวิ่งรอบสนามสิบรอบ”
ว่าแล้วเชียว! ครูพรทิพย์น่ะแกไม่ลงโทษเด็กด้วยการยืนขาเดียวหน้าห้องเหมือนครูท่านอื่นๆ หรอก อย่างเจ๊แกต้องถางหญ้า ขัดห้องน้ำ วิ่งรอบสนาม ไม่ก็กระโดดตบจนกว่าจะหมดแรง
“หนูขอโทษ... แต่วิ่งรอบสนามนี่มันแบบ...” ฉันเอ่ยเสียงอ่อน พยายามทำตัวน่าสงสารเพื่อเรียกความเห็นอกเห็นใจจากครูสาว (เหลือน้อย) ตรงหน้าที่ยังคงใช้สายตาดุๆ มองฉัน แล้วให้ตายสิ เพื่อนๆ ในห้องก็ไม่มีใครช่วยกันเลย เอาแต่หัวเราะคิกคักอยู่นั่น
โดยเฉพาะยัยส้มเปรี้ยวที่นั่งอยู่ข้างๆ ฉันเนี่ย
“ปฏิบัติ!”
ทว่าครูพรทิพย์ไม่ยี่หระอะไรทั้งสิ้น ท่านดึงคอเสื้อฉันอย่างแรงพร้อมทั้งดันไปหน้าห้องอย่างไม่นึกสงสาร ตอนนั้นแหละฉันจึงไม่มีสิทธิ์ทัดทานอะไรได้ ทำได้แค่เดินคอตกออกมา... แล้วบอกเลยนะว่าเจ๊แกน่ะมีสายอยู่ทั่วโรงเรียน ยังไงฉันก็โกงและโกหกไม่ได้ด้วย ต้องทำตามอย่างเคร่งครัด วิ่งรอบสนามสิบรอบ ไม่ขาด! ไม่เกิน!
คือว่าอย่างนี้นะ ครูพรทิพย์เป็นครูสอนภาษาอังกฤษค่ะ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นหัวหน้าฝ่ายกิจการนักเรียนด้วย เพราะแบบนี้ไงถึงได้มีแต่คนยำเกรงและหวาดกลัว ถึงฉันรู้สึกแบบนั้นแต่ก็แอบหลับในคาบแกบ่อยๆ เพราะเง่าวิชานี้มากแบบต้มกินก็ไม่เข้าหัว ก็รู้แหละว่า AEC เปิดแล้ว แต่ทำไงได้ล่ะ แค่ภาษาไทยฉันยังเคยสอบตกเลย ภาษาอังกฤษนี่ไม่ต้องพูดถึง
“แดดร้อนอ่ะ” ฉันบ่นเมื่อเดินมาถึงสนามฟุตบอลกลางโรงเรียน ตอนนี้สภาพรอบๆ เงียบเชียบมากเพราะเป็นเวลาเรียน จะมีก็แต่สายลมอ่อนๆ ที่พัดหวิวไหวมาซึ่งไม่ได้ทำให้หายร้อนเลยสักนิด แต่บ่นไปก็เท่านั้นแหละ สุดท้ายก็หลีกไม่พ้นอยู่ดี คิดได้แค่นั้นก็เริ่มวิ่งทันทีด้วยจังหวะเนิบๆ
ตึก ตึก ตึก
“โอ๊ย แดดประเทศไทย” ฉันบ่นอุบอย่างห้ามไม่ได้เมื่อความร้อนจากแสงอาทิตย์กำลังแผดเผาผิวของฉันจนแทบมอดไหม้ ได้แต่ยกมือลูบไล้แขนไปมาอย่างนั้นทั้งที่ไม่มีประโยชน์อะไร
กึก!
ทว่า! ในระหว่างที่ฉันทำหน้าบูดและสาปแช่งแสงอาทิตย์ด้วยความโกรธแค้นอยู่นั้น สองตาก็พลันเหลือบไปเห็นใครสักคนจากที่ไกลๆ บริเวณต้นมะม่วงขอบสนามบาสเก็ตบอลซึ่งตั้งระนาบเดียวกันกับสนามฟุตบอล ระยะห่างไม่ได้ใกล้มากหรอก แต่มันก็ไม่ได้ไกลไง เพราะแบบนี้ฉันจึงกล้ารับประกันว่าใครสักคนจากตรงนั้นคือใคร
นะ...นั่นมัน...นั่นพี่อาร์ของฉันนี่นา! เขาอยู่ในชุดไปรเวทธรรมดามากๆ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อยืดตัวโคร่งสีดำสนิทกับกางเกงบาสสีเดียวกับเสื้อ เขานั่งพิงต้นไม้ด้วยท่าทางผ่อนคลาย หล่อจังเลย
หลายคนคงสงสัยแน่ๆ ว่าเขาไปทำอะไรตรงนั้น คืออย่างนี้นะคะ อย่างที่เคยบอกไปว่าพี่อาร์เป็นศิษย์เก่าของที่นี่ เขาเคยเป็นนักกีฬาของโรงเรียนด้วย พี่อาร์ชอบกีฬามากๆ อาทิตย์หนึ่งเลยมาเล่นบาสที่โรงเรียนไม่ต่ำกว่าสามครั้ง
แต่วันนี้ดูผิดปกติไปหน่อยตรงที่เขาไม่ได้เอาลูกบาสลูกโปรดมาด้วย ตัวของเขาว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย นั่นสินะ นี่เพิ่งจะสิบโมงเช้านี่นา ใครเขาจะมาเล่นกีฬากลางวันแสกๆ แบบนี้กัน ปกติพี่แกมักจะเล่นช่วงสี่โมงถึงหกโมงเย็น ฉันน่ะส่องตลอดเลย
แล้วถ้าไม่เข้าใจอะไรผิดไปนะ เท่าที่สายตาเพ่งมอง ฉันเห็นว่าพี่อาร์กำลังหลับแหละ...
ฉันหันซ้ายหันขวาเพื่อดูให้แน่ใจว่าไม่มีสายของเจ๊พรทิพย์สอดส่อง จนมั่นใจได้ในระดับหนึ่ง (จริงๆ ตื่นเต้นที่ได้เจอผู้ชายจนลืมความกลัวมากกว่า) ก็ย่องๆ ไปยังพื้นที่ที่พี่อาร์กำลังหลับอยู่ ยิ่งเข้าไปใกล้มากเท่าไหร่ หัวใจก็ยิ่งเต้นแรงมากขึ้นเท่านั้น มือไม้ชุ่มเหงื่อมากกว่าก่อนหน้านี้มาก... คงเพราะตื่นเต้นแน่ๆ
พยายามเบาฝีเท้ามากที่สุดเท่าที่จะทำได้ กระทั่งพาตัวเองไปถึงจุดที่ต้องการ ก็พบว่าร่างสูงในชุดดำกำลังนั่งหลับอย่างที่บอกจริงๆ พี่อาร์เอาศีรษะพิงกับลำต้นของต้นมะม่วงขณะหลับตาพริ้ม
พึ่บ
ฉันค่อยๆ ย่อตัวลงนั่งข้างพี่เขาอย่างเบาที่สุด กลัวว่าเขาจะรู้สึกตัวแล้วตื่นขึ้นมา ไม่นานก้นก็สามารถนั่งติดพื้นได้เป็นที่เรียบร้อยขณะสองตายังจดจ้องใบหน้าสมบูรณ์แบบและริมฝีปากน่าบดจูบนั่นไม่วางตา
ปากพี่เขาสีแสงสดราวกับผลแอปเปิล...มันเล็กเป็นรูปกระจับ ริมฝีปากบนของเขามีจะงอยออกมาเล็กๆ เหมือนเด็กน้อย โอ๊ย... คิดไปเขินไป ก่อนเลื่อนสายตาลงต่ำเรื่อยๆ ผ่านลำคอ ไหปลาร้า หน้าอกแกร่งผ่านเนื้อผ้าสีเข้ม สุดท้ายสายตาเจ้ากรรมก็จบลงที่บางอย่าง...บางอย่างซึ่งพิสูจน์ความเป็นชายชาตรี
กรี๊ด ไม่เอาสิ ไม่มองตรงนั้น ลามกจกเปรตไปไหนเนี่ย ฮืออ
ฉันโอดครวญหน้าแดงก่อนจะเปลี่ยนมามองริมฝีปากพี่อาร์ต่อ กว่าจะรู้ตัวก็เหมือนมีมือที่มองไม่เห็นผลักฉันเข้าไปใกล้กระทั่งใบหน้าของเราอยู่ใกล้กันมากจนน่าใจหาย สัมผัสได้ถึงลมหายใจอ่อนละมุนของเขาซึ่งปั่นป่วนความรู้สึกของฉันได้เป็นอย่างดี นี่บอกเลยนะว่าถ้าเราอยู่ในที่ลับตาหรือที่ที่มีเพียงเราสองคน...ยัยพายคนนี้จะไม่ลังเลในการกระชากเสื้อผ้าของพี่เขาออกแล้วจัดการรวบรัดเสียให้รู้แล้วรู้รอด!
ความหื่นอันไม่มีที่สิ้นสุดของฉันยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ กระทั่งปลายจมูกเรากระทบกัน...
ฉันสะดุ้งในความหน้าด้านของตัวเองแบบสุดๆ แต่ร่างกายเจ้ากรรมกลับแข็งอยู่อย่างนั้น ไม่ยอมขยับห่างสักที และทันใดนั้นฉันก็ต้องเบิกตาโพลงพร้อมกับหัวใจที่เต้นแรงแทบกระเด็นออกมากองอยู่ด้านนอกเมื่อร่างสูงลืมตาขึ้นมา
“ยัยโรคจิต ทำอะไรของเธอ”
พลั่ก!!
ฝ่ามือหนาทรงกำลังผลักออกราวกับรังเกียจ เล่นเอาฉันกระเด็นไปไกลตามแรงอันมหาศาลของเขาอย่างช่วยไม่ได้
“...” พี่อาร์ไม่พูดอะไรอีกหลังจากนั้น เขาใช้หางตามองอีกนิดแล้วลุกขึ้นเตรียมเดินไป แต่ไม่รู้อะไรดลใจให้ฉันคนนี้พุ่งเข้าไปคว้าข้อมือของพี่เขาไว้ ผิวหนังของพี่อาร์อ่อนนุ่มและเรียบเนียนกว่าที่คิดมากจนฉันต้องควบคุมความรู้สึกของตัวไว้อย่างถึงขีดสุด
“คือ...” ฉันอ้ำอึ้ง ละล้ำละลักทำตัวไม่ถูกเมื่อร่างสูงของพี่อาร์ชะงักและหยุดเท้าลง ใบหน้าหล่อเหลือบกลับมาด้วยสายตาไม่เป็นมิตร นัยน์ตาสีสวยกำลังขับไล่กันกรายๆ “หนู...”
“อะไร” พี่อาร์ไม่รอให้ฉันพูดจบ แถมยังถามด้วยเสียงเย่อหยิ่งจองหองอย่างนั้นอีก ไม่เพียงเท่านั้นนะคะ พี่แกยังสะบัดฝ่ามือของฉันออกอย่างแรงอีกต่างหาก โห...
“หนูชื่อพายนะคะ!” เพราะเห็นว่าพี่อาร์สุดหล่อของฉันกำลังเดินจากไป ฉันจึงรีบชิงเอ่ยออกไปทันที แต่รู้ไหม ทั้งที่ฉันเอ่ยออกไปเสียงดังฟังชัดขนาดนั้น เขากลับเดินจากไปนิ่งๆ ไม่หันกลับมามองเลยแม้แต่หางตา ฉันเลยยืนอยู่ที่เดิมมองจนแผ่นหลังกว้างน่าซบนั่นลับตาไปนั่นแหละ
ฉันรู้ว่าพี่อาร์เป็นยังไง เขาน่ะเย็นชา พูดน้อย ไม่ค่อยสนอะไร ติดจะขี้เบื่อ เพราะงั้นการที่เขาแสดงอาการแบบนี้กับฉันถือเป็นเรื่องปกติมากๆ ฉันไม่ซีเรียส สิ่งที่ฉันกังวลคือจะทำยังไงให้ได้เจอและพูดคุยกับเขาอีกเป็นครั้งที่สองต่างหาก...