ดวงตาของเสิ่นเยี่ยหงเปล่งประกายท่ามกลางความมืดมืด แววตากริบเต็มไปด้วยความเฉียบขาด
เขาลุกขึ้นนั่งปรายตามองกู้เฉียวจิงที่แอบอิงนอนอยู่เคียงข้าง เสิ่นเยี่ยหงขยับตัวอย่างระมัดระวัง เขาเปิดประตูเดินออกไปด้านนอก ทันทีที่เสิ่นเยี่ยหงขยับตัวกู้เฉียวจิงก็ตื่นแล้วเธอนอนนิ่งแสร้งทำเป็นหลับต่อ
เกือบจะรุ่งเช้า เสิ่นเยี่ยหงก็เดินไปปลุกบุตรชายบอกให้ว่าตนเองจะเข้าเมืองเพียงคนเดียว จากนั้นก็หายไปเกือบครึ่งค่อนวันชายหนุ่มถึงกลับมา
เมื่อปรากฏกายนางก็รับรู้ทันทีกลิ่นอายของสามีเปลี่ยนไป เมื่อเงยหน้าขึ้นก็ปะทะกับดวงตาเย็นชาคู่หนึ่ง สักพักความแข็งกร้าวในดวงตาชายหนุ่มก็จางลงปรับสีหน้ายิ้มจาง ๆ พูดขึ้น
“ข้าจะต้องเดินทางเข้าเมืองหลวง รายละเอียดข้าจะเล่าให้เจ้าฟังระหว่างเดินทาง” จากนั้นเขาก็หันไปสั่งบุตรชาย
“ไปเก็บข้าวของเอาเท่าที่จำเป็นก็พอ”
กู้เฉียวจิงตกตะลึง เสิ่นเยี่ยหงแตกต่างจากสามีคนเดิมของนางอย่างสิ้นเชิง ทั้งที่นางไม่ใช่ตัวจริงทว่ากลับรู้สึกมีก้อนจุกหนึ่งดันขึ้นมาที่คอ นางกำลังน้อยใจ
เสิ่นเยี่ยหงเหมือนจะรับรู้ถึงอารมณ์ของนาง เขาเดินเข้ามากุมมือของภรรยาแล้วพูดขึ้น
“น้องหญิง...ความทรงจำข้ากลับมาแล้ว ครอบครัวข้าอยู่ที่เมืองหลวง...เจ้ายินยอมจะติดตามข้าไปหรือไม่”
กู้เฉียวจิงแค่นเสียงเย้ยหยันตนเองในคอ บิดามารดานางล้วนสิ้นไปหมดแล้ว ถามเช่นนี้...เสิ่นเยี่ยหงต้องการสิ่งใด..ทว่านางก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งที่คิด นัยน์ตาเต็มไปด้วยความไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นใด กล่าวด้วยน้ำเสียงปนสะอื้น
“สามีเปรียบเสมือนแผ่นฟ้าของข้า ท่านไปที่ใดข้าก็พร้อมจะติดตามท่านไป”
เสิ่นเยี่ยหงไม่มีคำปลอบโยนอื่นอีก สำหรับเขาเรื่องที่ผ่านมาคล้ายความฝันค่ำคืนหนึ่งตัวตนที่แท้จริงเขาหาใช่บุรุษชอบป้อนคำหวาน กู้เฉียวจิงเองก็ไม่คร่ำครวญสิ่งใดต่อ นางกลับเดินเข้าไปหาบุตรชายเพื่อเก็บของที่สำคัญเพียงพอในการเดินทางเท่านั้น
เมื่อเช้าเสิ่นเยี่ยหงเข้าไปในเมืองเพื่อนำทรัพย์สินทั้งหมดไปขาย แม้กระทั่งหนังสุนัขจิ้งจอกที่ชายหนุ่มเอ่ยน้ำเสียงหวานล้ำก็ถูกนำไปแลกเป็นเงินเรียบร้อย เขาซื้อรถม้าพร้อมกับอาหารแห้งจำนวนหนึ่ง
ทั้งที่บอกว่าจะอธิบาย ทว่าตลอดการเดินทางเสิ่นเยี่ยหงหาได้เอื้อยเอ่ยคำใดหรือประโยคใด ชายหนุ่มใส่ใจทั้งหมดไปกับการเตรียมการเดินทาง เขาปลอมตัวเป็นชายขับรถม้า ให้กู้เฉียวจิงและกู้ซวินนั่งอยู่ภายในรถม้าปิดผ้าม่าน ไร้การพูดคุย
กู้ซวินเดิมก็เป็นเด็กว่าง่ายรู้ความยิ่งนัก เขาไม่กล้าเอ่ยถามเพียงแต่กอดมารดาแน่น บิดาเปลี่ยนไปแล้ว บิดากลายเป็นคนอื่นแล้ว ในความรู้สึกตอนนี้บิดาที่รู้จักไม่ต่างจากตายจากไป ตอนนี้เหมือนเขาเหลือแค่เพียงมารดาเท่านั้น
กู้เฉียวจิงรับรู้ถึงความรู้สึกของบุตรชาย ความเย็นชาของบิดาคงทำให้สะเทือนใจไม่น้อย นางจึงกล่าวปลอบโยน “ไม่ต้องห่วงมีแม่อยู่ทุกอย่างต้องดี”
เดินทางติดต่อกันสิบกว่าวันก็ถึงเมืองหลวง กู้เฉียวจิงเปิดผ้าม่านออกดูภายนอก เมืองหลวงแคว้นต้าเฟิ่งแตกต่างจากเมืองที่จากมายิ่งนัก ผู้คนมากหน้าหลายตา ต่างล้วนสวมอารมณ์งดงาม รถม้าคันหรูหราวิ่งขวักไขว่อยู่บนถนน บ้านเรือนใหญ่อบอวลเต็มไปด้วยกลิ่นอายของถิ่นฮองเต้ แม้กระทั่งกู้ซวินที่ตกอยู่ในความเศร้าสร้อยก็ตื่นเต้นกับสิ่งที่เห็น
“ท่านแม่ที่นี่คือเมืองหลวง เมืองฉางอี้หรือขอรับ”
กู้เฉียวจิงพยักหน้าแล้วบอกบุตรชายด้วยเสียงอ่อนโยน “ต่อไปเราจะพักอยู่ที่เมืองนี้”
เสิ่นเยี่ยหงปราดตามองเข้าไปในรถม้า นัยน์ตาไม่สามารถคาดเดาความคิดได้ สักพักรถม้ามาจอดนิ่งอยู่หน้าประตูใหญ่ของตระกูลเสิ่น
“บังอาจ เอารถม้าของเจ้าออกไปเดียวนี้ ที่นี่ไม่ใช่ที่เจ้าจะมาทำนิสัยเหิมเกริมได้”
เสียงชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่ที่เฝ้าประตูแผดเสียงตะโกนข่มขวัญ ทว่าไม่ทำให้เสิ่นเยี่ยหงรู้สึกหวาดกลัว เขาเดินเข้าไปใกล้ชายคนนั้นแล้วพูดขึ้น
“จางลู่ เจ้าจำข้าไม่ได้หรือ”
กลิ่นอายของชายแปลกหน้าทำให้คนเฝ้าประตูชะงัก ขณะที่เสิ่นเยี่ยหงเดินเข้ามาเขาก็จับทวนในมือแน่นอย่างระวัง ทว่าหลังจากเห็นใบหน้าชายตรงหน้าชัดเจน สีหน้าของเขาก็กลายเป็นแตกตื่น เสียงคุกเข่าลงกระทบพื้นดังสนั่น ร่างกายสั่นเทาใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและดีใจ