อยู่นั่นไง

1353 คำ
กู้เฉียวจิง อยู่ในฐานะสตรีจากบ้านนอก อีกทั้งยังไม่ได้รับฐานะอันใด จะกระทำสิ่งใดล้วนไม่ต้องระมัดระวังมากมายนัก นางตอบรับคำอี้เหมย ในขณะที่กำลังปรับเปลี่ยนการแต่งกาย ลัวมามาก็มาเยือน นางคารวะกู้เฉียวจิงอย่างนอบน้อมอยู่หน้ากั้นฉากแล้วกล่าวขึ้น "แม่นางกู้ อาจารย์ที่ท่านโหวเชิญมาสอนคุณชายได้มาถึงจวนแล้ว ฮูหยินจึงให้ข้ามาแจ้งท่านพร้อมเชิญคุณชายไปพบอาจารย์เจ้าค่ะ” รวดเร็วยิ่งนัก กู้เฉียวจิงกระพริบตานิ่งพินิจชั่วครู่แล้วพูดขึ้น “กู้ซวิน ในเมื่ออาจารย์มาถึงแล้วจะเสียมารยาทไม่ได้.. เจ้าจงตามลัวมามาไปพบอาจารย์เสีย ไว้วันหลังแม่จะพาเจ้าออกไปข้างนอกชดเชยให้” กู้ซวินแม้จะผิดหวังที่ไม่ได้ติดตามมารดาไป ทว่าเขาเองก็เป็นเด็กใฝ่รู้เมื่อได้ยินว่าอาจารย์ที่เชิญมาสอนตนเองโดยเฉพาะมาถึงแล้วก็ตื่นเต้นยินดีกลบความผิดหวังนั่นจนมิด “ขอรับท่านแม่” กู้เฉียวจิง หันไปพูดกับลัวมามา “ข้าฝากกู้ซวินด้วยนะ ลัวมามา” ลัวมามาได้ยินเช่นนั้น ก็รีบโค้งตัวอ่อน “การปรนนิบัติท่านเป็นหน้าที่ของบ่าวอยู่แล้ว ท่านอย่ากล่าวเช่นนั้นเลยเจ้าค่ะ” พูดเสร็จ จากนั้นนางก็หันไปผ่ายมือเชิญกู้ซวินอย่างอ่อนน้อมยิ่งกว่า แม้ฐานะของกู้เฉียวจิงยังไม่แน่ชัด ทว่าเด็กชายที่อยู่ตรงหน้าเป็นคุณชายของตระกูลเสิ่นอย่างแน่นอน นางจึงระมัดระวังการกระทำยิ่งยวด กู้เฉียวจิงเบี่ยงกายชำเลืองมองหลังกู้ซวิน เมื่อสักครู่ได้เพียงแค่ได้ยินเสียง นางก็รู้ว่าในทันทีว่าภายในใจบุตรชายปลื้มปิติเพียงใด นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่นางคิดจะให้บุตรอยู่ที่นี่ อยู่กับบิดาผู้ที่จะส่งเสริมความสามารถของเขาไปได้ไกลได้ ในช่วงความคิดขณะนั้นก้อนจุกเสียดหนึ่งก็กดทับเข้ามาเจ็บแปลบในใจขึ้นทันที กู้เฉียวจิงสะท้านใจทั้งที่พึ่งรู้จัก เหตุใดนางถึงได้อาลัยอาวรณ์เพียงนี้ เดิมนิสัยสายลับอย่างนางไร้หัวใจมาโดยตลอดความรู้สึกเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกไม่เป็นตัวเองแม้แต่น้อย ทว่าช่วงเวลายังไม่กระชั้นชิด นางไม่มีความจำเป็นที่ต้องรีบตัดสินใจ กู้เฉียวจิงปลอบใจตนเองให้สงบ วันนี้ไปเดินเล่นใช้เงินให้สำราญใจจะดีกว่า จากนั้นก็หันไปบอกอี้เหมย “ในเมื่อกู้ซวินไม่ได้ไปด้วย เช่นนั้นข้าปรับเปลี่ยนเป็นแต่งกายเฉกเช่นบุรุษเถอะ” อี้เหมยยิ้มละมุนรับคำ แม้จะกล่าวว่าแต่งกายเลียนแบบบุรุษชุดก็ยังเป็นผ้าแพรสีขาวปักลวดลายงดงามประณีต เอวคาดเข็มขัดหยกขาว มัดผมสูงขึ้นปักปิ่นหยก อีกทั้งอี้เหมยยังแต่งแต้มเสริมแต่งให้นางดูสง่างามกลิ่นอายไม่คล้ายเป็นสตรีที่มาจากป่าเขาแม้แต่น้อย กู้เฉียวจิง ปรายตามองดูตนเองในกระจกเหลือง แม้จะมองไม่เห็นชัดเจนทว่าความงามของสตรีที่อยู่ตรงหน้าชวนให้ตะลึงตรึงใจ นางได้รู้ซึ้งถึงคำว่าโฉมงามดุจหยกดั่งบุปผชาติ ก็วันนี้ “แม่นางกู้แต่งกายเป็นบุรุษยังงดงามเพียงนี้ หากแต่งกายเป็นสตรีสวมเครื่องประดับดั่งอิสตรี ข้ามั่นใจว่า ในเมืองหลวงจะหาผู้เทียบเคียงความงามเช่นท่านได้ยากยิ่งเจ้าค่ะ” เสียงเจื้อยแจ๋วของอี้หลิงดังขึ้น สาวใช้อีกคนที่ที่ลัวมามาจัดเตรียมมาให้ นางจะคอยเป็นลูกมืออยู่ข้าง ๆ อี้เหมย ชอบเอ่ยวาจาฉอเลาะ หากเป็นเมื่อก่อนนางค่อนข้างรำคาญคนลักษณะเช่นนี้ แต่กลับอี้หลิงคนนี้ทั้งที่รู้ว่าคำพูดประจบแต่นางก็รู้สึกว่าไพเราะน่าฟัง ย่อมเป็นเช่นนั้น คำพูดหวานระรื่นหูผู้ใดก็ย่อมชื่นชอบ นางยิ้มพร้อมแววตาที่ยากจะหยั่งถึง ชาตินี้เหตุใดนางดูไร้ทุกข์ไร้สุขเช่นนี้นะ ไม่สิ สูญเสียบุตรชาย จะสุขได้อย่างไร สำหรับเรื่องนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นกับนางเด็ดขาด นางต้องวางแผนอย่างรอบคอบ กู้เฉียวจิงพยายามสลัดความสุขปลื้มปริ่มที่ฉาบฉวยอยู่เบื้องหน้าออกก่อนจะหลงมัวเมา จากนั้นก็หันไปพยักหน้าบอกสาวใช้ทั้งสองว่าพร้อมแล้ว หน้าจวนมีรถม้าคันหนึ่งพร้อมทั้งคนขับและองค์รักษ์คนหนึ่ง รอนางอยู่ก่อนแล้ว นางปรายตามองดูรถม้า ช่างหรูหราแตกต่างจากคันที่นางนั่งกลับเข้าเมืองหลวงอย่างลิบลับ ทั้งที่ตอนนี้ยังไม่มีฐานะก็นับว่ามีหน้ามีตาพอสมควร สาวใช้ทั้งสองประครองนางขึ้นรถม้า เมื่อนั่งลงเรียบร้อยอี้หลิงก็พูดขึ้น “แม่นางกู้ ตอนนี้ก็ใกล้จะเที่ยงแล้ว ท่านจะไปดื่มชาและรับมื้อเที่ยงพร้อมเลยไหมเจ้าคะ ที่นี่มีหอชิงเห่อที่มีพร้อมทั้งน้ำชาชั้นเลิศอาหารรสโอซะ” กู้เฉียวจิงบางตอบ “เอาตามที่เจ้าว่า” อี้หลิงยิ้มพรายแล้วชะโงกหัวออกไปสั่งคนขับรถม้า รถม้าค่อย ๆ เคลื่อนออกช้า ๆ พอเสียงข้างนอกเริ่มจอแจกู้เฉียวจิง จึงเลิกผ้าม่านออกดูข้างทาง สมกับคำกล่าวที่ว่า เมืองเฉิงอันเมืองหลวงที่อยู่ของโอรสสวรรค์ แม้จะไม่มีตึกสูงใหญ่เสียดฟ้า ทว่าความยิ่งใหญ่วิจิตรตระการตาของเรือนแต่ละจวน การตกแต่งแกะสลักของร้านค้าข้างทาง การแต่งกายผู้คน เหล่าผู้ฐานะสูงศักดิ์เดินขวักไขว่ ทั้งรูปร่างหน้าตา ท่วงท่ากริยาเปี่ยมด้วยสง่าราศี ก็ขับส่งให้ที่นี่เป็นดังสรวงสวรรค์ เพียงครึ่งค่อ ก็มาถึงหอชิงเห่อ คนเฝ้าประตูเห็นสัญลักษณ์รถม้าจากจวนตระกูลเสิ่น ก็ส่งสัญญาณให้คนข้างใน จากนั้นก็ปรากฏสตรีงดงามหมดจด ผู้หนึ่งก็ปรี่ตัวออกมาต้อนรับอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของนางประดับรอยยิ้มเป็นมิตรไมตรี นางพินิจมองดูกู้เฉียวจิงด้วยสายตาปลาบปลื้มดั่งได้พบญาติมาเยี่ยมเยือน “หอชิงเห่อ ยินดีต้อนรับผู้สูงศักดิ์ไม่ทราบว่าต้องการห้องส่วนตัวหรือไม่เจ้าค่ะ” อี้หลิง เอ่ยขึ้นตอบ “มีโต๊ะที่สามารถมองวิวทิวทัศน์ได้รอบด้านหรือไม่” “มีเจ้าค่ะ เชิญท่านตามข้ามา” ห้องระเบียงด้านบนติดริมแม่น้ำสูดดมบรรยากาศไอเย็นสบาย แม้จะไม่ใช่ห้องส่วนตัว ทว่าก็มีจัดตกแต่งเป็นสัดส่วนและสามารถมองเห็นวิวเมืองและเหล่าผู้คนที่สัญจรไปมา กู้เฉียวจิง ปล่อยให้อี้เหมยสั่งอาหาร นางเอนกายพิงหมอนเหม่อมองไปด้านนอกทบทวนเรื่องราวในนิยาย นึกถึงนางเอกในนิยายเรื่องนี้ กัวเล่อเยี่ยน ตอนนี้อาจจะอยู่ในโรงหมอหรือไม่ก็ร้านยาฮุ้ยหวง ในขณะที่ครุ่นคิด สายตาของนางก็เหลือบไปเห็นป้ายที่โดดเด่นเป็นสง่า แววตาของนางเป็นประกายขึ้นมา เมื่อชาขนมจัดวางเรียงขึ้นเต็มโต๊ะ กู้เฉียวจิงจึงพูดขึ้น “พวกเจ้าก็ทานด้วยกันสิ” “ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ ท่านเป็นนายพวกข้าเป็นบ่าว ไม่อาจจะร่วมโต๊ะเดียวกันได้” อี้เหมยกล่าวตอบ กู้เฉียวจิงคิดว่า เรื่องนี้หาใช่ปัญหา แก้ได้ง่ายยิ่ง “เช่นนั้น พวกเจ้าก็ไปนั่งทานอีกโต๊ะเถอะ ข้าอยากจะอยู่คนเดียวสักพัก” ในเมื่อเป็นความต้องการกู้เฉียวจิง พวกอี้เหมย อี้หลิง ก็ขยับไปนั่งโต๊ะที่อยู่ด้านข้าง กู้เฉียวจิง ยกชาขึ้นดื่มความหอมจรุงชุมชื่นแฝงความหวานฉ่ำทำให้จิตใจของนางเบิกบาน เมื่อทานพร้อมกับกินขนมดอกกุ๋ย พร้อมบรรยากาศโดยรอบยิ่งทำให้นางรู้สึกปลอดโปร่ง นางหยิบยาขวดหนึ่งออกมาจากตู้ยา เพ่งพินิจพร้อมกับยกปากยิ้ม
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม