ห้องฝั่งตะวันตกของเรือนหลัก อันเป็นที่อยู่อาศัยของครอบครัวลูกชายคนรองนามว่าฉู่ซ่ง
ลูกชายคนรองของท่านเสนาบดีสอบติดเป็นบัณฑิตทั่นฮวา ยังไม่ทันที่จะได้รับตำแหน่งทางราชการ เขาก็ต้องตามผู้เป็นบิดามายังบ้านเกิดเพื่อไว้ทุกข์ เวลานี้เขาได้รับหน้าที่จากบิดาให้ช่วยหนังสือให้กับลูกชายและหลานสาวที่เกิดจากพี่ใหญ่
ฉู่ซ่งไม่ชอบให้เด็กๆ เข้าใกล้ เมื่อพ่อของเขาออกคำสั่ง เขารีบผลักภาระไปให้พี่ชายทันที "ท่านพ่อ…พี่ใหญ่มีความรู้ดีกว่าข้า และอารมณ์ของเขาก็เยือกเย็นมั่นคงเหมือนกับท่านมากที่สุด ทำไมท่านไม่ให้พี่ใหญ่สอนล่ะ”
ฉู่ถิงเจียนผู้เป็นพ่อ ตอบด้วยสีหน้าเฉยเมย“จุดประสงค์ของการให้เจ้าสอนหนังสือให้กับพวกเด็กๆ ก็คือฝึกอารมณ์ของเจ้าให้มั่นคง ตอนนี้พี่ชายของเจ้าอารมณ์มั่นคงพอแล้ว แต่เจ้ายังไม่เพียงพอ”
ดังนั้นฉู่ซ่งเพิ่งทำได้เพียงแค่สอนหนังสือให้แก่บรรดาลูกหลานของตนเท่านั้น วันนี้หลังจากสอนมาตั้งแต่เช้าจนถึงเย็น เขาก็รู้สึกเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก
เมื่อเห็นหญิงรับใช้พาหลานสาวกลับไปที่ห้องฝั่งตะวันออก เขาก็พาเอ้อร์หลางและซานหลางเดินผ่านลานบ้านกลับห้องฝั่งตะวันตกของตน
เมื่อเข้าไปในลานเรือน เขาก็เห็นภรรยายืนอยู่ใต้ชายคาของระเบียง ใช้มือข้างเดียวกุมท้องที่ขยายใหญ่ขึ้นมากของนาง ขณะที่จมูกก็ยื่นยาวไปทางเรือนด้านหลัง ราวกับว่านางได้กลิ่นอะไรบางอย่าง
ฉู่ซ่งรู้สึกประหลาดใจ "เจ้ากำลังทำอะไร?"
อวี้เหยียนหันไปบอกสาวใช้ให้พาลูกชายทั้งสองไปล้างมือ ก่อนจะเดินไปกระซิบบอกผู้เป็นสามี "ข้าได้กลิ่นปลาย่าง ท่านได้กลิ่นหรือไม่"
ฉู่ซ่งพยายามกลั้นเสียงหัวเราะ "จะเป็นไปได้อย่างไร ครอบครัวของพวกเรากินเนื้อไม่ได้"
อวี้เหยียนฟังแล้วก็ทำหน้าบึ้ง "น้องสามกับองค์หญิงอาศัยอยู่ที่บ้านเก่าด้านหลังนั่น พวกเขามีห้องครัวขนาดเล็ก หึ! นางเป็นถึงองค์หญิง แบกรับความลำบากไม่ได้ บางทีท่านแม่อาจจะส่งปลาหรือเนื้อให้นางเป็นกรณีพิเศษ" สะใภ้รองพูดถึงตรงนี้ก็สูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ "ข้าไม่สน! ข้าตั้งท้องเลือกเนื้อเชื้อไขคนในตระกูลของท่าน ข้าไม่ได้กินเนื้อมานานแล้ว ท่านต้องไปหาเนื้อมาให้ข้า"
ฉู่ซ่งพยายามปลอบประโลมนาง "เป็นไปไม่ได้ ท่านพ่อเป็นคนที่เคร่งครัดเรื่องการไว้ทุกข์มากที่สุด ท่านแม่ก็ไม่มีทางขัดคำสั่งของท่านพ่อเด็ดขาด เรื่องจะให้คนไปซื้อเนื้อให้กับองค์หญิงไม่มีทางเป็นไปได้เลย"
อวี้เหยียนยังคงไม่ยอมแพ้ "แต่ข้าได้กลิ่นหอมของปลาย่าง!"
ฉู่ซ่งลองสูดอากาศเข้าไป แต่เขาก็ไม่ได้กลิ่นอะไรจริงๆ
ในเวลานี้สาวใช้จากบ้านหลักนำอาหารกลางวันมาให้พอดี อาหารยังคงเป็นข้าวขาว น้ำแกง และผัดผัก อีกทั้งยังมีไข่และนมมาให้อีกด้วย แน่นอนว่าทั้งหมดเป็นอาหารมังสวิรัติ ท่านเสนาบดีไม่ได้บังคับให้ลูกหลานกินเจเหมือนกับตนเพียงแค่ทานมังสวิรัติเท่านั้น
ฉู่ซ่งประคองภรรยาไปที่โต๊ะอาหาร เอ้อร์หลาง และซานหลางก็ทยอยเข้ามาหลังจากที่ล้างมือแล้ว
เอ้อร์หลางอายุห้าขวบและเข้าใจว่าครอบครัวไว้ทุกข์ให้กับท่านย่า ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถกินเนื้อสัตว์ได้ แต่ว่าซานหลางอายุสองขวบ เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดเมนูเนื้อที่เขาโปรดปรานไม่ได้อยู่บนโต๊ะกินข้าว ใบหน้าเล็ก ๆ ของเขาเต็มไปด้วยผิดหวังและเขามองพ่อแม่ด้วยความคับแค้นใจ เขาต้องการกลับไปที่เมืองหลวง หากอยู่ในเมืองหลวง เขาจะได้กินเนื้อทุกวัน บ้านเกิดของท่านปู่ของยากจนเกินไป อาหารทุกมื้อล้วนเต็มไปด้วยผัก
ส่วนอวี้เหยียนถ้าหากว่านางไม่ได้กลิ่นปลาย่างวันนี้ก็คงอดทนได้ แต่เมื่อนางได้กลิ่นก็ยิ่งรู้สึกอยากกินเนื้อขึ้นมา บรรยากาศบนโต๊ะอาหารช่างอึมครึมจนฉู่ซ่งรู้สึกอึดอัดมาก
ความจริงภรรยาของเขาก็กำลังตั้งครรภ์หากได้กินอาหารเพียงแค่นี้ เขาก็รู้สึกสงสารนางเช่นกัน “เจ้ากินก่อน ข้าจะคิดหาวิธีให้เอง”
ฉู่ซ่งพูดเสียงเบา เขาคือบัณฑิตผู้งามสง่ามีเสียงที่นุ่มนวล ไม่มีสตรีคนใดที่จะทนต่อน้ำเสียงอ่อนโยนของเขาได้
อวี้เหยียนมองใบหน้าที่หล่อเหลาของสามีและตัดสินใจที่จะยอมทนต่อไปอีกสักหน่อย นางไม่ใช่คนไร้เหตุผล ทุกคนในตระกูลล้วนไว้ทุกข์อย่างเชื่อฟัง นางก็ไม่คัดค้าน แต่ถ้าพ่อสามีอนุญาตให้น้องสะใภ้สาม สามารถกินเนื้อสัตว์ได้นางก็ควรจะถูกปฏิบัติเช่นเดียวกัน!
หลังจากรับประทานอาหารฉู่ซ่งก็รอเวลาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินไปที่ลานของเรือนหลังเก่า
เสี่ยวเจินกำลังนั่งปักผ้าอยู่ตรงม้านั่งที่ประตูหน้าบ้าน เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าบนทางเดิน นางก็เงยหน้าขึ้นมามองและพบว่าเป็นคุณชายรองที่กำลังเดินเข้ามา
“คุณชายรอง”
“ข้ามีเรื่องจะถามฟู่หม่าของเจ้า ช่วยไปแจ้งที”
เสี่ยวเจินรับคำสั่งและรีบวิ่งออกไป
ในห้องชั้นบนอันหนิงและฉู่จวิ้นเพิ่งกินอาหารเสร็จพอดี เสี่ยวเจินที่อยู่ด้านนอกก็เคาะประตูแจ้งเรื่องที่คุณชายรองมาหา
"องค์หญิง คุณชายรองมาหาฟู่หม่าเพคะ"
อันหนิงมองฉู่จวิ้น "เป็นไปได้ไหมว่าพี่รองจะได้กลิ่นปลาย่าง"
กลิ่นของปลาย่างนั้นแรงกว่าน้ำแกงปลา แม้ว่าเสี่ยวเจินจะทำตามที่ฉู่จวิ้นบอก ในตอนที่ย่างปลาก็ปิดหน้าต่างและประตูอย่างแน่นหนา แต่กลิ่นของปลาย่างก็ยังคงเล็ดลอดออกไปเล็กน้อย
"ต่อให้ได้ได้กลิ่น ตราบใดที่พวกเราไม่ยอมรับ เขาก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี"
ชายหนุ่มรีบเดินไปบ้วนปากที่ห้องด้านหลัง เมื่อแน่ใจว่าไม่มีกลิ่นของปลาย่างเล็ดรอดออกมา ก็เตรียมตัวจะเดินออกไปหาพี่ชายคนรอง
อันหนิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า "พี่รองมาหาคงจะเป็นเพราะพี่สะใภ้รองกำลังท้อง จะว่าไปนางก็น่าสงสารยิ่งนักกำลังตั้งท้องก็ต้องกินแต่อาหารมังสวิรัติ”
อันหนิงได้ยินมาว่าบรรดาพี่สะใภ้ทั้งหลายมักจะเอาเปรียบและกลั่นแกล้งน้องสะใภ้ที่อยู่ลำดับต่ำกว่า แต่เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้สำหรับอันหนิง อย่างแน่นอน เพราะนางมีสถานะเป็นองค์หญิง เมื่ออยู่ต่อหน้าบรรดาพี่สะใภ้จะมีความเคารพและเกรงใจมอบให้
ยิ่งเมื่อคิดถึงชะตากรรมในอนาคตของบรรดาพี่สะใภ้ที่ต้องเดินทางไปชายแดนท่ามกลางหิมะตกหนักโดยสวมกุญแจมือ ในใจของนางก็ยิ่งนึกสงสาร
ฉู่จวิ้นมองภรรยาของตนด้วยสายตาที่เหมือนมองคนโง่
อันหนิงขมวดคิ้ว "เหตุใดจึงมองข้าเช่นนี้"
"ข้าว่าท่านยังอ่อนต่อโลกเกินไป เห็นใครก็สงสารไปเสียหมด ท่านคิดว่าข้าขี้เหนียว ไม่ต้องการแบ่งปันเนื้อให้กับพี่ชายกับพี่สะใภ้เช่นนั้นรึ"
อันหนิงไม่ได้คิดเช่นนั้น "บ้านของพี่รองมีสตรีตั้งครรภ์ หากส่งเนื้อปลาให้บ้างเป็นครั้งคราวก็คงจะไม่เป็นอะไรหรอกกระมัง"
ฉู่จวิ้นส่ายหน้า "ที่ข้าไปจับปลาเพราะเห็นว่าท่านผอมมากและไม่ต้องการให้ท่านต้องอดอาหาร ถ้าพี่รองรักและสงสารพี่สะใภ้จริง เขาก็ควรไปจับปลาด้วยตัวเอง เพราะว่าพี่รองก็เติบโตที่นี่ เขาเองก็วิ่งเล่นไปทั่วภูเขา ไม่ว่าจะกระต่ายหรือไก่เขาก็เคยจับมาหมดแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้จะไม่คล่องแคล่วเหมือนแต่ก่อน แต่แค่หาปลาถึงอย่างไรเขาก็รู้แหล่ง และจับมันได้ง่ายๆ อยู่แล้ว"
ชายหนุ่มเบ้ปากเล็กน้อย เพราะรู้นิสัยของผู้เป็นพี่ชายดี "ที่เขาไม่ยอมไปเองเพราะกลัวว่าท่านพ่อจะจับได้ แล้วเขาจะเสียชื่อเสียงเพราะว่าอกตัญญูต่อท่านย่า แต่ถ้าหากว่าเขามาขอแบ่งเนื้อจากเรากลับดูง่ายกว่า เพราะพวกเขาไม่มีครัวเล็กอยู่ในบ้าน หลังจากได้กินเนื่อเสร็จก็ไม่เหลือหลักฐานใด ๆ หากว่าถูกจับได้ขึ้นมาจริงๆ เขาก็ไม่มีทางช่วยข้าแน่"
"ข้าไม่เคยคิดถึงข้อนี้มาก่อน" อันหนิงรู้สึกสับสน ความคิดของพวกบัณฑิตช่างเจ้าเล่ห์โดยแท้
❤️พรุ่งนี้มี Nc นะ อย่าลืมมาอ่านกันเยอะๆ ไรท์กำลังปั่นให้ฟินถึงใจแน่นอน 5555 ฝากกดใจ คอมเม้นท์ ให้กับไรท์ด้วยนะคะ หรือถ้าใครอายกดเข้าชั้นไว้ก็ได้น้าาาา ❤️