บทที่ 5 ใจสั่น

2410 คำ
วันต่อมา... วันทำงานจริง ๆ จัง ๆ วันแรกของมิล่าก็วุ่นวายกับเอกสารที่กองเต็มโต๊ะ หญิงสาวเป็นวิศวกรออกแบบ มิล่าต้องศึกษาแบบผลิตภัณฑ์ทั้งหมดที่แผนกเคยทำเพื่อจะได้รู้รูปแบบที่บริษัทต้องการ เธอรู้มานานแล้วว่าเขาคนนั้นมีสัมพันธ์ยังไงกับเจ้าของบริษัท แถมเมื่อเช้าที่ประธานบริษัทมาแนะนำตัวเขาต่อหน้าพนักงานทุกคนที่นี่อีก แต่แล้ว “เซย์ไฮ พนักงานใหม่จ้ะ” น้ำเสียงคุ้นหูที่อยู่ ๆ ก็ดังขึ้นทำให้มิล่าเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะพบว่าเป็นโรสรินเองที่กำลังยืนพูดอยู่ “_” มิล่าไม่สนใจ เธอหมุนเก้าอี้หนังหนี ซึ่งพอเห็นอย่างนั้นสาวรุ่นพี่ก็ไม่พอใจ “จิ๊! เธอควรให้เกียรติรุ่นพี่อย่างฉันนะ” “พอดีว่าเกียรติมันมีไว้ใช้กับคนมีเกียรติน่ะ...” “เอ๊ะ? ...เธอด่าว่าฉันไม่มีเกียรติอย่างนั้นเหรอ” โรสรินกำมือเข้าหากันแน่น แต่สุดท้ายเธอก็ได้แต่ผ่อนความโกรธนี้ผ่านลมหายใจ เพราะตอนนี้เธอมีบางอย่างอยากจะรู้จากเธอคนนี้ “หึ ฉันแค่จะมาถามว่าเธอเป็นอะไรกับบอส” “บอส? อ้อ...ไม่รู้สิ” มิล่านึกสนุก บอสที่โรสรินพูดคงหมายถึงเคเรนด์ โรสรินถูกใจเคเรนด์เป็นแน่ถึงมาถามเช่นนี้ แถมเมื่อวานเธอก็เข้าไปทักเคเรนด์อีก “อย่ามาเล่นลิ้น ฉันได้ยินเธอคุยกับบอส คุยเหมือนกับสนิทกันมาก” “หึ อยากรู้ก็ไปถามเขาเองสิ” มิล่าเงยหน้าขึ้นสบตากับโรสริน ก่อนที่เธอจะยกมือขึ้นค้ำคางมองใบหน้าของเจ้าหล่อน “เผื่อเธอจะได้รู้ ‘บางอย่าง’ จากเขา” “บางอย่าง?” “โอ๊ะ! ฉันหลุดพูดอะไรออกไปเนี่ย...” มิล่ายกมือขึ้นป้องปาก ทำท่าทีเหมือนกับหลุดพูดเรื่องสำคัญบางเรื่องออกมา ทำเอาคนที่อยากรู้อยู่แล้วอย่างโรสรินเนื้อสั่น “แก...หึ้ย อยากลองดีกับฉันใช่ไหม” โรสรินกระทืบเท้าไม่พอใจ แต่สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้ไปมากกว่ากำมือเข้าหากันและเดินจากไป อย่าคิดว่าเธอจะหยุดเพียงแค่นี้ ถอยครั้งนี้เพื่อตั้งหลักต่างหาก มิล่าส่ายหน้าให้กับความบ้าของเธอคนนั้น ที่ทำงานแทนที่จะทำงานกลับมาถามไถ่อะไรเธอก็ไม่รู้ ขณะเดียวกันในห้องทำงานสุดหรู เคเรนด์กำลังนั่งมองใบหน้าของลูกน้องคนสนิทที่กำลังยืนพูดกับผู้ช่วยเลขาฯของเขา “ครับ ผมไม่รู้ว่าวันนี้จะกินอะไรดี ว่าแต่อาหารไทยผมควรกินอะไรดีครับ” วิลเลี่ยมเอ่ยปากถามหญิงสาวตรงหน้าด้วยสายตาแพรวพราว ลืมไปเสียสนิทว่ามีเจ้านายนั่งมองอยู่ ทว่า “มึงไม่มาถามกู แม่กูเป็นคนไทยกูรู้หมดว่าอะไรอร่อยไม่อร่อย” วิลเลี่ยมหันขวับไปมองคนเป็นนาย เขาขยิบตาส่งซิกให้กับนายของเขา “เหรอครับ ผมไม่รู้เลย ว่าแต่น้ำหวานชอบอะไรเหรอครับ” “หวานกินได้หมดค่ะ” เธอตอบกลับเขาเป็นภาษาอังกฤษ น้ำหวานไม่ได้อยู่แผนกนี้ตั้งแต่แรก ทว่าท่านประธานส่งเธอมาคอยแนะนำหัวหน้าคนใหม่ของแผนกนี้ หรือที่บอร์ดบริหารจะเรียกว่าผู้จัดการ ซึ่งเธอก็รู้สึกเขินายให้กับการจีบอย่างตรงไปตรงมาของวิลเลี่ยม เขินบิดจนอายเจ้านาย ซึ่งการกระทำของคนทั้งคู่ทำให้เคเรนด์ทนมองต่อไปไม่ได้ ครืดด... “ไปไหนครับ” “ไปถามมิล่าว่าเธอชอบกินอะไรมั้ง” เคเรนด์ประชด เขาเดินออกไปเปิดประตูห้องทำงานออก เป็นจังหวะพอดีที่เห็นโรสรินหมุนตัวเดินออกมาจากโต๊ะทำงานของมิล่า ชายหนุ่มขมวดคิ้วเพราะดูเหมือนว่าทั้งคู่จะทะเลาะกัน อดไม่ได้ที่จะเดินไปหา ซึ่งพอมิล่าเห็นว่าเขากำลังจะเดินมาหาเธอก็รีบลุกขึ้นยืนและเดินหนีทันที ทว่าก็ไม่ทันคนขายาวกว่า กึก! “หลบไป” มิล่าชะงักฝ่าเท้าเมื่อชายหนุ่มเดินมาขวางทางเธอไว้ เธอมองเขาด้วยสายตาไม่พอใจ “เป็นอะไรหรือเปล่า เหมือนโรสมาหาเรื่องเธอเลย” “โรส? เหอะ เรียกชื่อเล่นกันแล้วงั้นเหรอ” “หืม อ้อ ก็...เธอบอกให้เรียกแบบนี้” มิล่าส่ายหน้าให้กับคำตอบของเขา “นายโง่หรือแกล้งโง่กันแน่ ดูก็รู้ว่าเธอคิดอะไรกับนาย” “หึ แล้ว...เธอหึงหรือไง” “อะไรนะ!!” มิล่าร้องเสียงหลง “...ใคร ใครหึงนาย” เคเรนด์อมยิ้ม มิล่าเป็นอย่างไรในอดีตเธอก็เป็นอย่างนั้นไม่เคยเปลี่ยน “เธอโกหกไม่เก่งเลยรู้ไหม” “จิ๊! นายพูดไม่รู้เรื่อง ขยับออกไป” “ไม่ไปจนกว่าเธอจะบอกว่าโรสมาพูดอะไรกับเธอหรือเปล่า” มิล่าขมวดคิ้วมากกว่าเดิม แต่เรื่องอะไรเธอจะบอกความจริงกับเขา “นายไม่ต้องห่วงหรอกนะ ฉันไม่ตบกับยัยนั่นเพื่อแย่งนายให้มือเสียหรอก” สายตาคมจับจ้องมองรูปหน้าของเธอ มิล่าจะต่อว่าเขาอย่างไรเขาไม่เกี่ยง ทว่าเขาเพียงแค่เป็นห่วงเธอแค่นั้น “ดีแล้ว เธอไม่ต้องทำอะไรหรอก ฉันสนใจแค่เธอคนเดียว...” น้ำเสียงทุ้มลึกของเขาทำให้ใจดวงน้อยสะดุด มิล่ากลืนน้ำลายลงคอ เธอสบตากับเขา “เที่ยงนี้...ไปกินข้าวกับฉันไหม” “_” “ฉันยังจำได้นะว่าเธอชอบกินอะไร” “_” “พะแนงหมูใช่ไหมที่เธอชอบ” “ไม่...ฉันไม่ชอบมันแล้ว มันไม่อร่อยแล้วสำหรับฉัน” มิล่าตอบกลับทันควันหลังจากเงียบอยู่นาน เธอพูดเพียงแค่นั้นก่อนจะเดินเลี่ยงเขาไป ความรู้สึกที่คิดว่าเตรียมพร้อมมาแล้วไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด เธอไร้เยื่อใยกับเขาจนสัมผัสมันได้ แอบกลัวว่าเธอจะไม่รู้สึกอะไรกับเขาอย่างที่ปากว่า กลัวจนใจสั่นเลยทีเดียว... ขณะเดียวกันมินตราไม่ได้ให้เหตุผลการขึ้นมากรุงเทพฯของเธอกับพ่อแม่ ทว่าบิดามารดาก็ไม่ได้ติดใจอะไรกับการที่เธอบอกว่าจะมาหาลินิน ใช้เวลาค่อนวันเดินทางจากนครราชสีมาถึงกรุงเทพมหานครฯ เพราะคิดจะย้ายกลับไปอยู่บ้านที่ต่างจังหวัดถาวรทำให้เธอขายคอนโดทิ้ง วันนี้ก็เลยต้องมาพักอาศัยที่บ้านสามีของเพื่อนสาว “แกจะบอกว่าแกท้องอีกงั้นเหรอ…” “อืม…” น้ำเสียงเป็นห่วงของลินินเธอเข้าใจ หญิงสาวท้องลูกคนที่สองทั้ง ๆ ที่ลูกคนแรกมีโรคประจำตัว แบบนี้ใครจะไม่เป็นห่วงกัน “…แกไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าเขาเป็นโรคฉันจะปล่อยเขาไป” “แต่…” “ไม่นิน ฉันโอเค” หญิงสาวถอนหายใจพรืดใหญ่ พรุ่งนี้เช้าเธอจะไปหาโนอาร์ แม้จะไม่ได้ติดต่ออีกฝ่ายเลย ทว่าเขาก็เป็นคุณหมอทางโรคเลือดคนเดียวที่เธอรู้จัก “แกไปพักก่อนก็ได้นะ เดินทางมาคงเหนื่อยแย่” มินตราพยักหน้ารับ คิดถึงเพื่อนอยากจะอยู่เล่นด้วยสักนิด ทว่าพอเห็นลูกของเพื่อนมันก็ยิ่งทำให้เธอคิดถึงกรุงโรม อีกทั้งยังไม่มั่นใจเสียด้วยซ้ำว่าจะสามารถเก็บลูกอีกคนไว้ได้หรือเปล่า หญิงสาวเดินขึ้นบันไดบ้านหลังใหญ่ด้วยความเหนื่อยอ่อน เพื่อนของเธอเป็นสะใภ้มหาเศรษฐีของประเทศไทย อีกทั้งสามีของเพื่อนเธอยังรู้จักกับเขาคนนั้น และขณะนั้นเองที่เสียงเรียกของใครบางคนทำให้เธอชะงักไป “มิน...” “หือ...คุณอัทธ์” อัทธากรคือสามีของเพื่อนเธอ และเขาก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอได้เจอกับคาลเวิร์ตเมื่อสามปีก่อน “ได้ยินว่าท้องเหรอ” “ค่ะ...” หญิงสาวตอบรับด้วยความเป็นมิตร เธอยกมือขึ้นลูบหน้าท้องของตน จะดีใจก็ดีใจได้ไม่เต็มที่มันหม่นหมองยังไงชอบกล “มันรู้หรือยัง...” อัทธากรคงหมายถึงเขาคนนั้น มินตราส่ายหน้า เธอไม่คิดจะบอกเขาอยู่แล้ว “เฮ้อ...แล้วรู้ไหมว่าเคเรนด์น้องของมันมาทำงานที่นี่” “อะไรนะคะ” “ไม่รู้สิ อยู่ ๆ ก็มาบอกว่าอยากเข้าทำงานที่บริษัทของไอ้อิทธ์มัน” มินตราพยักหน้ารับ อิทธิกรคือฝาแฝดของชายหนุ่มตรงหน้าเธอ หญิงสาวไม่ได้อยากรู้เรื่องของสองพี่น้องนี้แล้ว เธออยากรู้แค่เรื่องของกรุงโรมเพียงแค่นั้น “มีอะไรให้ช่วยบอกได้ตลอดเลยนะ” “ค่ะ...ขอบคุณนะคะ” “ไม่เป็นไรเลย อย่าลืมว่าฉันติดหนี้บุญคุณเธอ” “หึ ค่ะ” มินตรายกยิ้มบาง ๆ หนี้บุญคุณครั้งนั้นทำให้เธอตกหลุมรักคาลเวิร์ตเต็ม ๆ คดีความของอัทธากรนำพาให้เธอไปเป็นตัวประกัน ในวันนั้นที่เขามาช่วยชีวิตเธอไว้ เธอไม่เคยลืม...จุดเริ่มต้นของความเจ็บปวดแต่กลับไม่มีจุดสิ้นสุด “ขอตัวไปพักนะคะ” “ครับ...” เขาเพียงแค่ยิ้มให้เธอ มินตราค้อมศีรษะเล็กน้อยก่อนที่เธอจะเดินเลี่ยงไป การเดินทางทำให้เธอเหนื่อย แต่คงไม่เหนื่อยเท่ากับคนที่ต้องเดินทางข้ามฟากฟ้า คาลเวิร์ตออกเดินทางตั้งแต่เช้าเพื่อมารับมินตรากลับอย่างใจคิด ใช้เวลานานพอควรจนบุตรชายหลับแล้วหลับอีก กรุงโรมไม่รู้ว่าคุณพ่อของเขาจะพาไปไหน ทว่าเครื่องบินไพรเวทเจ็ทสุดหรูนี้ก็สบายจนทำให้ผล็อยหลับครั้งแล้วครั้งเล่า ความสัมพันธ์ที่ก่อเกิดขึ้นระหว่างเขากับกรุงโรมนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่าตัวเล็กจะร้องไห้ยามเขาดุ ทว่าตักแกร่งก็อุ้มชูเขาไว้ได้ตลอด กรุงโรมชอบนอนบนตักเขามากกว่าเบาะนุ่ม ๆ เสียอีก ตัวเล็กในวัยสาวขวบโตขึ้นกว่าวันแรกที่เขาเห็น ใบหน้ามีสีสันของเขาทำให้มาเฟียหนุ่มจินตนาการไปถึงเธอคนนั้น เหมือนกับที่พ่อเขาว่าจริง ๆ หนึ่งชั่วโมง หนึ่งวัน หนึ่งเดือนพอทนได้ ทว่าสามเดือนมานี้เขาแทบทนไม่ได้เลย เพียงแค่นี้ก็มั่นใจแล้วว่าเขาขาดเธอไม่ได้ มุมปากบางเฉียบเหยียดยิ้ม เมื่อวานเขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับคาริสา มันว่างเปล่าจนทำให้วันนี้เขาถ่อมาหามินตรา และมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเธอจะกลับมาหาเขา ซึ่งตอนนี้มาร์โคก็บอกว่าเธอกำลังอยู่บ้านของเพื่อนเธอ มาเฟียหนุ่มไม่ได้เอาเสื้อผ้ามาเสียด้วยซ้ำ เพราะกะจะมารับเธอแล้วก็กลับอิตาลีทันที ครั้นพอมาถึงในเช้าวันใหม่ เขาก็ไม่เห็นว่าเธออยู่บ้านของเพื่อนเธอแล้ว เห็นบอกว่าไปโรงพยาบาลซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่บอกว่าเธอไปทำไม ทำให้เขามาที่โรงพยาบาลนี้เสียเอง กรุงโรมเหนื่อยจากการเดินทางข้ามวัน ตัวเล็กไม่ได้มาโรงพยาบาลกับคนเป็นพ่อ เขามาโรงพยาบาลกับลูกน้องคนสนิทและกะจะมาเซอร์ไพรส์เธอ ทว่า “ทำไมเธอมาตรวจห้องนี้...” “ให้ผมโทรถามให้ไหมครับ” “ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวเธอก็ออกมา” คาลเวิร์ตยังไม่นอนเสียด้วยซ้ำ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตัวเองตื่นเต้นที่จะได้เจอเธออีกครั้ง และขณะนั้นเอง แกร็ก! “ไม่หรอก โนอาร์...เธอไม่เข้าใจหรอก” เสียงของมินตราเล็ดออกมาจากห้องตรวจ ราวกับว่าเธอกำลังทะเลาะกับใครสักคนในห้องนั้น โดยที่เธอยังไม่ผลักประตูออกเพียงแค่ปลดล็อกประตูแล้วเท่านั้น “เราไม่ติดต่อมา ใช่...เราไม่ได้รู้สึกอะไรแล้วไง เรามาทีไรเธอก็พูดแต่เรื่องนี้” คาลเวิร์ตขมวดคิ้ว แต่ไม่ทันที่เขาจะเดินไปเปิดประตูออกด้วยความใคร่รู้ว่าเธอคุยกับใคร บานประตูก็ถูกผลักออกเสียก่อน “อ๊ะ!!” มินตราอ้าปากค้างจนเป็นรูปตัวโอเมื่อเปิดประตูออกมาก็พบกับร่างหนาคุ้นตา “คาลเวิร์ต คุณ...” “มิน...” โนอาร์ชะงักไปเมื่ออยู่ ๆ มินตราก็ตาโตแถมยังมีท่าทีแปลก ๆ “มีอะไรหรือเปล่า...” “ฉันมารับเธอกลับ” คาลเวิร์ตพูดแทรกคุณหมอหนุ่มตรงหน้า มินตราตกใจเสียยิ่งกว่าเดิม เพียงแค่เห็นเขาใจดวงน้อยที่เงียบสงบมานานก็สั่นไหวขึ้นมาอีกครา เช่นเดียวกันกับเขา ใบหน้าของเธอที่ไม่ได้เจอนานก็ทำให้ใจของเขาสั่น “ใครอ่ะมิน...” “มึงนั่นแหละใคร...” คาลเวิร์ตไม่พอใจไอ้หน้าอ่อนตรงหน้า เขาตวัดสายตาไปมองด้วยดวงตาแข็งกร้าวจนอีกฝ่ายขนลุกซู่ขึ้น ซึ่งมินตราก็ไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่หันหน้าไปมองใบหน้าของโนอาร์อีกครั้ง “เราเป็นแค่คนไข้กับคุณหมอเถอะ เราอยากให้เธอเลิกพูดเรื่องนั้นด้วย...” “_” “โนอาร์...เราตกหลุมรักคนง่ายก็จริง แต่ไม่เคยกลับไปรักใครซ้ำอีก…” มินตราว่าเสียงจริงจัง เธอสบตากับคุณหมอหนุ่ม ทว่าคำพูดเมื่อครู่ไม่ได้หมายถึงชายหนุ่มตรงหน้าคนเดียว แต่หมายถึงเขาอีกคน คาลเวิร์ตขมวดคิ้ว เธอคงไม่ได้หมายถึงเขาหรอกกระมัง เพราะเธอยังรักเขาอยู่นี่ เขาสัมผัสมันได้ ขณะเดียวกันที่คำพูดของเธอทำให้โนอาร์นิ่งไป เขาพยักหน้ารับเบา ๆ และการหมุนตัวจากไปของเธอทำให้เขาทำได้เพียงแค่ยืนมองอยู่ตรงนั้น ต่างจากอีกคน คาลเวิร์ตเดินไปคว้าข้อมือของหญิงสาว ซึ่งแรงเหวี่ยงของเธอก็มากพอสมควร ทว่าทันทีที่เธอหันหน้ามาหาเขา เพี๊ยะ!! “มาทำไม!” เพราะไม่ทันได้ตั้งหลักทำให้ใบหน้าหล่อเหลาสะบัดตามแรงตบของเธออย่างแรง ขณะเดียวกันที่ความรู้สึกบางอย่างที่พุ่งปรี๊ดขึ้นทำให้เธอไม่อาจเก็บน้ำตาของตัวเองไว้ได้ “อึก คุณบอกว่าไม่ให้ฉันไปให้เห็นหน้า...แล้วคุณมาทำไมคะ”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม