ช่วงเวลาก่อนที่จะเจอกับชายแปลกหน้า
“อ้าว ตุ้ยนุ้ย ทำไมถึงไม่ทานขนมที่พี่ทำให้ละ?”
พี่หวาน สาวสวยเจ้าของร้านเบเกอรี่ ย้ายร่างเพรียวบางมาถามพนักงานพาร์ทไทม์คนสนิท ที่กำลังยืนมองบลูเบอรี่ชีสพายในกล่องอย่างนึกเสียดาย ใจหนึ่งก็อยากกิน อีกใจก็ดันนึกถึงคำพูดของเพื่อนร่วมชั้น ที่บอกว่าเธออ้วนขึ้นจนพุงปริ ยิ่งใส่กระโปรงนักเรียนมอปลาย ยิ่งเห็นหน้าท้องชัดขึ้น
“ถ้าหนูลดความอ้วน พอจะเป็นไปได้ไหมคะ?”
พี่หวานคลี่ยิ้มใจดี ก่อนจะพยักหน้าตอบกลับในทันที
“ต้องเป็นไปได้อยู่แล้วสิ แต่ที่มีความคิดแบบนี้ ไม่ใช่ว่าโดนเพื่อนที่โรงเรียนบูลลี่มาอีกใช่ไหม เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น ตุ้ยนุ้ยต้องบอกพี่นะ ไม่ว่าจะเป็นล้อเรื่องหุ่น หรือหน้าอก เราก็ห้ามยอมเด็ดขาด มันเป็นสิทธิ์ที่เราจะไม่ยอมนะ ตุ้ยนุ้ย”
พี่หวานเริ่มเข้าโหมดจริงจัง เพราะเป็นห่วงพนักงานที่เปรียบเสมือนน้องสาวแท้ๆ ทว่ากลับชอบทำตัวให้น่าเป็นห่วง เพียงเพราะไม่อยากให้ใครต้องมาเดือดร้อน ครั้งหนึ่ง พี่หวานเคยไปที่โรงเรียน เพื่อแจ้งเรื่องนี้กับอาจารย์ปกครอง แต่แล้วก็ถูกทางนั้นต่อว่ากลับมา เพราะไม่มีหลักฐานว่าถูกรังแกหรือถูกบูลลี่ อีกทั้ง กลุ่มแก๊งที่แกล้ง ยังเป็นเหล่าลูกหลานของผอ.โรงเรียน ยิ่งทำให้เอาผิดได้ยาก แถมเธอยังโดนแกล้งหนักขึ้น
มิหนำซ้ำ ร้านเบเกอรี่ของพี่หวาน ยังถูกนำไปลงสื่อในโรงเรียนว่า ห้ามเข้า เพราะมีแต่ของเน่าของบูด ขนมขึ้นรา จนเดือนนั้น ลูกค้าที่ร้านลดไปเกือบเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ เพราะโรงเรียนอยู่ไม่ไกล แล้วนักเรียนส่วนใหญ่ ก็ต่างพากันเชื่อคนเหล่านั้น ถึงแม้จะมีส่วนที่ไม่เชื่อ แต่ก็ไม่กล้า เพราะกลัวว่าจะถูกแกล้งในแบบที่เธอโดนมาตลอดหกปี (ปีนี้ เป็นปีที่หกแล้ว)
เธอกัดฟันฝืนทน ด้วยเหตุผลที่ว่าต้องเรียนให้จบให้ได้
ทว่าปัญหาที่พบเจอ กลับถาโถมเข้ามาในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพ่อ คนในครอบครัวเพียงคนเดียว ที่ไม่คิดจะส่งเสียเลี้ยงดูลูกสาว แต่กลับมาไถ่เงิน ไปเล่นพนันบอล และกินเหล้าเมายาสารพัด เดือนหนึ่ง เธอต้องมีให้พ่อไม่ต่ำกว่าแปดพัน ซึ่งมันเยอะมาก สำหรับเด็กมอปลายที่ต้องหาเงินเลี้ยงตัวเอง ไหนจะต้องจ่ายค่าเทอมในแต่ละเทอม เพื่อให้เรียนจบ
ตั้งแต่เด็ก พ่อเคยเอาเธอไปฝากทำงานที่ร้านอาหารข้างถนนตั้งแต่แปดขวบ เพื่อจะเอาเงินไปจ่ายค่าพนันบอล ที่ติดค้างเอาไว้ ยังดีที่ป้าเจ้าของร้านใจดี และสงสาร จึงรับเธอเข้าไปช่วยงาน ทำให้ผ่านมรสุมชีวิตในช่วงนั้นมาได้ แต่พอโตขึ้น เงินเพียงสองพันก็ไม่พอสำหรับพ่อ ทำให้เธอต้องหางานใหม่ที่รายได้เยอะขึ้น จนมาเจอร้านเบเกอรี่ของพี่หวาน ที่รับเธอเข้าทำงานตอนอายุสิบห้า เพราะเห็นว่าพ่อของเธอมายืนต่อว่าด่าทอ ที่เธอสมัครงานไม่ได้เพราะอายุยังน้อยจนเกินไป
พี่หวานออกมาช่วย แล้วบอกกับพ่อว่าจะรับเธอเข้าทำงาน พ่อเลยเรียกค่าแรงมาตรฐานสามร้อยบาทต่อวัน ซึ่งไม่ใช่เรทราคาค่าแรงที่เธอสมควรได้ เพราะเธอยังต้องเรียนหนังสือ ทำได้มากสุดก็แค่พาร์ทไทม์ แต่ทว่าพี่หวานก็ดันตอบตกลงที่จะให้ เพราะสงสารลูกสาวที่ถูกพ่อตบตีจนเนื้อตัวลาย
ตั้งแต่วันนั้น พ่อก็ได้เงินจากตรงนี้มาโดยตลอด
ส่วนค่าเทอม ค่ากิน ค่าอยู่ของเธอนั้น พี่หวานจะเป็นคนออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด ให้ค่ากินเดือนละห้าพัน ส่วนค่าห้อง ค่าเทอม จะจ่ายให้ต่างหาก ซึ่งเยอะมาก แถมพี่หวานยังบอกว่า ถ้าช่วงไหนเรียนหนัก ก็ไม่ต้องมาช่วยงานที่ร้าน เพราะอยากให้เธอมีเวลาอ่านหนังสือ แต่เธอกลับทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะละอายใจที่ต้องมาเกาะพี่หวานอยู่แบบนี้ เลยหางานเสริมทำหลายงาน เพื่อหาค่าเทอม ค่ากิน ค่าอยู่ให้ตัวเอง
ซึ่งปัจจุบัน แบ่งเวลาเป็นสี่ช่วง ภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง
ช่วงแรก คือก่อนรุ่งเช้าหรือก่อนไปเรียน
ทุกวัน เธอต้องไปทำงานนี้ตั้งแต่ตีสาม เพื่อออกไปส่งหนังสือพิมพ์ในหมู่บ้านคนรวย พี่หวานซื้อรถมอเตอร์ไซค์ให้ แล้วพาไปทำใบขับขี่ตั้งแต่อายุสิบเจ็ด แต่บางงาน เธอก็ต้องเปลี่ยนเป็นใช้รถจักรยาน แค่มีรถขับไปถึงหน้างานเท่านั้นเอง
งานนี้เธอได้ สองร้อยบาท เพราะทำแค่ถึงหกโมงเช้า
ช่วงสอง เป็นเวลาไปเรียน
ช่วงสาม คือหลังเลิกเรียน
เธอจะพยายามกระชับเวลาเรียน เพื่อกลับมาในทันช่วยงานที่ร้าน เพราะปกติตอนเย็นมีลูกค้าค่อนข้างเยอะ (ถ้าไม่ได้ไปมีปัญหากับเด็กแก๊งนั้น) เธอจะเข้าไปช่วยทำขนมอบ รวมไปถึงขนมหวาน ลูกกวาด อมยิ้มหลากสีที่หาทานยากขึ้น
และนี่ ก็เป็นหนึ่งในขนมที่เธอชื่นชอบมาตั้งแต่เด็ก
แต่พ่อไม่เคยเจียดเงินมาซื้อให้แม้แต่อันเดียว เพราะอ้างว่าเป็น ‘ขนมขยะ’ เพื่อที่จะเอาเงินไปซื้อเหล้ามาดื่มแทน
เข้าสู่ช่วงสี่ คือหลังร้านเบเกอรี่ปิด (สามทุ่ม)
เธอต้องไปทำงานที่ร้านสะดวกซื้อใกล้บ้าน (กะดึก)
ช่วงเวลานี้ เธอชอบแอบกินมาม่าบ่อย เพราะหิวมาก
งานนี้ได้ค่าแรง สามร้อยบาท ทำตั้งแต่สี่ทุ่ม ถึงตีสาม
นั่นก็แปลว่า เวลานอนจะถูกย้ายไปช่วงสอง เพราะเป็นช่วงที่สามารถหลบงีบในเวลาพักกลางวันได้ แต่ก็จะมีบางวัน ที่โดนแก๊งเดิมมาตามราวีถึงในห้องน้ำ ทำให้เธอไม่ได้งีบ บางวันก็แทบไม่ได้นอน แต่ต้องอดทน เพราะอยากทำงานหาเงิน เพื่อลดค่าใช้จ่ายที่พี่หวานไม่ควรสมจะต้องจ่ายให้เธอ
แน่นอนว่าการใช้ชีวิตแบบนี้ ไม่ดีต่อสุขภาพร่างกาย
ทำงานเยอะใช่ว่าน้ำหนักจะลด กลับกัน น้ำหนักยิ่งเพิ่ม เพราะยิ่งทำงานเหนื่อย ก็ยิ่งกินเยอะ กินจุ อาหารราคาถูกส่วนใหญ่ จะทำให้อ้วนง่ายโดยเฉพาะมาม่า เธอกินทุกวัน อย่างต่ำมื้อละสามห่อ และนี่เป็นเหตุผลที่ทำให้อ้วนขึ้นเรื่อยๆ
ปัจจุบัน เธอหนัก 68 กิโลกรัม ถือว่าอวบระยะสุดท้าย
แต่ที่เป็นปัญหาจริงๆ คือหน้าอกที่ใหญ่กว่ามาตรฐานเด็กสาวอายุสิบแปด เธอมีรอบอก 46 ปัจจุบันยังไม่ได้วัด แต่น่าจะใหญ่ขึ้นพอสมควร ซึ่งเป็นปัญหาตรงที่ว่า ชอบมีคนมาวิจารณ์หน้าอก โดยเฉพาะเด็กผู้ชายร่วมห้อง ที่เป็นหลานผอ.
“ว่ายังไง เราไม่ได้โดนแกล้งมาอีกใช่ไหม ตอบพี่มา”
เสียงของพี่หวานดึงสติเธอให้กลับมาอยู่กับปัจจุบัน
“ไม่ค่ะ พี่หวานไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ หนูโอเคมากๆ”
“จะไม่ให้เป็นห่วงได้ยังไง ก็ไม่ยอมพูดความจริงเนี่ย”
เด็กสาวแก้มซาลาเปาคลี่ยิ้มตาหยี ให้โลกสดใสเพื่อกลบเกลื่อนเรื่องราวแย่ๆ ที่เกิดขึ้น ก่อนจะรีบไปช่วยพี่หวานเก็บร้านเบเกอรี่ เพราะอีกไม่นานเธอต้องไปทำงานต่อไปแล้ว
บรืนนน~
รถมอเตอร์ไซค์ฟีโน่สีดำสนิท ถูกจอดพักข้างรถตำรวจ ขณะติดไฟแดง เธอมีใบขับขี่และสวมหมวกกันน็อก เลยไม่ได้กลัวที่จะจอดขนานข้าง แต่แล้วก็ต้องตกใจ เพราะมีชายหนุ่มคนหนึ่ง กระโจนออกจากหน้าต่างรถตำรวจ เสื้อเชิ้ตสีขาวที่เขาสวมใส่ เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดสีสด สภาพเหมือนถูกรถสิบล้อเสยมา (ไม่เกินจริง) เพราะตามร่างกาย มีแต่รอยฟกช้ำ
“เฮ้ย! ไอ้แผนผา อย่าหนีนะเว้ย!”
“ไฟเขียวแล้ว รีบขับไปเลย!”
วินาทีนั้น เด็กสาวตื่นตระหนกตกใจจนไม่มีสติ รู้ตัวอีกทีก็ขับรถหนีตำรวจตามที่ชายแปลกหน้าตะโกนบอก เมื่อรถจอดสนิทเธอก็รีบหันไปถามเสียงสั่นเพราะยังรู้สึกตกใจอยู่
“พะ พี่เป็นใครคะ?”
“เป็นผัวเธอไง”
ยอมรับ ว่าเธอตกใจกับคำตอบนี้มากๆ แต่เลือดที่ขาเขาดึงความสนใจก่อนที่เจ้าตัวจะซบหน้าแนบลงบนแผ่นหลัง
“พาไปที่บ้านหน่อย…”
“พะ พี่ไม่ไปโรงพยาบาลเหรอคะ?”
“ไม่ จะไปบ้านเมีย เร็วเข้า รีบไป…”
น้ำเสียงแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน บ่งบอกว่าอีกฝ่ายใกล้จะหมดแรงลง เธอจึงไม่มีทางเลือก เลยพาชายแปลกหน้ากลับไปที่ห้องพัก ซึ่งอยู่บนตึกแถวเก่าๆ เป็นห้องสี่เหลี่ยม ขนาดพอวางเตียงหกฟุตสองเตียงเท่านั้น และแน่นอนว่าเธอไม่มีเตียงนอน มีเพียงฟูกปูพื้นขนาดสามฟุต ส่วนพื้นที่ที่เหลือ เอาไว้วางตู้เสื้อผ้ากับตู้เย็นเล็กๆ (พี่หวานซื้อให้) มีห้องน้ำแยก แต่พื้นที่นั้นพอแค่วางโถชักโครกกับมีฟักบัวไว้ใช้อาบน้ำ
สภาพห้องคับแคบเหมือนรูหนู เมื่อพาชายแปลกหน้าเข้ามา เธอจึงรู้สึกอายมาก เพราะเขาเป็นผู้ชายคนแรกที่ได้เข้ามาเห็นสภาพความเป็นอยู่ของเธอที่จนกรอบไปถึงกระดูก
หมายถึงเงินในกระเป๋า ไม่ได้หมายถึงหุ่นที่อ้วนตุ๊ต๊ะ
“ขอกระดาษกับปากกา…”
กายแกร่งเปื้อนเลือด ทรุดตัวลงนั่งหน้าห้องน้ำ แล้วเอ่ยปากขอกระดาษกับปากกา ถึงเธอจะยังมึนงง แต่ก็รีบไปหยิบสิ่งที่เขาต้องการ ในกระเป๋านักเรียนมาส่งให้ เขารับสองสิ่งนี้ไป ก่อนจะเขียนบางอย่างลงในนั้น แล้วส่งกลับคืนให้เธอ
“ช่วยไปซื้อที่ร้านขายยาให้หน่อย…”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาลงเรื่อยๆ เธอเลยก้มมองสิ่งที่เขาเขียนลงในกระดาษ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ทำแผลและใบมีด
“ได้ค่ะ”
เธอตกปากรับคำ ทั้งที่ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ รู้เพียงแค่ว่า จะปล่อยให้เขาเสียเลือดตายในห้องของเธอไม่ได้ จึงรีบวิ่งหอบร่างอวบอั๋นลงจากตึกชั้นสอง ไปที่ร้านขายยาใกล้ๆ ซึ่งเธอรู้จักกับพี่เจ้าของร้าน ชื่อว่าปูเป้ เพราะแวะมาซื้อยาที่นี่อยู่บ่อยครั้งเวลาเจ็บตัวไม่ว่าจะโดนแกล้งหรือโดนพ่อตีก็ตาม
“ครั้งนี้เจ็บหนักเหรอตุ้ยนุ้ย ถึงได้ซื้อมีดผ่าตัดไปด้วย”
“คะ คือว่าหนูไม่ได้ซื้อให้ตัวเองค่ะ”
สาวเจ้าเนื้อพูดพลางหยิบเงินในกระเป๋า ที่เหลือเพียงแบงก์พันใบเดียวส่งให้ ทว่าเงินทอนที่ได้กลับมาไม่ถึงห้าร้อย เพราะค่าอุปกรณ์ทำแผลค่อนข้างแพง ไหนจะยาแก้ปวดนี่อีก
“ถ้าเจ็บหนัก น่าจะพาไปโรงพยาบาลนะ”
พี่ปูเป้เสนอ เพราะสิ่งที่ซื้อไปค่อนข้างเยอะ
“นะ หนูต้องรีบไปแล้ว ขอบคุณนะคะพี่ปูเป้”
เธอไม่มีเวลามาอธิบายในตอนนี้ เพราะสภาพของเขาแย่มากๆ จึงรีบยัดเงินทอนใส่กระเป๋าแล้ววิ่งกลับขึ้นไปบนตึก
กรึบ!
ประตูเหล็กถูกเปิดออกอย่างเร่งรีบ แต่แล้วก็ต้องชะงักตาค้าง เพราะชายแปลกหน้าอยู่ในสภาพล่อนจ้อน เขาฉีกเสื้อผ้าตัวเองออกไม่เหลือแม้แต่ชิ้นเดียว ทำให้เด็กสาววัยใส เห็นความเป็นชายที่ห้อยโตงเตงกลางหว่างขาเป็นครั้งแรก
“อย่าเพิ่งตกใจ รีบส่งถุงนั้นมาก่อน…”
เขาพูดดัก เมื่อเห็นว่าเธอตกใจจนแทบช็อก
เด็กสาวรีบหันหน้าแดงซ่านไปทางอื่น แล้วยื่นเพียงมือเพื่อส่งถุงอุปกรณ์ทำแผลให้เขา ก่อนจะปิดประตูห้อง แล้ววิ่งหนีลงจากตึก ไปยืนตบหน้าเรียกสติตัวเองอยู่ตรงบันไดชั้นล่าง เพราะไม่คิดว่าจะได้เห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็นตอนอายุเท่านี้
ตืดดด!
สายเข้าจากสมาร์ตโฟนรุ่นเก่าเรียกสติ ดึงความสนใจจากเด็กสาวให้รีบหยิบขึ้นมากดรับสาย พอนึกขึ้นได้ว่าต้องไปทำงานต่อก็รีบวิ่งไปที่รถมอเตอร์ไซค์แล้วขับออกไปทำงาน
หวังว่าเขาจะไม่เป็นอะไร และกลับไปก่อนที่เธอจะกลับห้อง เพราะเธอคงไม่กล้าสู้หน้า กับคนที่เห็นของเขาแล้ว