ด้วยขนมของสายหยุดนั้นเป็นของอร่อยเลื่องชื่อ แถมแม่ค้าสวยจนคนบอกต่อกันปากต่อปาก เพียงอาทิตย์ไม่ทันตั้งฉากกับศีรษะ ขนมที่สายหยุดตื่นมาทำแต่เช้าก็หมดเกลี้ยง
“ไป... กลับบ้านกัน” สายหยุดหันไปบอกกับคนเป็นน้องสาว หลังจากที่รับเงินค่าขนมชุดสุดท้ายมาเรียบร้อยแล้ว
“ขายดีขนาดนี้ ทำไมไม่รวย” น้องสาวแกล้งว่า จังหวะที่กำลังเก็บของ พะยอมเหลือบมองเห็นสายตาของแม่ค้าผักที่เพิ่งจะฉะกันไปเมื่อเช้า มองดูเธอกับพี่สาวด้วยสายตาริษยาก็นึกสนุก
“ดีนะที่ขายขนม ถ้าขายผักเนี่ย นั่งตะโกนจนคอแตก จนฟ้ามืดก็ไม่รู้จะขายหมดหรือเปล่า”
“พะยอม!” สายหยุดรีบร้องขู่น้องสาว เธอรู้ว่าเจตนาของพะยอมนั้น คือตั้งใจจะเย้ยยุพินกับแม่ของเธอ และเหมือนว่ามันจะได้ผลเสียด้วย
“อีพะยอม มึงว่าแดกกูกับแม่รึ” ยุพินลุกยืนขึ้น แล้วโวยวายทันที
“เปล่า... คนขายผักก็ตั้งเยอะตั้งแยะ แต่... จะว่าไปก็เก็บของกลับกันไปตั้งหลายคนแล้ว เหลืออยู่...ไม่กี่ร้านที่จนผักเหี่ยวแล้วก็ยังขายไม่ได้”
“อีพะยอม!!”
“พะยอม... อย่าถือสาเลยนะยุพิน เอ็งก็รู้ว่ามัน....”
“เอ็งก็รู้ว่ามันบ้า” ยายพิไลรีบแทรกขึ้น
“ใช่ ฉันเป็นคนบ้า พูดอะไรไปก็ไม่ได้คิดหรอก” พะยอมว่าขึ้นพลางหันไปยิ้มเยาะให้กับยุพิน หวังจะยั่วโมโห
“มึงรีบพามันกลับไปเลยนะอีสายหยุด ไม่งั้นเดี๋ยวกูได้ตบคนบ้าแน่” เมื่อได้ยินอย่างนั้น สายหยุดก็รีบเก็บข้าวของ แล้วพาน้องสาวเดินออกมาทันที
“เอ็งคุ้มดีคุ้มร้ายอะไรขึ้นมาอีกพะยอม ไปยั่วโมโหยุพินมันทำไม” ระหว่างที่กำลังจะเดินกลับ สายหยุดก็พูดขึ้น ตั้งแต่กลับจากโรงพยาบาล เธอรู้สึกว่าน้องสาวดูแปลกไป ถึงจะรู้ว่าพะยอมนั้นสติไม่ค่อยจะดี แต่ตอนนี้มันต่างไป
“ก็มันเริ่มก่อน ฉันอยู่ดี ๆ อยากมาทักว่าฉันตายทำไม”
“แล้วเอ็งจะเก็บมาใส่ใจทำไม ใครอยากพูดอะไรก็ช่างมันไปสิ เราต้องไปขายของที่นั่นทุกวัน ถ้าไปมีเรื่องมีราวกันใหญ่โต เอ็งจะไปหากินที่ไหนได้อีก” พะยอมไม่ได้พูดอะไรตอบ เธอเพียงแต่ถอนหายใจ แล้วหันหน้าหนีเท่านั้น
“ไป ข้าจะพาไปหาหมอหน่อย” สายหยุดพูดต่อ
“จะไปหาหมอทำไม ฉันไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”
“ก็ตั้งแต่เอ็งไปเป็นลมอยู่นายายดวน เอ็งดูแปลก ๆ ไป”
“ก็ฉันเป็นบ้า จะไปปกติแบบคนปกติได้ยังไง” ยิ่งพะยอมพูดแบบนี้ สายหยุดก็ยิ่งรู้สึกว่าพะยอมแปลกไป ถึงเธอจะเป็นอย่างที่พูด แต่พะยอมก็ไม่เคยรู้ตัวว่าตัวเองเป็นอะไร ไม่เคยแม้แต่จะพูดสักครั้งว่าตัวเองบ้า
“ไปเถอะ ไปให้หมอเขาดูเสียหน่อย ข้ามีน้องสาวคนเดียวนะพะยอม เกิดเอ็งเป็นอะไรขึ้นมาแล้วข้าจะทำยังไง” พอได้ยินพี่สาวพูดแบบนั้นพะยอมก็ไม่รู้จะปฏิเสธยังไงได้
สองพี่น้องพากันเดินตรงไปยังโรงพยาบาล โดยที่ตั้งของโรงพยาบาลนั้นอยู่ห่างจากตลาดออกไปไม่ไกล โดยมีบ้านของชาวบ้านใกล้เคียงตั้งอยู่เป็นหย่อม ๆ
“อ้าวสายหยุดเป็นอะไรมาเล่า” เสียงพยาบาลสาวใหญ่ร้องทัก เธอเป็นหนึ่งในลูกค้าประจำ ที่ชอบซื้อขนมของสายหยุด
“พาพะยอมมันมาตรวจหน่อย เมื่อวานมันไปเป็นลมอยู่กลางนา ตั้งแต่ฟื้นจนกลับบ้าน ฉันว่ามันแปลก ๆ ชอบกล หมออยู่ไหมจ๊ะ”
“อยู่ ตอนนี้กำลังไม่มีคนไข้เลย มาสิ ๆ” พยาบาลเดินนำสองสาวเข้าไปด้านใน พะยอมมองดูรอบ ๆ แล้วนึกในใจว่าสภาพดูไม่เหมือนโรงพยาบาลเลย
“สวัสดีจ้ะหมอ” สายหยุดยกมือขึ้นไหว้ ทักทายหมอหนุ่มที่กำลังเก็บข้าวของเตรียมตัวไปกินข้าวเที่ยง เขาละมือจากของบนโต๊ะแล้วหันมายิ้มตอบ
“เป็นอะไรมาครับ”
“ก็พะยอมน่ะสิหมอ ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้ มันดูแปลก ๆ ยังไงก็ไม่รู้ หมอช่วยดูมันหน่อยได้ไหมจ๊ะ” พะยอมยังคงเงอะงะหันมองไปทั่ว จนไม่ทันสังเกตว่าตอนนี้มีคนกำลังจ้องมองเธออยู่
“พะยอม... นั่งลงก่อนสิ” เสียงหมอร้องเรียกทำให้พะยอมหลุดจากความสงสัย เธอค่อย ๆ พยักหน้ารับก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ไม้ตรงข้ามกับหมอ
“เป็นไงบ้าง” หมอเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่น เขาเองเท่าที่มองดูพะยอมก็ไม่ได้รู้สึกว่าเธอ จะแปลกไปจากปกติตรงไหน
“ก็สบายดีนะคะ แต่บอกพี่สายหลายรอบแล้ว นางก็ไม่เชื่อ” หมอขมวดคิ้วงุนงง ‘นี่หรือเปล่านะ ที่พี่สาวของเธอว่าแปลก’ แต่ถึงอย่างนั้นหมอ ‘บุญฤทธิ์’ ก็เพียงแค่คิดในใจ แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทางประหลาดใจอะไรให้อีกฝ่ายรับรู้
“ไม่ได้มีความรู้สึกเจ็บตรงไหน หรือมีอาการแปลก ๆ อะไรใช่ไหม”
“อาการแปลก ๆ เหรอ อืม... ฉันว่าฉันจำอะไรไม่ได้ แบบนี้แปลกไหมหมอ” พะยอมพูดต่อ เธอคิดว่าความจริงแล้วที่เธอจำอะไรไม่ได้ เพราะตัวเองอาจจะไปเป็นลมล้มหัวฟาดก้อนหินหรืออะไรสักอย่าง ส่งผลให้ความจำเสื่อมก็ได้
“จำอะไรไม่ได้?”
“อืม ฉันไม่แน่ใจ ว่าตัวเองชื่อพะยอมจริงไหม แล้วก็รู้สึกไม่คุ้นกับที่นี่เลย เหมือนไม่เคยอยู่ที่นี่มาก่อน แต่เพิ่งมาอยู่ แล้วก็... ยังคิดว่าที่นี่ มีอะไรที่มันไม่ได้มีอยู่จริงด้วย อย่างเช่น ไฟฟ้า อินเทอร์เน็ต แต่ฉันบอกกับพี่สายแล้ว นางก็ไม่รู้จัก แถมยังหาว่าฉันเพ้อเจ้ออีก แต่พอฉันพยายามตามหาของที่ว่านั้นแล้ว มันก็ไม่มีจริง ๆ หรือมันเป็นส่วนหนึ่งของอาการบ้าที่ฉันเป็นอยู่” ยิ่งได้ฟังเธอเล่า หมอก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความผิดปกติจริง ๆ เดิมทีแม้พะยอมนั้นจะมีอาการขาด ๆ เกิน ๆ แต่เธอก็ไม่ได้พูดจารู้เรื่องแบบนี้ แม้ว่าตอนนี้พะยอมที่นั่งเล่าอาการอยู่ตรงหน้าเขา จะพูดถึงอะไรที่มันมีอยู่จริง แต่การที่เธอรับรู้ว่าตัวเองสติไม่สมประกอบนั้น ก็ดูจะเป็นเรื่องที่น่าแปลกมากจริง ๆ
“เป็นไปได้ไหมหมอ ว่าฉันอาจจะล้มหัวฟาด แล้วก็... ความจำเสื่อม” พะยอมยังคงเล่าต่อ
“เมื่อวานพะยอมไม่ได้ล้มหัวฟาด พะยอมเป็นลมกลางทุ่งนาว่างเปล่า พื้นดินไม่ได้แข็ง ดูจากเศษดินที่ติดหัวมา แถมยังมีฟางรองรับ และที่หัวก็ไม่ได้มีร่องรอยการถูกกระแทกอะไร หมอคิดว่า ที่พะยอมบอกไม่น่าจะเป็นไปได้” หมอบุญฤทธิ์ อธิบายอย่างใจเย็น
“แล้วทำไม... ฉันถึงเป็นแบบนี้ล่ะ”
“เอาเป็นว่า... หมอจะช่วยหาสาเหตุก็แล้วกันนะ แต่ตอนนี้ พะยอมไม่ได้เจ็บตรงไหน กลับบ้านไปก่อนก็แล้วกัน”
“เห็นไหมล่ะ ฉันบอกแล้ว ว่าฉันไม่ได้เป็นอะไร นอกจากเป็นบ้า” พะยอมหันไปบอกกับพี่สาว ตอนนี้เธอเริ่มคิดว่าเธอเป็นพะยอมจริง ๆ แล้วเรื่องที่คิดว่าตัวเองเป็นคนอื่น ก็คงเป็นอาการบ้าตามที่เธอเป็นอยู่
“ถ้ามันไม่ได้เป็นอะไรมาก ฉันขอตัวนะหมอ นึกขึ้นได้ว่าต้องไปหาซื้อของสักหน่อย ถ้าไม่ได้แวะมาโรงหมอ คงจะลืมไปแล้วแน่ ๆ ขอบใจมากนะหมอ”
“ครับ” หมอบุญฤทธิ์มองดูพะยอมและสายหยุดเดินจากไป ผ่านหน้าต่างห้องทำงานของเขา ‘เธอดูแปลกไปจริง ๆ’ พะยอมมักจะวนเวียนมาเล่นแถวนี้บ่อยครั้ง ทำให้หมอได้มีโอกาสพูดคุยและสัมผัสกับเธอจนค่อนข้างที่จะสนิท แต่พะยอมที่หมอรู้จักนั้น เธอมักจะเพ้อเจ้อถึงเรื่องความรักมากกว่า เธอมักจะเล่าให้หมอฟังว่าเธอไปหาคนรักของเธอมา พอถามว่าเป็นใคร เธอกลับทำท่าจุ๊ปากบอกว่าพูดไม่ได้
สายหยุดกับพะยอมเดินย้อนกลับมาที่ตลาดอีกครั้ง เพื่อหาซื้อวัตถุดิบบางอย่างสำหรับนำไปทำขนมในวันพรุ่งนี้
“เฮ้ย!! ไอ้โรคจิต” ระหว่างที่สายหยุดกำลังเลือกของ อยู่ในร้านขายของชำ พะยอมที่รออยู่หน้าร้านก็โวยขึ้น เธอถูกชายคนหนึ่งเข้ามาลูบที่ต้นขา ระหว่างที่กำลังนั่งเหม่อมองดูผู้คนผ่านไปผ่านมา ชายคนดังกล่าวตกใจหยัดตัวยืนขึ้นทันที ส่วนพะยอมนั้นก็ไวไม่แพ้กัน เธอรีบลุกขึ้นแล้วโวยวายลั่น ผู้คนต่างแห่ห้อมกันเข้ามามุงดู
“ไอ้บ้ากามนี่มันจับขาอ่อนฉัน มันลวนลามฉัน” พะยอมว่าพลางชี้มือไปที่ชายคนดังกล่าว
“พูดอะไรของมึง มึงสิบ้า ใครจะไปทำแบบนั้นกับคนบ้า” ชายคนนั้นรีบเถียง และดูเหมือนว่าชาวบ้านที่พากันมาดู จะเอนเอียงไปทางฝ่ายชายซะส่วนใหญ่
“มีอะไรกันพะยอม” สายหยุดรีบกุรีกุจอวิ่งออกมาดูน้องสาว เธอทิ้งทุกอย่างทันที เมื่อได้ยินเสียงพะยอมโวยวายขึ้น
“ก็ไอ้บ้านี่น่ะสิ มันมาลูบขาฉัน”
“อย่ามาพูดมั่วซั่วแบบนี้นะอีพะยอม เห็นข้าแบบนี้ข้าก็เลือกนะโว้ย ใครจะไปทำอย่างนั้นกับคนบ้า” ฝ่ายคนลวนลามยังคงยืนกรานเสียงแข็ง
“ก็เพราะเห็นฉันบ้าไง แกเลยมาคิดเอาเปรียบ ฉันไม่ยอมหรอกนะพี่ ฉันจะไปแจ้งความ”
“เสียงดังเอะอะอะไรกัน” เพราะคนที่มามุงดูเป็นจำนวนมาก บวกกับเสียงเอะอะของพะยอม ทำให้ตำรวจที่สัญจรผ่านมาแวะเข้ามาดูสถานการณ์
“ไอ้บ้านี่มันลูบขาอ่อนฉัน” พะยอมรีบร้องบอก แม้เครื่องแบบตำรวจจะไม่คุ้นตาเธอเอาเสียเลย แต่เธอก็พอจะเดาได้ว่า ชายคนที่เพิ่งเดินฝ่าวงล้อมไทยมุงเข้ามานั้น เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างแน่นอน
“อย่าไปฟังมันนะ อีนี่มันบ้า” ชายผู้ถูกกล่าวหารีบแย้ง
“เอาอีกแล้วเหรอแม่พะยอม คราวก่อนก็ไปแจ้งความว่ามีผัว มาคราวนี้หาว่าไอ้มั่นลวนลาม เฮ้อ...เสียดายจริง ๆ ถ้าไม่บ้าข้าคงให้แม่มาขอเอ็งไปแล้ว” แทนที่ตำรวจจะให้ความช่วยเหลือเธอ แต่กลับกลายเป็นว่า พะยอมถูกตำรวจลวนลามทางคำพูดเสียอย่างนั้น
“ปากเหรอที่พูดมาน่ะ ถึงฉันจะบ้า ก็ไม่ได้คิดจะเอาใครมาทำผัวมั่ว ๆ ยิ่งผู้ชายสกปรกแบบนี้ ฉันไม่มีทางเอามาทำพันธุ์แน่”
“นังพะยอม!!” นายตำรวจคนที่ถูกพะยอมต่อว่า ทำท่าจะพุ่งตัวเข้ามาทำร้ายพะยอม แต่ถูกมือหนาของคนที่ยศสูงกว่าคว้าเอาไว้
“เครื่องแบบที่ใส่ ไม่ช่วยเตือนใจเลยหรือไง ถึงได้จะทำร้ายชาวบ้านแบบนี้” เสียงทุ้มเอ่ยถามนายตำรวจผู้น้อย เขาก้มหน้ายอมอย่างศิโรราบ ด้วยยศที่ด้อยกว่า
“นายมั่น... เพิ่งจะมีเรื่องฉุดลูกสาวคนฝั่งแม่น้ำมาไม่ใช่หรือ มาวันนี้มาหาเอาเปรียบผู้หญิงอีกแล้ว อยากนอนคุกอีกหรือ” ด้วยเคยทำคดีลักษณะคล้ายกันของผู้ถูกกล่าวหามาแล้ว ทำให้นายดาบตำรวจพิชัย เชื่อว่าเขาทำอย่างที่พะยอมว่าจริง ๆ แม้ว่าพะยอมจะเป็นคนสติไม่สมประกอบก็ตาม
“ผม...”
“จะเอาเรื่องไหม ถ้าเอาก็ให้ไปคุยกันที่โรงพัก” นายดาบพิชัยหันไปถามผู้เสียหาย
“แค่ให้มันขอโทษก็พอ แล้วอย่ามาทำแบบนี้กับฉันอีก ถ้ามีครั้งหน้าล่ะก็ ฉันเอาเรื่องแน่” พะยอมไม่อยากจะมีเรื่องราวใหญ่โต อีกอย่างเธอก็ไม่ได้เสียหายอะไรมาก
“ขอโทษ...” คนทำผิดรีบทำตามคำขอ ท่ามกลางสายตาชาวบ้านที่มองดูเขาด้วยความสมเพช
“ไม่มีอะไรแล้วก็แยกย้าย แล้วอย่าให้มีเรื่องแบบนี้อีก”
“ครับ” นายมั่นเมื่อพูดจบก็รีบปลีกตัวหายไปทันที
“ขอบคุณมากนะจ๊ะนายดาบ” สายหยุดรีบยกมือไหว้ขอบคุณ นายดาบตำรวจพิชัยนั้น ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่ว ตั้งแต่เขามาประจำการอยู่ที่นี่ปัญหาขโมยขโจรแทบไม่มีให้เห็น อีกทั้งยังเอาจริงเอาจังกับทุกชนชั้น แม้อายุยังน้อยแต่ผลงานและความสามารถเกินตัวจนเป็นที่ยอมรับ
“ไม่มีอะไรแล้วผมขอตัว” พะยอมมองดูนายตำรวจเดินจากไปจนลับตา การเจอกันครั้งนี้ทำให้เธอประทับใจเขาเหลือเกิน แม้จะไม่รู้จักว่าเขาเป็นใครก็ตาม