แฮ่กๆๆๆ ฉันหอบหายใจพลางวิ่งตามแรงดึงของร่างสูง ขายาวก้าวฉับๆ อย่างไม่เว้นจังหวะให้พักหายใจ ให้ตายสิ นี่เขาคิดว่ากำลังอยู่ใน The maze runner หรือไง วิ่งเหมือนรีบไปตายงั้นแหละ!
“เซฟ!” ฉันร้องเรียกเมื่อวิ่งได้มาครู่นึงและพบว่าเจ้าแก๊งหนวดนั่นไม่ได้ตามมาสักกะนิด เหงื่อไคลเริ่มไหลย้อยเพราะความร้อนอบอ้าวมหันตภัยของประเทศไทย หน้าเริ่มเมือกแบบ… ควรหดหัวอยู่ในรูกระดอง แทนที่จะมาเสนอหน้าอยู่สี่แยกไฟแดงที่รถติดเป็นแถวเหมือนตอนนี้!
“นี่ พวกนั้นไม่ได้ตามมาแล้ว” ฉันกระตุกแขนเสื้อเขาจนกระทั่งร่างสูงเริ่มชะลอฝีเท้าและหันขวับกลับไปมองด้านลัง ก่อนจะถอนหายใจยาวราวกับโล่งอก ให้เดานะ เขาต้องไปทำอะไรล่อส้นตีนพวกนั้นแน่ๆ ถึงวิ่งหนีซะขนาดนี้
แล้วคือยังไง ทำไมฉันต้องวิ่งตามมาด้วยฟะ ฉันไม่เกี่ยวด้วยสักหน่อย ไอ้พวกหน้าหนวดนั่นก็ดูไม่เห็นจะเท่าไหร่ ลองมาทำอะไรเซฟดูเซ่! ฉันจะจับมันถอนขนหน้าแข้งทีละเส้นเอาให้เข็ดยันบรรพบุรุษต้นตระกูลตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยายังไม่แตกเลย!
ร่างสูงหยุดยืนนิ่งครู่นึง แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าสีชมพูขึ้นมาซับเม็ดเหงื่อเบาๆ อย่างน่ารักน่าชังก่อนจะปรายตามามองฉัน พวกเรากำลังยืนอยู่บนทางเดินข้างๆ สี่แยกไฟแดงแถวบ้านฉัน เราสาวเท้าวิ่งกันมาประมาณเกือบกิโลได้ ฉันมีคำถามมากมายอยู่ในหัวว่าไอ้หนวดพวกนั้นมันคือใคร หนีทำไม แล้วเกิดอะไรขึ้นหากแต่ว่าการกระทำของคนตรงหน้าทำเอาสมองของฉันโล่งเตียนไปหมด
“ร้อนไหม?” เสียงอ่อนนุ่มถามขึ้นพร้อมกับทิชชู่ในมือยื่นมาแปะเข้าที่ข้างขมับของฉันเบาๆ “โทษทีนะ เราพาวิ่งจนเหงื่อเธอออกเลย”
พ่อคะ หนูจะเอาคนนี้ หนูจะเอา กรี๊ดดดดดดดดดดด!
นี่ฉันไม่รู้ว่าเขาเป็นคนแบบนี้อยู่แล้วหรือเขาตั้งใจจะอ่อยฉันกันแน่ ถ้าอย่างหลัง บอกเลยว่าโคตรได้ผลอ่ะ! พอเขาทำแบบนี้ฉันรู้สึกเหมือนตัวร้อนรุมๆ ยิ่งกว่าไข้สูงสี่สิบองศา ใบหน้าเริ่มกลายเป็นสีแดงขึ้นทุกขณะ
“เฮ้ย ไม่เป็นไรเราชอบวิ่ง” ฉันยิ้มอยากจะม้วนตัวเป็นกิ้งกือเพื่อหนีสายตาและท่าทีของเขาจริงๆ ทำไมวะ ทำไมแม่งน่ารักได้ขนาดนี้วะ! พระเจ้าตอบที นี่ลำเอียงใช่ปะ! หน้าพี่ชายฉันแต่ละคนพอเทียบกับเขาแม่งเหมือนเทวดากับขี้หมาแห้งเลยอ่ะ โคตรจะไม่ยุติธรรม
“อ้าวเหรอ นึกว่าชอบเรา” น้ำเสียงเย้าหยอกดังขึ้นพร้อมกระตุกยิ้มน่ารักตามฉบับของเขาทำเอาฉันอยากจะลงไปแดดิ้นกลางสี่แยกไฟแดง โอ๊ย ถ้ามีใครจะตาย ช่วยยกผู้ชายคนนี้เป็นมรดกตกทอดแก่อีหลินคนนี้ทีเถอะนะ! จะน่ารักไปไหน ไม่เกรงใจฉันเลยอ่ะ หัวใจฉันจะวายแล้วนะเฟ้ย!
“นี่อ่อยปะ? ถ้าอ่อยจะได้เก็บเอาไปฟิน” ฉันแสร้งนิ่ง
“ไม่รู้ หลินว่าไง?” ร่างสูงยิ้มหวานก่อนจะถามกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มชวนหลงใหล
“ก็ไม่ว่าไงอ่ะ เราไม่อยากคิดไปเอง เดี๋ยวจะเพ้อเจ้อ” ฉันตอบตามความคิด แหงล่ะ ถ้าเขาไม่ได้ชอบฉันหรือให้ท่า แต่ว่าเป็นนิสัยที่ทำกับใครๆ ฉันก็ไม่เสี่ยงหรอกปะวะ? ทำไมต้องหาเรื่องให้ตัวเองเจ็บ แค่นี้ก็หลงจะตายห่าแล้วเนี่ย!
“ว่าแต่ว่าเมื่อกี้ เซฟวิ่งหนีพวกนั้นทำไมอ่ะ คู่อริเหรอ?” ฉันเปลี่ยนเรื่องก่อนที่เขาจะแกล้งให้ฉันชักกระแด่วๆ เพราะเขินตายซะก่อน ร่างสูงถือทิชชู่แล้วยื่นให้ฉันจัดการกับเบ้าหน้าของตัวเองพลางเดินนำไปยังป้ายรถเมล์ใกล้ๆ ในระยะสายตาประมาณห้าสิบเมตร
“เปล่าหรอก” เขาตอบเสียงนาบนิ่ง แต่ฉันไม่เชื่อ เอิ่ม วิ่งเหมือนควายหายขนาดนั้นจะบอกว่าไม่ใช่คู่อริเนี่ยนะ มันจะมีเหตุผลอะไรให้หนีนอกจากกลัวโดนเขากระทืบวะ?
“เฮ้ย ถ้ามีปัญหาอะไรบอกเราได้นะ เราช่วยได้” ฉันออกตัวก่อนจะชูแขนสองข้างทำท่าเบ่งกล้ามเสมือนแข็งแกร่งที่สุดในโลกหล้า ความจริงก็เปล่าหรอก ก้างแห้งๆ ทั้งนั้นอ่ะ ฉันอวดดีไปงั้นเอง ไม่ได้เก่งอะไรเลย สู้แค่ตายอ่ะ
“จะช่วยยังไง ตัวเล็กแค่นี้” เขาหัวเราะแล้วปรายสายตาลงมามองบ่งบอกความสูงกะทัดรัดขนาดร้อยห้าสิบห้าเซนติเมตรของฉันแบบสุดๆ
“ก็ให้พวกมันไปต่อยกับเพื่อนเรา เพื่อนเราเยอะ” ฉันบ่ายเบี่ยงให้ไอ้นับ ไอ้โจ้ ไอ้เจทันที ก็งี้แหละ เพื่อนมีไว้ทำไม ต้องช่วยกันเวลาฉุกเฉินดิ มันคงไม่อยากเห็นหน้าฉันมีรอยฟกช้ำดำเขียวหรอกน่า
“ขอบใจนะ แต่ไม่ต้องหรอก เมื่อกี้มันแค่คนรู้จักเราเฉยๆ” ร่างสูงหัวเราะกับความคิดของฉันก่อนจะไหวไหล่เป็นเชิงว่าไม่ได้มีอะไรซีเรียสขนาดนั้น ฉันหรี่สายตามองหน้าเขาอย่างจับผิด หากแต่น้ำเสียงและท่าทีของเขานิ่งเกินจะบอกว่าโกหก
“ตลกล่ะ ใครจะไปเชื่อ ถ้าเป็นแค่คนรู้จักเซฟจะวิ่งหนีทำไม?” ฉันเลิกคิ้วไม่เข้าใจ หากแต่คำตอบของเขากลับทำให้ฉันงงเป็นไก่ตาแตกหนักกว่าเก่า ก็เขาน่ะ…
“ก็เราขี้เกียจคุยอ่ะ เราเลยวิ่งหนี”
นี่มันเหตุผลประเภทไหนกันวะเนี่ย!
Save says…
“พรุ่งนี้เจอกันหน้าตึกแปด สักเที่ยงๆ เนอะ” ผมกล่าวสรุปหลังจากที่เธอพยายามซักไซ้ผมเรื่องที่วิ่งหนี จริงๆ มันก็ไม่ได้มีอะไรหรอก ก็อย่างที่ผมบอก ผมแค่ขี้เกียจคุย... ไม่ได้หนีเพราะเป็นคู่อริเก่าก่อนเลยนะจริงๆ
คนตัวเล็กทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ ผมก็ห้ามความคิดเธอไม่ได้หรอก ผมไม่มีอะไรปิดบัง แค่ขี้เกียจ... ไม่มีใครเข้าใจก็ช่างเถอะ เรื่องมันยาวอ่ะ ถ้าให้อธิบายคงตายก่อนจบ
“อย่ามาสายนะ” ผมย้ำเธออีกรอบก่อนจะนึกครึ้มอกครึ้มใจลูบหัวคนตัวเล็ก หลินเป็นคนที่ตัวกะทัดรัดเหมือนหมากระเป๋าที่ผมเลี้ยงไว้ที่บ้านมาก เห็นแล้วอยากจะพุ่งเข้าไปกอด แต่เหตุผลผมมันไม่น่าฟังเท่าไหร่นัก ผมเลยอยู่เฉยๆ ดีกว่า
ตอนที่หลินลากผมออกมาจากลานคณะ ผมก็ตกใจอยู่หรอก แต่พอคิดไปคิดมา ผู้หญิงตัวเล็กๆ นี่จะทำอะไรผมได้ ก็เลยยอมมาด้วยอย่างสงบเสงี่ยม นึกว่าจะไปไหน ที่แท้ก็แค่พามากินบะหมี่... แถมอยู่แถวโรงเรียนเก่าผมอีกต่างหาก
ถ้าผมเจอเพื่อนเก่าคงโดนล้อตายชัก ไม่เอาอ่ะ ไม่อยากอยู่นาน
“จะกลับบ้านแล้วใช่ไหม เดี๋ยวเราไปส่ง” เธอยังไม่ล้มเลิกความคิดที่จะไปส่งผมที่บ้าน ผมหัวเราะก่อนจะยื่นกระเป๋าคืน
“ไปไม่ได้... ดุ” ผมกระซิบเสียงเบา
“หมาเหรอ?”
“เปล่า แม่”
จริงๆ นะ แม่ผมน่ะ เหมือนนางยักษ์ชัดๆ ถ้าหลินไปที่บ้านคงโดนซักประวัติยาวถึงเช้าแน่ๆ ผมก็ขี้เกียจตอบคำถามด้วย เหนื่อย ง่วง และอยากนอน ผมต้องรีบหาคนมาเข้าร่วมเยอะๆ เพื่อที่จะได้เลื่อนจากกลุ่มนิสิตเป็นชมรมไวๆ
‘กลุ่มนิสิต’ มีลักษณะคล้ายๆ ชมรม แต่เพราะคนน้อยเลยยังเป็นชมรมไม่ได้ ทำให้ทำเรื่องเบิกงบประมาณและดำเนินการอะไรวุ่นวายมากกว่า ผมเลยพยายามหาคนมาเข้าร่วมเยอะๆ ให้ครบห้าสิบคนเพื่อจะเลื่อนสถานะจากกลุ่มนิสิตเป็นชมรม
และตอนนี้ก็ขาดอยู่ไม่ถึงสิบคน ตอนนี้มีหลินแล้วหนึ่ง ส่วนคนอื่นๆ ก็มีพวกน้องๆ ในชมรมช่วยกันชวนๆ มา ผมว่าผมจะชวนไอ้เครย์และไอ้เหมือนฟ้าเข้าชมรมผมด้วย แต่ยังนึกไม่ออกว่าจะชวนมันยังไงดี
“แม่ดุ?” หลินเลิกคิ้วสูง
“อื้ม ขืนหลินไปเดี๋ยวแกมาวุ่นวายมากเรื่อง เอาไว้วันหลัง ว่างๆ วันที่แม่ไม่อยู่ค่อยไปบ้านเราเนอะ”