บทที่ 3 อ๋องสี่ โม่หราน
ที่วังหลวง
อ๋องสี่ หรืออ๋องโม่หราน หลังจากประชุมกับเหล่าข้าราชสำนักเสร็จสิ้นแล้ว ท่านอ๋องก็จะต้องกลับพระตำหนัก แต่ในขณะที่กำลังย่างก้าวไปที่ม้าของตน ประสาทสัมผัสของท่านอ๋องก็จับสัญญาณได้ว่า คนของตน กำลังมุ่งตรงมาทางนี้
ขาแกร่งของท่านอ๋องก็ชะงัก ยืนเคียงกับม้าศึกตัวโตนิ่ง ๆ รอคอยการมาถึงขององครักษ์ คงเกี่ยวกับพระชายาทั้งสี่เป็นแน่ อ๋องโม่หรานเบื่อเต็มที ทุกวันนี้แทบไม่ได้ไปที่ตำหนักของพระชายาเลย นับได้คงสามเดือนแล้ว
พรึ่บ !
องครักษ์ เว่ยเทียน
“คาราวะท่านอ๋องขอรับ” เว่ยเทียนทำความเคารพผู้เป็นนาย
“มีอะไรมารายงานข้า เว่ยเทียน” อ๋องโม่หรานถามองครักษ์ของตน ด้วยใบหน้าที่เรียบนิ่ง
“เกี่ยวกับพระชายารองลำดับสองขอรับ” เว่ยเทียน
“เหม่ยฮวา…นางมีอะไร หรือทำอนุคนไหนอีก” น้ำเสียงเบื่อหน่าย และรำคาญ
“พระนาง บุกไปที่ตำหนักของอนุเฟยขอรับ” ชื่อที่ออกมาจากปากของเว่ยเทียน ทำให้อ๋องสี่ ชะงัก
“….อนุเฟย งั้นเหรอ…” จริงสิ ท่านอ๋องลืมไปเลย ว่ามีอนุชื่อนี้อยู่
“ขอรับ…หรือว่า ท่านอ๋องลืมไป ว่ามีอนุเฟยอยู่ด้วย” คนสนิทถาม
“อืม ข้าลืม”
“…” เว่ยเทียน
“แล้วเหม่ยฮวานางทำอะไรอนุเฟย” ถามไปเรื่อย ๆ ไม่ได้สนใจอะไร
“พระนางกล่าวว่าที่พระชายารองลำดับหนึ่งและรองลำดับสาม รองลำกดับสี่ ที่ตบตีและจับอนุเฟยกดน้ำเมื่อวาน ทำไมอนุเฟยไม่ตายขอรับ” รายงานเรื่องที่เขาเองก็เจ็บใจ ตนนั้นมีหน้าที่สอดส่องหาสิ่งผิดปกติภายในตำหนักแท้ ๆ กลับดูแลไม่ทั่วถึง ทั้งองครักษ์ก็มีเป็นขโยง
“ตบตีและจับกดน้ำ” อ๋องโม่หรานพูดเสียงกร้าว
“ขอรับ”
“บังอาจมากจริง ๆ กล้าที่จะฆ่าคนในตำหนักของข้าได้งั้นเหรอนี่ คงถือตัวว่าบิดาเป็นอำมาตย์ของฝ่าบาท ถึงได้ทำแบบนี้กับใครก็ได้ ข้าคงปล่อยให้อหังการแบบนี้ต่อไปไม่ไหว” กล่าวเสร็จ ท่านอ๋องก็หันไปลูบใต้คอ ที่มีแผงขนนุ่ม ๆ ของเจ้ามาสีดำ พลางเอ่ยขึ้น
“มู่กวา…เจ้ากลับไปเองนะ ข้ามีธุระต้องรีบไปจัดการ” พูดกับม้าตัวโตสีดำ
“ฮรี้ ๆ ๆ ๆ ๆ” มู่กวาร้องฮี้ ก่อนที่จะควบตะบึงไปที่ประตูด้านหน้าของมหาราชวัง สายตาของอ๋องสี่ มองตาม แล้วก็กระโดดทีเดียวไกลลิบ เว่ยเทียนก็กระโดดตามทันที
ที่พระตำหนัก จินจินเฉิง ของอ๋องสี่
กายสูงใหญ่มุ่งหน้าไปที่ตำหนักเล็ก เทียนหลันเซ่อ ของอนุเฟยจู ก่อนจะลงสู่พื้นดิน แล้วตรงเข้าไปด้านใน ที่ตอนนี้มีเสียงเอะอะดังขึ้น ไม่ขาดระยะ
“คาราวะท่านอ๋อง” องครักษ์โอวหยูก้มหัวให้ผู้เป็นนาย
“อืม” ขาแกร่งก้าวเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว
ในตำหนักของเฟยจู
เพียะ !
เสียงตบดังสนั่นไปทั่วห้อง ทำให้นางกำนัลแฝดร้องเอะอะทันที
“อนุเฟย…พระชายารองลำดับสอง ท่านทำอะไร” หนิงเจียวทนไม่ไหว เอะอะก็ทำร้ายแต่อนุเฟย ทั้งที่เจ้านายของตนไม่เคยได้ทำอะไรให้กับใคร
“นางกำนัลชั้นต่ำอย่างเจ้า กล้าขึ้นเสียงกับข้างั้นเหรอ” พระชายาเหม่ยฮวาตวัดเสียงใส่ คู่แฝดก็ก้มหน้าลง แต่ก็ยังพูดต่อ
“ก็พระชายาตบอนุเฟยนี่เจ้าคะ” พูดพร้อมกันอีก ทำให้จินลู่อดจะขำไม่ได้ หูของเธอนั้นได้ยินแล้ว ว่ามีคนกระโดดลงมาจากฟ้า แล้วมุ่งตรงมาที่ตำหนักของเธอ จะต้องเป็นอ๋องสี่แน่
“เจียวเอ๋อร์ หนิงเอ๋อเจ้า…ไม่ต้องพูด” ผู้เป็นนายปราม
“แต่ว่า” สองแฝดค้าน
“ข้าโดนตบ โดนกระทืบ ทั้งถูกเฆี่ยน จับกดน้ำ ข้ายังไม่ตายเลย แค่ถูกตบหน้าเพียงแค่นี้ มันเล็กน้อยสำหรับข้ามาก” พูดไปงั้นแหละ แต่ที่พูดออกไป ก็เพื่อหวังผลทั้งนั้น เพราะรู้ว่า อ๋องนั่น มาถึงแล้วต่างหาก ไม่อย่างนั้น คงไม่ยอมให้อีกคนตบเธอหรอก
“ฮึ พวกเจ้ามันน่าตบทั้งนายทั้งบ่าวเสียจริง” พระชายาเหม่ยฮวาพูดขึ้น
“เจ้าน่าจะตายไปตั้งแต่ นังเสวี่ยนซ่านสั่งให้บ่าวกระทืบ และถูกจับกดน้ำ ไม่น่ารอดชีวิตมาให้ข้าเห็นหน้าเลย” น้ำเสียงเกลียดชังของเหม่ยฮวาที่มีต่อเฟยจู มันทำให้คนที่ได้ฟังทั้งสอง ถึงกับไม่พอใจ
จินลู่ในร่างของเฟยจู แค้นแทบกระอัก ที่พวกนางเกลียดชังคนที่สู้ไม่ได้สักอย่าง จนถึงขั้นอยากฆ่าให้ตายได้แบบนี้ ส่วนอ่องสี่ ไม่พอใจ ที่คนเป็นถึงพระชายา แต่คิดฆ่าคนที่เป็นเพียงอนุ เห็นที่จะปล่อยเอาไว้ไม่ได้เป็นแน่
“พวกเจ้าช่างกล้า ถ้ากล้าแบบนี้ ก็กลับไปใช้ชีวิตอยู่ที่จวนของพวกเจ้าเถอะนะ ไม่ต้องมาเป็นพระชายาของข้าหรอก ฮวาเอ๋อร์” เสียงของผู้เป็นใหญ่เอ่ยขึ้น ทำให้ทุกคนตกใจ โดยเฉพาะ พระชายารองสอง
“ทะ ท่านอ๋อง” เหม่ยฮวาตะกุกตะกัก
“ใช่ ข้าเอง เจ้าตกใจทำไม กล้ามากนี่นาเมื่อครู่ กล้ามาตบตีอนุ ผู้ที่ไม่มีทางสู้ ทั้งยศ ทั้งอำนาจ แต่เจ้าและพระชายาอีกทั้งสามก็ยังคงทำร้ายคนอื่นอยู่อีก” อ่องโม่หราน เสียงกร้าวหนัก เขาไม่พอใจที่กล้ามาทำแบบนี้ในตำหนักของตน
“เจ้า อนุเฟย เจ้าลุกขึ้นไหวไหม” อ๋องสี่ถาม
“ไหวเจ้าค่ะ” น้ำเสียงที่เด็ดเดี่ยวนั่น ทำให้คิ้วเข้ม ๆ ของอ๋องโม่หรานขมวดฉับ นางกำนัลแฝดรีบเข้าไปพยุงผู้เป็นนายลุกขึ้น เมื่อลุกขึ้นเรียบร้อย จินลู่ก็ก้มหน้า ไม่มอง ตามคุณลักษณะของอนุ ที่ไม่กล้ามองหน้าเจ้าชีวิต เอ่อ ว่าแต่ เธอดูหนังจีนกำลังภายในมากไปรึเปล่านะ ก็ที่นี่มันคนละมิติกับเธอนี่นา มันต้องมีอะไรที่แตกต่างกันบ้างแหละ ที่แน่ ๆ คำพูดนี่ไง ที่ไม่เหมือน
แต่ก็นะ ซีรี่ย์ที่ได้ดูก็แค่การสมมุติ ไม่มีใครรู้ว่า คนโบราณพูดกันจริง ๆ มันเป็นแบบไหน
อ๋องสี่ เห็นว่าอนุของตนเอาแต่ก้มหน้า แต่กลับไม่มีการตัวสั่นเหมือนคนที่หวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย ก็สะดุดใจ อยากรู้ขึ้นมา ว่าทำไม สิ่งที่ทำแต่ละอย่างมันถึงดูสวนทางกันแบบนี้
“อนุเฟย เจ้าเงยหน้าขึ้น ข้าอยากเห็น ว่าใบหน้าของเจ้า มีอะไร ที่มีมากกว่าตบ” คำพูดของอ๋องสี่ทำให้จินลู่ฉุกคิดขึ้นมาได้ ว่าตนนั้นลบรอยพวกนั้นออกหมดแล้ว และจะหาหลักฐานมาจากไหน จึงรีบหลับตา ตั้งสมาธิกำหนดจิตทันที
= ทำให้ข้ามีรอยจากการทุบตี แบบเมื่อวาน =
พลัน ! เนื้อตัวก็มีรอยแดงและเขียวช้ำ จากการถูกทุบตี และการถูกจับกดน้ำ รวมทั้งสด ๆ ร้อน ๆ นั่นคือการถูกพระชายารองลำดับสองตบ
อนุเฟยจูเงยหน้าขึ้น เพื่อให้คนที่มีอำนาจได้เห็นชัด ๆ
ดวงตาคมของอ๋องสี่ จับจ้องทุกการกระทำของอนุ ไม่รู้ทำไมที่จะต้องสนใจในตัวของอนุคนนี้ด้วย ทั้งที่ผ่านมาสองปี ตนเองไม่เคยเหลียวมองหาแม้แต่นิด
เมื่อเฟยจูเงยหน้าขึ้น สายตาของโม่หรานก็ประสานเข้ากับดวงตากลมโต ที่สว่างใสแจ๋ว ของอนุลำดับที่ยี่สิบแปดของตน ทุกอย่างมันวาบเข้าสู่กลางใจของอ่องโม่หราน จน ณ จังงังไปชั่วขณะ
และไม่ใช่แค่อ๋องโม่หรานเท่านั้น จินลู่ในร่างของเฟยจูก็เช่นกัน หัวใจของนายทหารหญิงเต้นโครมคราม จนแทบระงับไม่ได้
= เหวยย นี่ฉันเป็นอะไรนี่ =
“ท่านอ๋องขอรับ” เว่ยหยูเอ่ยขึ้น ท่านอ่องพลันได้สติ ก่อนจะเสไปมองพระชายารองลำดับสองของตนแทน
“เหม่ยฮวา เจ้าทำในเรื่องที่เลวร้ายในตำหนักของข้า เจ้านึกว่าบิดาของเจ้าเป็นแม่ทัพใหญ่ แล้วข้าจะไม่ทำอะไรเจ้างั้นเหรอ ทุกคนจงฟังคำสั่ง” เจ้าของจวนเอ่ย ทำให้ทุกคนคุกเข่าก้มหัวลง
“นำพระชายารองลำดับสองไปเฆี่ยนยี่สิบไม้ ปลดออกจากตำแหน่งพระชายา และให้เป็นบ่าวอยู่หนึ่งเดือน จากนั้นส่งกลับตระกูลเดิม” ร้ายแรงและเด็ดขาดมาก
“ขอรับ” เหล่าองครักษ์รับคำ ก่อนที่อดีตพระชายารองลำดับสอง ร้องไห้ดังลั่น
“ท่านอ๋อง เมตตาข้าด้วย ฮึก ฮือ” นางตัวสั่นระริก
“เมตตาเหรอ จะให้ข้าเมตตาเจ้าแบบไหนกัน ในเมื่อเจ้าทำของเจ้าเอาเอง เอาตัวไป” สั่งเสียงเข้ม จนทำให้บ่าวไพร่ของเหม่ยฮวาต่างตกใจที่เห็นพระชายาของตนถูกลงโทษ ทำให้ฉี่ไหลทันที
“นำตัวนางกำนัลและบ่าวไพร่ของเหม่ยฮวาไปทำโทษ โดยเฆี่ยนสิบไม้ และให้ออกจากที่นี่” กำจัดทุกเสี้ยนหนาม
“ขอรับ”
“ฮือ ท่าน อ๋อง พวกข้าผิดไปแล้ว” เสียงคร่ำครวญของบ่าวไพร่ ไม่ได้ทำให้โม่หรานเห็นใจแม้แต่น้อย
“ไปตามตัวพระชายาที่เหลือ มาที่นี่ ข้าจะล้างบางให้หมด” คนเป็นใหญ่เอ่ยขึ้น
“ขอรับ” เหล่าองครักษ์ต่างก็รีบไปทำตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว สายตาของอ่องสี่ มองไปที่อนุของตน พลางสำรวจไปทั่วร่าง แล้วก็สั่งเสียงเข้มขึ้นอีก
“อนุเฟย เจ้าถลกแขนเสื้อขึ้นหน่อย ข้าอยากเห็นว่า นอกจากใบหน้าของเจ้าแล้ว มีอะไรบ้างที่มีริ้วรอย” ในเมื่อท่านขอมา จินลู่จึงจัดให้
“ข้าถูกพระชายารองลำดับหนึ่งและรองลำดับสาม รองลำดับสี่ตบตี และมีการสั่งให้บ่าวผู้ชายกระทืบข้า และพระชายารองลำดับสาม ก็จับข้ากดน้ำด้วยเจ้าค่ะ” ได้ที ฟ้องใหญ่เลย ไหน ๆ แล้ว ก็ต้องเอาให้คุ้มสิ ในเมื่อทำกับเฟยจูมาเป็นแรมปี แล้วเธอจะปล่อยเหรอ เฮอะ ฝัน
ดวงตาของอ๋องโม่หรานลุกวาบขึ้น เมื่อได้ยินแบบนั้น ก่อนที่สายตาจะมองตามมือเรียวสวยของอนุเฟยจู อย่างตั้งใจ ซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ต้องอยากเห็นขนาดนั้น
เฟยจูถลกเสื้อขึ้น ก็เห็นรอยแดงช้ำปนเขียว ที่มันน่าจะอักเสบ ดีไม่ดี ก็คงติดเชื้อแหละ โชว์ท่านอ๋องแบบตั้งใจ พลางแกล้งครางเหมือนแผ่วเบาเจ็บปวด แต่คนที่มียุทธ์สูงอย่างท่านอ๋องและเหล่าองครักษ์ทั้งหลายก็ได้ยินอย่างชัดเจน
ฝ่าเท้าของอ๋องสี่ก้าวเข้าไปหาอนุคนที่ไม่เคยโปรดปราน แล้วจับแขนเรียวนุ่มขึ้นมาพิจารณา แล้วก็ยิ่งพิศวงหนัก ว่าทำไม แขนของอนุ ถึงได้นุ่มมากขนาดนี้
= ทำไมแขนของอนุเฟยนุ่มจัง ถ้าลูบไปเรื่อย ๆ จะนุ่มลื่นแค่ไหนนะ = จู่ ๆ ก็คิดอยากจะลูบขึ้นมา มือแกร่งที่จับแต่กระบี่และร่ำเรียนวิชาต่าง ๆ ลูบไล้เรียวแขนของอนุลำดับยี่สิบแปด อย่างลืมตัว
ร้อนถึงจินลู่ในร่างของเฟยจู ถึงกับขนลุก ร้อนผะผ่าวไปทั่วร่าง
= อีตาอ๋องบ้านี่ ลูบทำไมอ่ะ เสียวนะ = อนุคนงามเกิดรอยแดงปื้นขึ้นที่ใบหน้าเนียนสวย เธอห่างหายการช่วยตัวเองมานาน จะเกิดมีอารมณ์มันก็ไม่แปลกหรอก
ส่วนคนลูบกลับไม่รู้ตัวสักนิด ทำให้เว่ยเทียนและโอวหยูที่มองอยู่ เกิดตาค้างขึ้นมา มองดูเจ้านายทำต่อหน้าใครหลายคน ก็เกิดจะรับไม่ได้ รีบกระแอมกระไอขึ้นมาทันที
“เอ่อ ท่านอ๋องขอรับ” เสียงองครักษ์คนสนิทดังขึ้น ทำให้อ๋องโม่หรานชะงักมือ ที่กำลังลูบ แล้วตีหน้านิ่ง สำรวจลำแขนกลมกลึงนั้นอย่างตั้งใจ แต่ในหัวใจดวงโต กลับเต้น ตึ่ก ตึ่ก รัวเร็ว
จินลู่มองอาการของท่านอ๋องหนุ่ม ก็หลุบตา ยกแก้มขึ้น โดยที่ไม่มีใครจะทันได้รู้ตัว อนุคนสวยเลิกเสื้อขึ้นไปเรื่อย ๆ เหมือนให้อ๋องสี่สำรวจ แต่ความจริงกะจะยั่วนั่นแหละ โทษฐานที่ปล่อยปละละเลยเฟยจู จนถูกทำร้ายและตายไปอย่างทรมาณ เพียงคิดขึ้นมา ดวงตาก็วาววับ แล้วเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบาเจือสะอื้นเล็ก ๆ
“ข้าถูกทำร้ายมานานนับแรมปี แต่ไม่มีแม้สักคนจะรู้ ว่าข้าต้องเจ็บปวดและทรมาณมากแค่ไหน ข้าหายใจมาได้ทุกวันนี้ ไม่มีใครรู้เลยว่า ในใจของข้า มันมีแต่ร่องรอยของความเจ็บปวด อยู่ทุกอณู ท่านอ๋องรู้ไหมเจ้าคะ” ถามเสียงสั่นระริก บาดหัวใจคนฟังทุกคนได้เป็นอย่างดี
“…ข้า ไม่รู้” ท่านอ่องเองก็อึ้งไปเช่นกัน ความปวดร้าวมาจากไหนก็ไม่รู้ มันพุ่งขึ้นมาเกาะกุมในใจ เมื่อรับรู้ว่า คนร่างเล็ก ๆ แต่เย้ายวนใจคนนี้ ต้องถูกตบตีและถูกกระทืบแบบไหน หัวใจแกร่งก็บีบรัดอย่างรุนแรง จนร่างสูงใหญ่ ก็เซไปเล็กน้อย
อนุเฟยจูดึงแขนออกจากการจับของท่านอ่อง แล้วเอาเสื้อลง ไม่สนต่อสายตาที่มองตามของอ๋องโม่หรานแม้แต่น้อย
“ข้าจะให้ความเป็นธรรมแก่เจ้า อนุเฟย” พูดเสียงหนักแน่น ก็พอดีกับองครักษ์ที่นำพาเหล่าพระชายามาที่ตำหนัก
“ท่านอ๋องเจ้าคะ ให้องครักษ์ไปนำพวกเรามาที่นี่ทำไม” เสวี่ยนซ่าน พระชายารองลำดับหนึ่ง พูดขึ้น ก่อนที่ดวงตาจะลุกวาบขึ้น เมื่อคนที่นางเกลียดชัง ยังไม่ตาย
“อนุเฟย !”