ตอนที่ 13 อำนาจของคนพาล

1689 คำ
เรือนปีกซ้าย สำนักเวยอี้หากมองจากด้านนอกดูไม่ต่างอะไรกับเรือนหลังใหญ่ทั่วไปแต่ภายในกลับมีโครงสร้างที่สลับซับซ้อน ห้องแต่ละห้องถูกวางตามมุมต่างๆ โดยมิได้เรียงลำดับขั้นแบบวังหลวงที่เน้นการป้องกันส่วนกลาง หากเป็นที่อื่นมือสังหารที่ส่งมาแค่เข้าไปให้ถึงใจกลางก็ปลิดชีพคนสำคัญได้แล้ว ความเชื่อในการวางผังเรือนเก่าๆ ก็มิต่างอะไรกับการสุมไฟล่อแมลง ทำให้สำหรับสำนักเวยอี้การเดินตรงลึกเข้าไปถึงใจกลางจึงเป็นเพียงกับดักให้แมลงเม่าทั้งหลายบินไปหาความตายก็เท่านั้น เหตุผลที่ต้องพิถีพิถันตั้งแต่ชั้นโครงสร้างเพื่อกันคนนอกที่บุกเข้ามาไม่ให้เคลื่อนไหวได้ตามสะดวกเพราะภารกิจที่หย่งฟู่ทำมาโดยตลอดก็คือลอบสังหาร ไม่ว่าจะไปที่ไหนขอเพียงเข้าไปยังส่วนลึกสุดได้ก็ถือว่ารุกฆาตทันที หม่าซือเมี่ยวเดินตามบ่าวรับใช้ของจางอิ้งเยว่ไปเรื่อยๆ ยิ่งไกลยิ่งลับตาคนมากขึ้น แผ่นหลังของอีกฝ่ายเคลื่อนไหวไปข้างหน้าโดยไม่หันกลับมามอง ในใจของคนงามหวาดหวั่นกับเจตนาที่หลบซ่อนไว้ของสาวใช้ “ห้องนี้เป็นห้องเก็บอาวุธสำหรับฝึกซ้อมของสำนักเจ้าค่ะ” เสียงใสบอกพร้อมทั้งเดินนำเข้าไปด้านในห้องกว้าง ภายในเต็มไปด้วยอาวุธเรียงรายอยู่หลายชนิด “เหตุใดพาข้ามาที่นี่” นางถามเพราะอีกฝ่ายทำงานรับใช้จางอิ้งเยว่ ตัวร้ายหญิงอีกคนที่อาจมิได้มีความปรารถนาดีต่อนางเท่าใดนัก “อย่างที่รู้ว่าเจ้าสำนักของเราเก่งกาจเชี่ยวชาญอาวุธทุกแขนง เพราะเช่นนั้นที่นี่จึงมีอาวุธหลากหลายเจ้าค่ะ” คำตอบไม่ตรงกับคำถามทำเอาคิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน “เจ้าคงมิได้พาข้ามาเพื่อพูดเรื่องนี้หรอกนะ” ฐานะของนางหาใช่คนสำคัญจะมาเที่ยวเดินดูบ้านคนอื่นไปทำไม “ข้าเพียงอยากเล่าเรื่องหนึ่งให้ฟังเท่านั้น ท่านเทพพยากรณ์…ที่ดินโดยรอบแห่งนี้เดิมทีเป็นของสกุลมิ่งเจ้าค่ะ พวกเขาเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาที่ทำการเกษตรยังชีพ ไร้เงินทองแต่เปี่ยมไปด้วยความสุข มาวันนี้เหลือเพียงที่ราบว่างเปล่าไร้ผู้คน แม้บ้านสักหลังก็ไม่มีเหลือทิ้งไว้ดูต่างหน้า” สาวใช้กล่าวด้วยน้ำเสียงสดใสคล้ายต้องการชวนสนทนาทั้งที่หาใช่ช่วงเวลาอันเหมาะสม “เจ้าต้องการจะพูดอะไรกันแน่” “พวกเขาตายหมดแล้วเจ้าค่ะ การกระทบกระทั่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ มีเพียงผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้นที่สามารถมีชีวิตอยู่ท่ามกลางการปะทะของสำนักต่างๆ” คนตรงหน้ากล่าวด้วยน้ำเสียงที่ระคนไปด้วยโทสะ “….” หญิงสาวถอยหลังไปสองก้าวก่อนที่บ่าวผู้นั้นจะหันหลังกลับมา ใบหน้านั้นตอบทุกคำถามในใจนางจนหมดสิ้น “เพราะการปรากฏตัวของท่านกับคำทำนายอย่างไรเล่า!” กระบี่เล่มยาวบนชั้นวางถูกหยิบฉวยและพุ่งตรงเข้าหาร่างบางด้วยความเร็ว “อึก!” ซือเมี่ยวดีดตัวหลบจนแผ่นหลังไปกระแทกกับผนังห้องเต็มแรง “ข้ายอมมีชีวิตอยู่เพื่อดูว่าเจ้าจะตายอย่างน่าสมเพชแค่ไหน วันนี้สวรรค์มีตาถึงได้มอบโอกาสให้ข้าจัดการเจ้าด้วยตนเอง อย่าได้ดิ้นรนไปเลย!” “เจ้าน่าจะใจเย็นแล้วคุยกันก่อน” ซือเมี่ยวพยายามโน้มน้าวแต่เห็นทีจะไม่ได้ผล “คุยเหรอ? ไว้คุยในนรกแล้วกัน!” บ่าวรับใช้ยังคงคว้าอาวุธเข้ามาหมายเอาชีวิตเทพพยากรณ์สาวอย่างไม่ลดละ คมกระบี่ตัดผ่านเส้นผมยาวสวยปอยหนึ่งของนางจนขาดกระจายร่วงลงบนพื้น หากหลบไม่ทันมีหวังเป็นส่วนศีรษะมากกว่าที่จะหล่นลงไปแทน การวิ่งหลบไปมาไม่มีทางเอาชีวิตรอดจากสตรีบ้าคลั่งไปได้ เมื่ออีกฝ่ายมาถึงระยะโจมตีหม่าซือเมี่ยวยกเท้าขึ้นถีบเข้าเต็มท้องสาวใช้ แรงถึงขนาดที่จุกจนต้องกุมท้องเอาไว้แน่น “ข้าไม่เคยต้องการให้มันเป็นเช่นนี้” “คิดว่าพูดมาแค่นั้น ข้าจะอภัยให้ได้รึ!” อีกฝ่ายลุกขึ้นยืนแล้วชี้กระบี่มายังเทพพยากรณ์สาว “ข้าอาจผิดต่อเจ้า ต่อให้ข้ามิใช่คนที่จับดาบเข้าสู้ มิใช่คนที่ทำร้ายตระกูลของเจ้า แต่วาจาที่ออกจากปากข้าไปหากทำให้ใครเจ็บปวดย่อมเป็นความผิดของข้า” สงครามมีอยู่ทุกที่ แม้จะมีคำพยากรณ์เกิดขึ้นหรือไม่ล้วนมิใช่ประเด็น แคว้นจางยิ่งใหญ่มั่งคั่งสิ่งที่พวกเขาต้องการคือการขยายดินแดน จึงค่อยๆ กลืนกินบ้านเมืองรอบชายแดนมาโดยตลอดและมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วหลังการมาของหม่าซือเมี่ยว พวกเขาเพียงใช้ประโยชน์จากคำพูดของนางเป็นข้ออ้างเพื่อเป็นเหตุผลในการทำเรื่องขัดกับศีลธรรมที่พ่นออกมาจากปากผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้น “….” บ่าวรับใช้เงียบไป ไม่คิดว่าหม่าซือเมี่ยวจะยอมรับผิดและกล่าวขอโทษออกมาง่ายๆ “หากเจ้าฆ่าข้าไปตอนนี้ก็มีแต่จะทำให้คนที่นี่มีอันตรายทั้งหมด เจ้าจะเลือกยึดติดกับอดีตที่แก้ไขไม่ได้หรือปกป้องอนาคตไว้เล่า” คำพูดนี้นางไม่ได้หลอกลวงเพื่อเอาตัวรอดแต่อย่างใด “หลังจากฆ่าเจ้าแล้วข้าจะฆ่าตัวตายตาม” บ่าวรับใช้ยังคงตอบกลับด้วยความใจเย็น ดูแล้วนางก็หาใช่คนไร้สติปัญญาอะไรเพียงแต่ความแค้นที่สุมอกมันบังตาจนมองไม่เห็นสิ่งใดก็เท่านั้น “คิดว่าชีวิตเจ้ามีค่าพอที่จะชดใช้ความผิดครั้งนี้รึ” “เจ้า!!!” “ข้ามิได้ดูแคลน เพียงแต่หากคิดสักนิด การที่เถียนเจี๋ยไฉ่ปล่อยตัวข้ามาง่ายๆ มิใช่ว่าพวกเขาต้องการให้ปลาในทะเลสาบหมิงจิ่งเช่นพวกเจ้ากินเบ็ดจะได้จัดการศัตรูที่นี่จนสิ้นซากหรอกรึ” สำนักเวยอี้ตั้งตัวขึ้นมาท่ามกลางการดูถูกของผู้มีอำนาจมากมายและไม่ได้รับการยอมรับจากสำนักใหญ่ไม่ว่าผู้ใดย่อมต้องการกำจัดให้พ้นทาง อำนาจที่ปราศจากเหตุผลคืออำนาจของคนพาล สำนักที่ตั้งมั่นเรื่องคุณงามความดีมิอาจบุกรุกหรือก่อศึกได้ก่อน ดังนั้นเรื่องการที่กำลังคนลดน้อยจนสำนักหมิงเต๋อเข้ามาบุกได้อาจมิใช่ความบังเอิญ แต่ไหนแต่ไรสือเมิ่งฉินเห็นนางเป็นแค่เครื่องมืออยู่แล้วไม่จำเป็นต้องคาดหวังอะไรกับคนเช่นเขา หม่าซือเมี่ยวพยายามจะไม่คิดเรื่องนี้แต่เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันพอดิบพอดีจนเกินไป ชีวิตนี้หรือชีวิตไหนก็ไม่ต่างกัน มีแต่ผู้คนต้องการจะใช้ประโยชน์จากนางทั้งสิ้น…. “วาจาเป็นเลิศจริงนะเจ้าคะ คิดว่าข้าจะเชื่อรึ” “หากเจ้าไม่หยุด ข้าจะสู้กลับจริงๆ แล้วนะ” เมื่อเห็นว่าศัตรูยังไม่ยอมวางมือจึงรู้สึกว่าควรตอบโต้เสียที หางตาของซือเมี่ยวเห็นกระบี่เงินบางเล่มหนึ่งจึงรีบคว้าขึ้นมาก่อนพบว่ามันเหมาะมือราวกับตีมาเพื่อนาง ทั้งน้ำหนัก ความอ่อนตัวแม้ด้ามจับจะเป็นโลหะทั้งหมดไม่ต่างกับส่วนคมทำให้จับได้ไม่สบายมือแต่ก็นับได้ว่าเป็นอาวุธชั้นยอด “คิดว่าทำได้ก็ลองดูสิ” เคร้ง! เคร้ง! สตรีทั้งสองปะทะกันไปมา ซือเมี่ยวเปลี่ยนจากคนถูกล่ากลายเป็นผู้ล่าเสียเอง คมกระบี่เหวี่ยงผ่านอากาศอย่างรวดเร็วก่อนที่มันจะมีโอกาสสะบั้นลำคอของบ่าวรับใช้ขาดกระเด็นก็ถูกหยุดชะงักไว้เพียงเท่านั้น “….” “หากจะฆ่าข้าค่อยมาจัดการที่ด้านนอก วันนั้นข้าก็จะไม่ยั้งมือเช่นกัน” ซือเมี่ยวสบตากับอีกฝ่ายพลางถอนดาบออก ทว่าพริบตานั้นกระบี่ในมือของบ่าวรับใช้ยังคงตามติดหมายเอาชีวิตอย่างไม่ยอมแพ้ ตุบ!!! ร่างเล็กเบี่ยงตัวหลบก่อนหมุนตัวศอกใส่ย้ำแผลเดิมที่ยังจุกไม่หายจนบ่าวผู้นั้นล้มลงเสียหลักสุดท้ายก็จบอีหรอบเดิม กระบี่สีเงินสว่างของซือเมี่ยวจ่อมายังลำคอของคนเบื้องล่าง “ข้าจะจัดการเจ้าตอนนี้ก็ได้” “จะทำก็ทำไม่ต้องมาขู่ คิดว่าข้าจะกลัวรึ” แววตาโกรธเกรี้ยวมองมาด้วยความอาฆาต นางไม่ต้องการความเห็นใจจากใครโดยเฉพาะศัตรูตรงหน้า “ที่ไม่ทำเพราะข้าไม่ต้องการให้เรื่องบาดหมางระหว่างเรายาวนานไปมากกว่านี้ อีกสามวันข้าจะออกจากที่นี่ หนี้แค้นของเจ้าจะชำระตอนนั้นก็ยังไม่สาย” “…” ภายในห้องเต็มไปด้วยความเงียบ พวกนางที่ปะทะกันเมื่อครู่แยกออกจากกัน คนหนึ่งสับสนกับความแค้นที่สุมอกกับอีกคนที่โล่งใจว่าในสามวันนี้นางน่าจะยังปลอดภัยอยู่ ขณะที่คนทั้งคู่จะจากห้องนี้ไปไม่ได้สังเกตเลยว่าอีกฝั่งมีคนกลุ่มหนึ่งยืนสังเกตการณ์อยู่ในมุมอับ “เจ้ารู้อยู่แล้วสินะว่านางจะตัดสินใจทำแบบนั้น” เขาเอ่ยถามหญิงสาวด้านข้างเมื่อเห็นว่าสีหน้านิ่งเรียบนั่นไม่ตกใจกับการกระทำของคนสนิทซ้ำยังไม่คิดจะห้ามอีกด้วย “ท่านพี่เองก็ทราบมิใช่รึเจ้าคะถึงได้ยอมปล่อยให้พวกนางอยู่ด้วยกันตามลำพัง” สายตาคมมองไปยังพี่ชายไม่วางตา ต่างคนต่างรู้เช่นเห็นชาติของอีกฝ่ายดี “ระวังนางไว้ให้ดี” “คนไหนเล่าเจ้าคะ” อิ้งเยว่ย้อนถามแม้รู้ดีว่าพี่ชายหมายถึงผู้ใด พวกเขามองหน้ากันคล้ายมีหลายความคิดในหัวก่อนที่ชายหนุ่มจะเป็นฝ่ายหันหลังเดินออกไป
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม