“คลาดสายตาไปได้ไม่นานเจ้ากลับคำที่ให้สัจจะแล้วหนีไป ข้านับถือใจเจ้าจริงๆ เทพพยากรณ์” เจ้าสำนักเวยอี้เอ่ยขณะนั่งรอหน่วยพยาบาลเข้ามาทำแผล
“เทพพยากรณ์? นายท่านหมายถึงหม่าซือเมี่ยวแห่งตำหนักเทพรึขอรับ?” เหวินหนิงมือขวาคนสนิทของหย่งฟู่ถาม ในนิยายเรื่องของคนสนิทตัวร้ายไม่ได้มีบทบาทมากนักรู้เพียงแค่ว่าเขาทำงานรับใช้จางหย่งฟู่มาตั้งแต่เริ่มตั้งสำนักด้วยความภักดีหาใดเปรียบเท่านั้น ได้เจอตัวจริงแล้วก็พบว่าหล่อเหลาไม่เบา เรื่องนี้มีแต่บุรุษหน้าตาชั้นเลิศทั้งนั้นเลยหรือไร
“สมญานามเกินจริงเพียงนี้ทั้งแคว้นคงมีได้แค่คนเดียว” คำพูดจิกกัดเจ็บแสบคงมาจากใครมิได้หากมิใช่ท่านเจ้าสำนักเวยอี้ที่ครั้งหนึ่งตัวเขาก็มักถูกเรียกด้วยชื่อโอ้อวดเกินจริงอย่าง ‘เทพศาสตรา’ มาแล้วเช่นกัน
“ข้าไม่ได้เป็นคนตั้ง” ซือเมี่ยวเถียงทันควัน อย่างไรเสียจางหย่งฟู่ก็ไม่มีทางสังหารนางอยู่แล้วหากไม่อยากมีเรื่องกับสำนักเถียนเจี๋ยไฉ่ จึงทำให้คนตัวเล็กอวดดีได้เพิ่มขึ้นอีกหน่อย
“เห็นว่านางหน้าตาอัปลักษณ์จนต้องปกปิดไว้ตลอดเวลาใครจะไปคิดว่า…”
“เมื่อครู่ข้ายังไม่ได้จัดการที่เจ้าปล่อยนักโทษของข้าหนีไปเลยเหวินหนิง” เพียงเท่านี้มือขวาคนสนิทก็ปิดปากเงียบก่อนจะเผลอพูดคำที่ไม่ถูกใจเจ้านายออกไป
“คารวะท่านเจ้าสำนัก” เสียงหนึ่งแทรกขึ้น หน่วยรักษาพยาบาลที่เหวินหนิงเรียกหามาถึงแล้ว
“แล้วให้ข้าทำเช่นไรกับนางต่อหรือขอรับ”
“เอาไปขังคุกน้ำรอจนสามวันถ้าสือเฟิงเหมียนไม่มาก็ฆ่าทิ้งได้เลย” หย่งฟู่ออกคำสั่ง
“หา!?” ซือเมี่ยวที่ทนยืนฟังมาตลอดร้องเสียงหลงก่อนทักท้วง
“ที่เราคุยกันไว้ไม่ใช่แบบนี้!”
“เจ้าพูดถูก เราคุยกันไว้ก็คือเจ้าอยู่ที่นี่ครบทั้งสามวันตามเงื่อนไขมิใช่หนีหายไป” ร่างสูงค่อยๆ ถอดเสื้อคลุมตัวยาวของเขาออกโดยไม่สนใจสายตาของสตรีในห้อง
แผลน้อยใหญ่จากคมกระบี่กระจายตัวบนผิวขาวของจางหย่งฟู่จนซือเมี่ยวเกิดสงสารไปชั่วขณะ
ตลอดเวลาที่อยู่ในสำนักหย่งฟู่ในวัยเยาว์มิได้มีชีวิตที่เรียกเต็มปากว่าดี ทั้งการกลั่นแกล้งตามประสาเด็กด้วยกันลุกลามไปถึงขั้นลงไม้ลงมือ การฝึกปรือวิชาที่เข้มงวดกว่าทุกคนรวมถึงการลงโทษที่มากกว่าจะทำไปเพื่อสั่งสอนยังไม่นับเรื่องการเล่าเรียนตำราที่ไม่มีทางจะสำเร็จได้ ครั้นเมื่อเขาโตมาก็ได้รับภารกิจเก็บกวาดซึ่งโหดร้ายเกินจินตนาการ มีคำกล่าวว่าเด็กคือผ้าขาวที่จะถูกแต้มแต่งสีสันลงไป เพียงแต่ผ้าขาวผืนนี้ถูกย้อมด้วยความแค้นจากการทำร้ายทั้งกายใจลงไปจนดำสนิทยากเกินชะล้าง
สิ่งที่เด็กคนหนึ่งเจอมันเลวร้ายซือเมี่ยวรู้ดี เพราะอ่านมันมาในทุกตัวอักษรทว่ามันก็หาใช่เหตุผลที่เขาส่งคืนความเลวร้ายให้คนอื่นต่อ
“ท่านไม่ได้บอกว่าข้าจะต้องอยู่ที่นี่ด้วยเนื้อความมีเพียงว่าเฟิงเหมียนจะมาหรือไม่ต่างหาก” หญิงสาวรีบไล่สามัญสำนึกของคนดีออกไป อีกฝ่ายเป็นตัวร้ายที่ไม่ได้ทำเรื่องอะไรให้สรรเสริญเสียหน่อยไม่มีความจำเป็นต้องเห็นใจ
“แต่ข้าก็ไม่ได้กล่าวถึงความเป็นอยู่ของเจ้าในสามวันหลังจากนี้ด้วยเช่นกัน”
“เจ้าเล่ห์นัก”
“นั่นมันคำพูดของข้าต่างหาก” ลูกแมวตัวนั้นของเฟิงเหมียนนางหาใช่ลูกแมวน้อยไม่ประสีประสาแต่เป็นจิ้งจอกสาวที่แปลงกายมาเสียมากกว่า
“เหวินหนิง” เสียงหวานใสเรียบๆ เอ่ยทักขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะเอาตัวหม่าซือเมี่ยวออกไปตามคำสั่ง
“คุณหนู” เขารีบโค้งคำนับให้ผู้มาใหม่
“รอด้านนอกข้าจะเป็นคนจัดการนางต่อเอง”
“อิ้งเยว่” หย่งฟู่กล่าวนามของหญิงสาวแทนคำทักทายตามมารยาท นางคือจางอิ้งเยว่ทายาทที่แท้จริงคนสุดท้ายของสายเลือดสกุลจาง ใบหน้าสวยหวานไปทางคมคายน่าค้นหา ดวงตาเรียวชี้ขึ้นเล็กน้อยรับกับคิ้วยาวเรียงตัวสวย ขับให้ใบหน้าของนางมีเสน่ห์และน่าเคารพไปพร้อมกัน
“ข้ามีเรื่องต้องคุยกับพี่” นางออกคำสั่งกับคนสนิทของพี่ชาย เหวินหนิงหันกลับไปหาเจ้านายอีกครั้งเพื่อรอฟังคำสั่ง
“…”
“เข้าใจแล้วขอรับ” เมื่อเห็นว่าหย่งฟู่ไม่มีสิ่งใดจะแย้งเขาจึงทำตามคำสั่งของคุณหนูจางก่อนเดินออกไปพร้อมกับหม่าซือเมี่ยว
“ทำไมถึงได้พานางมาเล่าเจ้าคะ นางเป็นคนที่ทุกสำนักต้องการตัวมากเพียงใดท่านพี่ก็รู้” อิ้งเยว่เปิดประเด็นทันที ในสายตาของนางหม่าซือเมี่ยวเป็นตัวปัญหาที่จะนำแต่เรื่องมาให้มากกว่าประโยชน์
“อีกไม่นานเดี๋ยวนางก็ออกไป”
“ท่านควรนำนางออกไปมิใช่ให้พวกเขาหรือใครก็ไม่รู้มาเอาตัวนางไป ต่อให้ผลลัพธ์เหมือนกันตรงที่ผู้หญิงคนนั้นจะได้กลับไปเป็นนกน้อยในกรงของสือเฟิงเหมียนดังเดิมแต่วิธีการมันต่างกัน”
จางอิ้งเยว่แม้เป็นสตรีแต่มีความคิดเฉลียวฉลาดไม่ต่างกับบุรุษเนื่องจากได้รับการศึกษาเฉกเช่นผู้นำตระกูล กระนั้นแม้มีความรู้มากมายเท่าใดแต่ผู้นำที่เป็นสตรีไม่เคยมีมาก่อนในหน้าประวัติศาสตร์ ซ้ำแล้วตระกูลจางยังตั้งกฎว่าบุรุษที่จะเข้ามาต้องแต่งเข้าตระกูลเท่านั้น จึงไม่มีชายใดยอมทิ้งแซ่กำเนิดที่ตนภูมิใจมาเกี่ยวดอง ทำให้หญิงสาวต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวจนเลยวัยปักปิ่นมาหลายหนาว
“ข้าเชื่อว่าเขาจะมา”
“สือเฟิงเหมียนให้สัตย์ไม่ก่อศึกและตั้งมั่นจะไม่มาเหยียบสำนักเวยอี้ ท่านพี่คิดว่าเขาเป็นชายที่ยอมโอนอ่อนเพราะสตรีผู้นี้งั้นรึ” อิ้งเยว่ถาม อีกฝ่ายคือชายผู้แบกหน้าตาของสกุลสือในฐานะผู้สืบทอดและยังเป็นอาจารย์หนุ่มที่ได้รับความเคารพจากคนมากมาย ทำให้ไม่อาจทำหลายสิ่งได้ตามอำเภอใจ
“เขาอาจส่งคนที่ข้าต้องการพบหน้าที่สุดมาก็ได้ หนี้แค้นที่มีมานานจะได้จบลงเสียที” จางอิ้งเยว่แม้ไม่รู้ภูมิหลังของพี่ชายบุญธรรมแต่เป้าหมายของเขานางก็ทราบดี เพราะมันคือข้อตกลงที่เขาจะเข้ามาดูแลตระกูลจางต่อจากบิดาผู้ล่วงลับ
“หากเจ้าได้ในสิ่งที่ต้องการจากนางแล้วก็ส่งนางคืนข้ามา ผู้หญิงคนนั้นหนีออกไปได้ทั้งที่ในห้องมีข้าอยู่ด้วย ข้าไว้ใจให้คนอื่นดูแลไม่ลง”
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” นางรับคำก่อนขอตัวออกจากห้องไป
“เมื่อเช้านางหนีจากนายท่านไปได้จริงๆ งั้นหรือขอรับ” เหวินหนิงเดินเข้ามาถาม ที่ผ่านมาต่อให้โดนวางยาหรือบาดเจ็บหนักกว่านี้อีกหลายเท่านายของตนยังวิ่งไปจัดการศัตรูจนไม่มีใครกล้ามาล้วงคองูเห่าอยู่หลายปี มาวันนี้แค่ผู้หญิงคนเดียวที่ไม่ได้มีอาวุธใดในมือกลับเล็ดลอดออกไปได้
“...” ใบหน้ากังวลของจางหย่งฟู่สื่อความนัยแทนคำตอบจนหมด เขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นเพียงแต่เมื่อคืนเขารู้สึกนอนหลับลึกได้จนสนิทใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน