พริกหันมามองผมด้วยความขุ่นเคือง แล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
และความเงียบก็ปกคลุมเราสองคนเอาไว้ ต่างฝ่ายต่างไม่ได้พูดอะไรออกมา จะมีก็แต่เวลาที่พริกหยิบอะไรไม่ถึง ผมก็จะช่วยหยิบให้ เหตุที่ผมยอมเงียบก็เพราะกลัวว่าถ้าเอ่ยอะไรออกมาแล้วจะทำให้พริกหงุดหงิดผมไปมากกว่านี้
ดูจากสีหน้านิ่งเรียบและแววตาที่ไม่สื่ออารมณ์ของเธอแล้วก็ค่อนข้างมั่นใจว่าระดับความไม่พอใจของเธออยู่ที่สิบเต็ม!
“ปล่อย!” พริกเอ่ยเสียงแข็งและจ้องมือของผมที่ตอนนี้คว้าข้อมือของเธอเอาไว้ ในตอนนี้เธอเลือกซื้อของเสร็จเรียบร้อยแล้วและต้องการที่จะเข็นรถออกไปอีกทาง ซึ่งเป็นคนละทางกับที่ตัวผมจะต้องไป
“ไปด้วยกันก่อน หน้าเตงจะได้เลิกตึงสักที” ผมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง แม้ประโยคที่ได้ส่งออกไปนั้นจะออกไปทางหยอกอีกฝ่ายก็ตาม
เรียวคิ้วที่บรรจงวาดมาขยับย่นเข้าหากัน สายตาของเธอเต็มไปด้วยคำถาม อาการหงุดหงิดที่เธอมี ต้นเหตุน่าจะมาจากสายที่โทรเข้ามาหาผมในตอนที่เดินเลือกซื้อของ
“ทำไมจะต้องไปด้วย” แม้ปากจะขยับถามราวกับไม่อยากไป แต่ขาของเธอกลับก้าวเดินไปตามแรงจูงของผมอย่างง่ายดาย ส่วนรถเข็นที่บรรจุของที่เธอเลือกซื้อมานั้นผมเข็นด้วยมือข้างเดียว
“อย่าถามมากได้ปะ” ผมพูดพร้อมกับปล่อยมือออกจากข้อมือเล็ก เพื่อที่จะได้เข็นรถได้ถนัดถนี่ “เดินตามมา”
“เออ”
ผมลอบยิ้มออกมาแล้วเก็บรอยยิ้มนั้นด้วยความรวดเร็ว ขำคนที่พูดเหมือนไม่อยากมาแต่ก็เดินตามต้อย ๆ
เราสองคนขึ้นมาอยู่ที่ชั้น 6 ซึ่งเป็นโซนไอที พริกกวาดตามองไปรอบ ๆ แล้วหันมามองผมด้วยสายตาที่มีคำถาม
“เด็กนายอยู่นี่เหรอ”
“อือ” ผมตอบสั้น ๆ แล้วคว้าแขนเรียวเอาไว้ก่อนที่เธอจะมาแย่งรถเข็นไป แล้วเดินหนี ผมรู้ว่าหากตอบแบบนี้เธอจะต้องไม่เดินไปด้วย แต่ก็อยากแกล้งให้เธอหงุดหงิดอยู่ดี…
“สวัสดีครับ พอดีเมื่อสักพักมีพนักงานโทรมาบอกให้ผมมารับ…” ผมพูดแล้วชำเลืองมองไปทางพริก ซึ่งเธอก็รอฟังอย่างใจจดใจจ่อ
“นี่ครับใบเสร็จ” ผมวางใบเสร็จลงบนตู้กระจกด้านหน้าร้าน พี่พนักงานคนตรงหน้าจึงหยิบขึ้นมาดู
“สักครู่นะครับ”
“มารับ…” พริกเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ตอนนี้เธอคงเข้าใจแล้วว่าสิ่งที่ผมต้องมารับคือโน้ตบุ๊กเครื่องใหม่ ไม่ใช่ผู้หญิงอย่างที่เธอเข้าใจ
“รับเครื่องจ้ะ ไม่ใช่รับคน” ผมปรายตามองคนข้าง ๆ ก่อนจะขยับตัวเพื่อให้ด้านข้างลำตัวของเราแนบชิด จากนั้นจึงโน้มใบหน้าลงไปเล็กน้อย
“ไม่หึงดิเตง”
“ไอ้บ้า! ใครเขาหึงนายวะ เพ้อเจ้อ!” พริกเอาฝ่ามือนุ่มดันใบหน้าของผมแล้วรีบถอยออกห่าง
ลิฟต์โดยสารพาเราสองคนลงมาที่ชั้น 3 ซึ่งชั้นนี้มีร้านอาหารมากมายหลายรูปแบบให้เลือกกิน
“เตงอยากกินไร” ผมมองไปไกล ๆ แล้วถามคนหน้ามุ่ยเพราะเมื่อสักครู่แย่งรถเข็นเอาไว้ไม่ได้ จนต้องจำใจยอมเดินตามผมออกมาจากลิฟต์
“ไม่หิว”
“กินหน่อยน่า ผอมลงไปตั้งเยอะ” ผมรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ เธอผอมลงจนรู้สึกแปลกตาไปบ้าง เมื่อก่อนเธออวบอิ่มกว่านี้
“ผอมไร แก้มย้อยขนาดนี้”
“เตงเป็นคนมีแก้มเหอะ แต่เค้าก็ตกหลุมรักเตงเพราะแก้มนะ น่ารักดี” ผมพูดจริงแบบไม่ได้จะเย้าแหย่อะไร พริกเป็นคนแก้มป่อง ซึ่งผมมองว่านั่นคือเสน่ห์ของเธอเลย
ตอนที่เห็นครั้งแรกเธอกำลังบีบแก้มตัวเองให้เพื่อนดู แต่คนที่มองจนละสายตาไม่ได้คือผมเอง
“ทำไมชอบพูดอะไรที่มันเลี่ยน ๆ”
“เผื่อเตงจะกลับมารักไง” ผมไม่ได้หันไปมองว่าอีกคนมีสีหน้าหรือท่าทียังไง
“เฮ้อ” เสียงถอนหายใจที่เธอแกล้งทำ เรียกให้ผมต้องหันไปมอง พริกหันไปมองทางอื่น แต่ผมมองจากด้านข้างของเธอก็เห็นว่าใบหูของเธอแดงก่ำ
“เวลาเขินใครเขาถอนหายใจกันล่ะเตง”
“ไม่ได้เขินสักนิด” พริกหันมาเถียงอีกทั้งยังถลึงตาใส่ ก่อนจะชี้นิ้วไปที่ร้านปิ้งย่าง “ถ้าจะให้กินด้วยก็ไปกินร้านนั้น แล้วเลิกพูดอะไรที่มันระคายหูด้วย เดี๋ยวกินไม่ลง”
คนที่ไม่เขินเลยสักนิดพูดเร็ว ๆ ราวกับประหม่า ยิ่งพอผมหัวเราะออกมาเบา ๆ เธอก็หน้าเหวอแล้วรีบสะบัดหน้าเดินหนีไปยังร้านที่ตัวเองชี้นิ้วเลือก
“หมูจะเน่าไหมเนี่ย” พริกมองข้าวของในรถเข็นแล้วเอ่ยออกมาเมื่อเดินมาถึงหน้าร้านแล้ว
“ไม่เน่าหรอกน่า” ผมดันรถเข็นจอดไว้ด้านหน้าร้าน แล้วพาพริกเข้าไปด้านใน โต๊ะที่เลือกก็อยู่ตรงกับรถเข็นพอดี
พริกสั่งเซ็ตโปรดที่เธอมักจะสั่งประจำเวลาที่มากินด้วยกัน และที่ขาดไม่ได้ก็คือข้าวผัดกระเทียม…แต่นั่นคือของโปรดของผม ไม่ใช่ของพริก
“ขอบคุณนะที่สั่งให้”
คนตรงข้ามกะพริบตาปริบ ๆ คงจะรู้สึกตัวขึ้นมาว่าตัวเองเผลอตัวสั่งของโปรดให้ผม
“ไม่ได้สั่งให้ซะหน่อย เมื่อกี้สั่งกินเอง”
“พริกไม่ชอบกระเทียมเหอะ” มุมปากของผมยกยิ้มอย่างร้ายกาจ จนมุมแบบนี้พริกหาทางแถต่อไปไม่ได้แล้ว
แม้ว่าเธอจะไม่ยอมรับตรง ๆ ว่ายังจำเรื่องของผมได้ก็เป็นไร เพราะการกระทำของเธอแสดงออกให้ผมเห็นหมดแล้ว