แต่มีไม่กี่คนหรอกที่ ‘ริคาโด้ ซิวีลิอาโน่’ วางตัวไว้เพื่อสืบทอดกิจการหลายหมื่นล้านหนึ่งนั้นก็คือเขา-ฟรานเชสโก้ซิวีลิอาโน่
ชายหนุ่มปรายตามองหญิงสาวที่มองเขาอยู่ในเขาไม่ได้ยิ้มตอบเพียงก้มศีรษะเป็นเชิงทักทายให้เธอนิดหนึ่งแค่โปรยเสน่ห์เล็กๆ น้อยๆ พอเช็คเรตติ้งให้ตัวร่างสูงโปร่งเจ้าของความสูงหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตรผมหยักศกปรกบ่างานและสวมชุดสูทสีเข้มซึ่งเป็นสีประจำตัวของเขางานหลักของเขายังคงเป็นพวกธุรกิจค้าเงินข้ามประเทศโยกย้ายเงินจากที่หนึ่งไปที่หนึ่ง แต่งานอดิเรกของเขาคือการถ่ายภาพแต่งานออกแบบโฆษณาก็เป็นเสมือนของเล่นยามว่างของเขาด้วยเหมือนกันฟรานเชสโก้คลั่งไคล้การเก็บภาพด้วยกล้องถ่ายรูป หลงรักเสียงลั่นชัตเตอร์เขามีอุปกรณ์เสริมครบครันรวมทั้งเลนส์ชนิดต่างๆ แต่เขาก็เรียนรู้ว่าการที่จะได้ภาพถ่ายที่ดีไม่ใช่ใช้เพียงกล้องและอุปกรณ์ต่างๆ อยู่ที่ฝีมือและความตั้งใจของคนกดชัตเตอร์
และสิ่งที่เขาพอใจที่สุดคือได้ฉายา ‘เจ้าชายมาเฟีย’
ชายหนุ่มแอบหาวเล็กๆ แล้วเดินหลบมาจากงานเลี้ยง นี่ไม่ใช่เวลานอนสำหรับเขามันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นแต่งานเลี้ยงที่น่าเบื่อไม่สามารถดึงดูดเขาไว้ได้ฟรานเชสโก้โบกมือลาเพื่อนแล้วเดินออกมาด้านนอกผับหรูขณะกำลังคิดอยู่ว่าจะไปทางไหนต่อดีเขาก็ได้ยินเสียงผู้หญิงโวยวายไม่ไกลนักเขาหันไปมองตามทิศทางของเสียงก็เป็นผับอีกแห่งที่อยู่ใกล้ๆหน้าผับมีซุ้มเล็กๆ ซึ่งเดาได้ว่าน่าจะเป็นซุ้มขายอะไรสักอย่าง
“อย่ามาเล่นตัวนักเลยน๊า เป็นแค่สาวเชียร์เบียร์” เสียงนักเที่ยวชายเอ่ยแซวทั้งที่ตัวเองก็อ้อแอ้
“พวกเราไม่ใช่สาวเชียร์เบียร์นะคะ กรุณาทำความเข้าใจเสียใหม่ด้วย” หญิงสาวคนหนึ่งในกลุ่มถอนหายใจหนักๆ เธอยกมือขึ้นกอดอกทำให้ชุดรัดรูปสีน้ำเงินเกาะอกมีโลโก้เครื่องดื่มผสมแอลกอฮอร์ชนิดหนึ่งเน้นสัดส่วนของเธอมากยิ่งขึ้น
“ก็รู้ๆ กันอยู่อย่าทำเป็นดัดจริตหน่อยเลย” ชายคนนั้นพยายามจะเข้ามากอดรัดปลุกปล้ำหญิงสาวต่อหน้าผู้คนที่เดินเข้า-ออกที่ผับแห่งนั้นแต่เธอเบี่ยงตัวหลบแล้วเตะผ่าหมากเข้าทันที!
“โอ๊ย”
“อุ๊ยคุณพี่ เป็นอะไรไปคะ อยู่ดีๆ ก็เข่าอ่อนลงไปนั่งกับพื้น” หญิงสาวหัวเราะคิกคักแล้วหันหลังเดินปัดมือเหมือนปัดเศษฝุ่นทันที่ไม่มีฝุ่นติดมือ
“อีนังนี่” ชายอีกคนพุ่งเข้าใส่ด้วยความโมโหและอับอายที่เพื่อนถูกผู้หญิงตัวเล็กๆ ล้มคว่ำต่อหน้าคนอื่นแต่หมัดของเขาก็ชะงักค้างในอากาศเมื่อมีมือแข็งแกร่งมายึดไว้ก่อน
“มึงเป็นใครวะ มายุ่งเรื่องชาวบ้านทำไม”
“จะเป็นใครก็ช่างเถอะแค่ไม่ชอบสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าก็พอ”
“เฮ้ยอย่ามาทำเป็นพระเอกแถวนี้นะเว้ย” คนถูกจับยังปากดีเขาพยายามจะดึงข้อมือตัวเองคืนเพื่อเป็นอิสระแต่ชายหนุ่มกลับออกแรงบิดเพียงนิดเดียวชายคนนั้นก็หลุดปากร้องเสียงหลงเพราะความเจ็บปวด
“เจ็บโว้ยอยากได้ก็เอาไปก็แค่อุ๊บ” ยังไม่ทันพูดจบมันก็ถูกต่อยเข้าที่ปลางคางจนสลบแน่นิ่งไร้เสียงพูดจาใดๆ อีก
หญิงสาวมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วเลิกคิ้วข้างหนึ่งไม่ได้มีอาการกรี๊ดกราดแบบเพื่อนสาวอีกสองสามคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
“จะไม่ขอบคุณสักคำเลยหรือครับ” ฟรานเชสโก้เอ่ยถามพลางโปรยยิ้มทรงเสน่ห์แบบที่ทำให้สาวๆ สยบมาแล้ว
“ดิฉันจำไม่ได้ว่าขอให้คุณมาช่วยนี่” เธอยักไหล่แล้วหมุนตัวกลับมาเก็บของที่บูธของตนเอง
ฟรานเชสโก้ถึงกับอึ้งแต่พยายามเก็บอาการด้วยการเก็กมาดขรึม เพื่อนสาวคนหนึ่งกระตุกแขนหญิงสาวคนนั้นแล้วหันมายิ้มหวานให้เขา
“ยัยไป๋ พูดจาดีๆ หน่อยซิ คุณเขาช่วยเรานะยะ”
หญิงสาวถอนหายใจเบื่อๆ ก่อนหันกลับมามองชายหนุ่มร่างสูงหุ่นนายแบบอินเตอร์ “ฉันพูดว่าขอบคุณก็ได้ แต่บอกไว้ก่อนที่พูดเนี้ยเพราะฉันไม่ชอบเป็นหนี้บุญใคร”
ฟรานเชสโก้หัวเราะในลำคอแล้วก้าวเข้ามาใกล้ เมื่อยื่นห่างกันเพียงแค่ฟุตเดียวเขาก็รู้สึกได้ทันทีว่าตัวของเธอนั้นสูงเพียงแค่ไหล่ของเขา ผมบอบสั้นแค่ปลายคางทำไฮไลน์แบบสาวเปรี้ยวแต่ดวงตาเธอที่จ้องมองเขากลับยิ่งบ่งบอกว่าเธอมั่นใจเกินร้อย แต่ในวินาทีต่อมาเขากลับรู้สึกคุ้นเคยกับดวงตาคู่นี้
“จ้องอะไร อยากให้พูดว่าขอบคุณก็พูดแล้วไงหรือหูไม่ดีไม่ได้ยิน”
“เปล่า ผมแค่คิดว่าเราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่า”
หญิงสาวหัวเราะร่วน “มุขเชยมากเลยอะฉัน ไม่ว่างคุยด้วยหรอกนะ จะรีบเก็บบูธแล้วกลับไปกินข้าวแฟนหนะ”
หญิงสาวกระตุกยิ้มเยาะเย้ยที่มุมปากแล้วสะบัดหน้าหนีอย่างไม่สนใจชายหนุ่มที่ยืนมองเธออยู่ ฟรานเชสโก้กลั้นหัวเราะแล้วก้มศีรษะให้เล็กน้อยก่อนหมุนตัวจากมา แต่ในนาทีหนึ่งเขากลับชะงักและหันหลังกลับไปแต่ก็เห็นเพียงแผ่นหลังของหญิงสาวคนนั้น เขาพยายามนึกแต่ก็ยังนึกไม่ออกจึงได้แต่ก้าวเท้าเดินมาที่จอดรถของตัวเอง
ในขณะที่กำลังก้าวเข้าไปนั่งในรถเสียงมือถือก็ร้องดังเรียกอย่างกวนใจทำให้เขาต้องรีบกรอกเสียงตอบรับไปทันที
“รู้สึกจะสนุกกับการอยู่เมืองไทยจังนะ”
“ก็ใครทำให้ผมต้องเที่ยวมาเที่ยวไปแบบนี้เล่า” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเนื่องๆ กับผู้เป็นพ่อ
“ฉันไม่ได้โทรทางใกล้มาชวนทะเลาะกับแกนะ”
“แล้วพ่อโทรมาทำอะไร ข่าวดีรึ เรียกผมกลับบ้านไม่ต้องกลับมาที่ๆ มันร้อนระเบิดแบบนี้ใช่ไหม”
“ข่าวดีหรือเปล่าไม่รู้แกต้องไปถามลุงโทนี่ของแกเอง”
“พ่อย่ามาพูดตลก ลุงโทนี่ตายไปครบร้อยวันแล้วนี่”
“เรื่องนั้นฉันรู้ แต่ที่ไม่รู้คือแกไปทำเสน่ห์อะไรไว้กับลุงโทนี่เอาเป็นว่าพินัยกรรมของลุงโทนี่มีชื่อแกอยู่ แกต้องมารับผิดชอบเรื่องนี้”
“รับผิดชอบ” ฟรานเชสโก้ครางในลำคอ ฟังดูมันไม่ใช่ความหมายที่ดีนักหรอก
“รีบกลับก็แล้วกัน คนที่นี่เขาอยากขย้ำคอแกเต็มที่แล้ว”
“ครับ” ฟรานเชสโก้ปิดมือถือใจจริงเขายังมีคำถามอีกมากมายแต่เลือกที่จะเก็บไว้ก่อนเพราะมั่นใจว่าพ่อของเขาก็คงไม่รู้คำตอบของคำถามที่เขาต้องการ
“กลับหนะกลับอยู่แล้ว แต่ไม่อยากกลับไปมีเรื่องนะซิ”
ชายหนุ่มโครงศีรษะแล้วขับรถมุ่งกลับมาที่บ้านพักของตนเอง สำหรับเขาไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเก็บเสื้อผ้าอะไรหรอกแค่หยิบวีซ่ากับพาสปอร์ตก็เรียบร้อยแล้ว
แต่เรื่องราวของลุงโทนี่นั้นเล่า ยังรบกวนจิตใจเขาอยู่ ลุงโทนี่ที่เขารักและเคารพเหมือนพ่อคนที่สองก็ว่าได้.