บทที่2. เจ้าชายมาเฟีย

1260 คำ
แต่มีไม่กี่คนหรอกที่ ‘ริคาโด้ ซิวีลิอาโน่’ วางตัวไว้เพื่อสืบทอดกิจการหลายหมื่นล้านหนึ่งนั้นก็คือเขา-ฟรานเชสโก้ซิวีลิอาโน่ ชายหนุ่มปรายตามองหญิงสาวที่มองเขาอยู่ในเขาไม่ได้ยิ้มตอบเพียงก้มศีรษะเป็นเชิงทักทายให้เธอนิดหนึ่งแค่โปรยเสน่ห์เล็กๆ น้อยๆ พอเช็คเรตติ้งให้ตัวร่างสูงโปร่งเจ้าของความสูงหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตรผมหยักศกปรกบ่างานและสวมชุดสูทสีเข้มซึ่งเป็นสีประจำตัวของเขางานหลักของเขายังคงเป็นพวกธุรกิจค้าเงินข้ามประเทศโยกย้ายเงินจากที่หนึ่งไปที่หนึ่ง แต่งานอดิเรกของเขาคือการถ่ายภาพแต่งานออกแบบโฆษณาก็เป็นเสมือนของเล่นยามว่างของเขาด้วยเหมือนกันฟรานเชสโก้คลั่งไคล้การเก็บภาพด้วยกล้องถ่ายรูป หลงรักเสียงลั่นชัตเตอร์เขามีอุปกรณ์เสริมครบครันรวมทั้งเลนส์ชนิดต่างๆ แต่เขาก็เรียนรู้ว่าการที่จะได้ภาพถ่ายที่ดีไม่ใช่ใช้เพียงกล้องและอุปกรณ์ต่างๆ อยู่ที่ฝีมือและความตั้งใจของคนกดชัตเตอร์            และสิ่งที่เขาพอใจที่สุดคือได้ฉายา ‘เจ้าชายมาเฟีย’ ชายหนุ่มแอบหาวเล็กๆ แล้วเดินหลบมาจากงานเลี้ยง นี่ไม่ใช่เวลานอนสำหรับเขามันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นแต่งานเลี้ยงที่น่าเบื่อไม่สามารถดึงดูดเขาไว้ได้ฟรานเชสโก้โบกมือลาเพื่อนแล้วเดินออกมาด้านนอกผับหรูขณะกำลังคิดอยู่ว่าจะไปทางไหนต่อดีเขาก็ได้ยินเสียงผู้หญิงโวยวายไม่ไกลนักเขาหันไปมองตามทิศทางของเสียงก็เป็นผับอีกแห่งที่อยู่ใกล้ๆหน้าผับมีซุ้มเล็กๆ ซึ่งเดาได้ว่าน่าจะเป็นซุ้มขายอะไรสักอย่าง “อย่ามาเล่นตัวนักเลยน๊า เป็นแค่สาวเชียร์เบียร์” เสียงนักเที่ยวชายเอ่ยแซวทั้งที่ตัวเองก็อ้อแอ้       “พวกเราไม่ใช่สาวเชียร์เบียร์นะคะ กรุณาทำความเข้าใจเสียใหม่ด้วย” หญิงสาวคนหนึ่งในกลุ่มถอนหายใจหนักๆ เธอยกมือขึ้นกอดอกทำให้ชุดรัดรูปสีน้ำเงินเกาะอกมีโลโก้เครื่องดื่มผสมแอลกอฮอร์ชนิดหนึ่งเน้นสัดส่วนของเธอมากยิ่งขึ้น “ก็รู้ๆ กันอยู่อย่าทำเป็นดัดจริตหน่อยเลย” ชายคนนั้นพยายามจะเข้ามากอดรัดปลุกปล้ำหญิงสาวต่อหน้าผู้คนที่เดินเข้า-ออกที่ผับแห่งนั้นแต่เธอเบี่ยงตัวหลบแล้วเตะผ่าหมากเข้าทันที! “โอ๊ย” “อุ๊ยคุณพี่ เป็นอะไรไปคะ อยู่ดีๆ ก็เข่าอ่อนลงไปนั่งกับพื้น” หญิงสาวหัวเราะคิกคักแล้วหันหลังเดินปัดมือเหมือนปัดเศษฝุ่นทันที่ไม่มีฝุ่นติดมือ “อีนังนี่” ชายอีกคนพุ่งเข้าใส่ด้วยความโมโหและอับอายที่เพื่อนถูกผู้หญิงตัวเล็กๆ ล้มคว่ำต่อหน้าคนอื่นแต่หมัดของเขาก็ชะงักค้างในอากาศเมื่อมีมือแข็งแกร่งมายึดไว้ก่อน “มึงเป็นใครวะ มายุ่งเรื่องชาวบ้านทำไม” “จะเป็นใครก็ช่างเถอะแค่ไม่ชอบสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าก็พอ”   “เฮ้ยอย่ามาทำเป็นพระเอกแถวนี้นะเว้ย” คนถูกจับยังปากดีเขาพยายามจะดึงข้อมือตัวเองคืนเพื่อเป็นอิสระแต่ชายหนุ่มกลับออกแรงบิดเพียงนิดเดียวชายคนนั้นก็หลุดปากร้องเสียงหลงเพราะความเจ็บปวด “เจ็บโว้ยอยากได้ก็เอาไปก็แค่อุ๊บ” ยังไม่ทันพูดจบมันก็ถูกต่อยเข้าที่ปลางคางจนสลบแน่นิ่งไร้เสียงพูดจาใดๆ อีก หญิงสาวมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วเลิกคิ้วข้างหนึ่งไม่ได้มีอาการกรี๊ดกราดแบบเพื่อนสาวอีกสองสามคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ “จะไม่ขอบคุณสักคำเลยหรือครับ” ฟรานเชสโก้เอ่ยถามพลางโปรยยิ้มทรงเสน่ห์แบบที่ทำให้สาวๆ สยบมาแล้ว “ดิฉันจำไม่ได้ว่าขอให้คุณมาช่วยนี่” เธอยักไหล่แล้วหมุนตัวกลับมาเก็บของที่บูธของตนเอง ฟรานเชสโก้ถึงกับอึ้งแต่พยายามเก็บอาการด้วยการเก็กมาดขรึม เพื่อนสาวคนหนึ่งกระตุกแขนหญิงสาวคนนั้นแล้วหันมายิ้มหวานให้เขา “ยัยไป๋ พูดจาดีๆ หน่อยซิ คุณเขาช่วยเรานะยะ” หญิงสาวถอนหายใจเบื่อๆ ก่อนหันกลับมามองชายหนุ่มร่างสูงหุ่นนายแบบอินเตอร์ “ฉันพูดว่าขอบคุณก็ได้ แต่บอกไว้ก่อนที่พูดเนี้ยเพราะฉันไม่ชอบเป็นหนี้บุญใคร” ฟรานเชสโก้หัวเราะในลำคอแล้วก้าวเข้ามาใกล้ เมื่อยื่นห่างกันเพียงแค่ฟุตเดียวเขาก็รู้สึกได้ทันทีว่าตัวของเธอนั้นสูงเพียงแค่ไหล่ของเขา ผมบอบสั้นแค่ปลายคางทำไฮไลน์แบบสาวเปรี้ยวแต่ดวงตาเธอที่จ้องมองเขากลับยิ่งบ่งบอกว่าเธอมั่นใจเกินร้อย แต่ในวินาทีต่อมาเขากลับรู้สึกคุ้นเคยกับดวงตาคู่นี้ “จ้องอะไร อยากให้พูดว่าขอบคุณก็พูดแล้วไงหรือหูไม่ดีไม่ได้ยิน”     “เปล่า ผมแค่คิดว่าเราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่า” หญิงสาวหัวเราะร่วน “มุขเชยมากเลยอะฉัน ไม่ว่างคุยด้วยหรอกนะ จะรีบเก็บบูธแล้วกลับไปกินข้าวแฟนหนะ”   หญิงสาวกระตุกยิ้มเยาะเย้ยที่มุมปากแล้วสะบัดหน้าหนีอย่างไม่สนใจชายหนุ่มที่ยืนมองเธออยู่ ฟรานเชสโก้กลั้นหัวเราะแล้วก้มศีรษะให้เล็กน้อยก่อนหมุนตัวจากมา แต่ในนาทีหนึ่งเขากลับชะงักและหันหลังกลับไปแต่ก็เห็นเพียงแผ่นหลังของหญิงสาวคนนั้น เขาพยายามนึกแต่ก็ยังนึกไม่ออกจึงได้แต่ก้าวเท้าเดินมาที่จอดรถของตัวเอง ในขณะที่กำลังก้าวเข้าไปนั่งในรถเสียงมือถือก็ร้องดังเรียกอย่างกวนใจทำให้เขาต้องรีบกรอกเสียงตอบรับไปทันที “รู้สึกจะสนุกกับการอยู่เมืองไทยจังนะ” “ก็ใครทำให้ผมต้องเที่ยวมาเที่ยวไปแบบนี้เล่า” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเนื่องๆ กับผู้เป็นพ่อ “ฉันไม่ได้โทรทางใกล้มาชวนทะเลาะกับแกนะ” “แล้วพ่อโทรมาทำอะไร ข่าวดีรึ เรียกผมกลับบ้านไม่ต้องกลับมาที่ๆ มันร้อนระเบิดแบบนี้ใช่ไหม” “ข่าวดีหรือเปล่าไม่รู้แกต้องไปถามลุงโทนี่ของแกเอง” “พ่อย่ามาพูดตลก ลุงโทนี่ตายไปครบร้อยวันแล้วนี่” “เรื่องนั้นฉันรู้ แต่ที่ไม่รู้คือแกไปทำเสน่ห์อะไรไว้กับลุงโทนี่เอาเป็นว่าพินัยกรรมของลุงโทนี่มีชื่อแกอยู่ แกต้องมารับผิดชอบเรื่องนี้” “รับผิดชอบ” ฟรานเชสโก้ครางในลำคอ ฟังดูมันไม่ใช่ความหมายที่ดีนักหรอก “รีบกลับก็แล้วกัน คนที่นี่เขาอยากขย้ำคอแกเต็มที่แล้ว” “ครับ” ฟรานเชสโก้ปิดมือถือใจจริงเขายังมีคำถามอีกมากมายแต่เลือกที่จะเก็บไว้ก่อนเพราะมั่นใจว่าพ่อของเขาก็คงไม่รู้คำตอบของคำถามที่เขาต้องการ “กลับหนะกลับอยู่แล้ว แต่ไม่อยากกลับไปมีเรื่องนะซิ” ชายหนุ่มโครงศีรษะแล้วขับรถมุ่งกลับมาที่บ้านพักของตนเอง สำหรับเขาไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเก็บเสื้อผ้าอะไรหรอกแค่หยิบวีซ่ากับพาสปอร์ตก็เรียบร้อยแล้ว แต่เรื่องราวของลุงโทนี่นั้นเล่า ยังรบกวนจิตใจเขาอยู่ ลุงโทนี่ที่เขารักและเคารพเหมือนพ่อคนที่สองก็ว่าได้. 
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม