“ว่าไงไป๋กินข้าวเที่ยงหรือยัง”
นริศเพื่อนชายของหญิงสาวที่นั่งสัปหกอยู่กับกองหนังสือตรงหน้า เขาเอ่ยถามเสียงดังก่อนที่ตัวเองจะเดินมานั่งที่โต๊ะม้าหินเดียวกับเธอ
“ยังเลย รอต๊ะนั้นแหละลงมาช้าจัง” ไปรยาต่อว่าแบบไม่เอาจริงจัง เก็บหนังสือเล่มเล็กที่เอามาอ่านฆ่าเวลาลงในกระเป๋าผ้าใบนารักของเธอ
“แอบหลับในห้องก็เป็นแบบนี้แหละฮะไป๋” เสียงทุ้มๆ ของเจฟฟ์ทำให้นริศหรือต๊ะหันหลังกลับไปมองทางต้นเสียงผู้ชายร่างสูงโปร่ง ผมบ๊อบสีน้ำตาลอ่อนดูรับกับดวงตาสีฟ้าสด เว้นแต่สำเนียงที่ชัดเจนจนไม่คิดว่าจะเป็นลูกครึ่งเสียอีก
“นี่เจฟฟ์ เงียบได้เงียบเลยหรือไม่ก็หาอะไรอุดปากไว้ซะ” คนถูกว่าโวยบ้างแต่ต้องหยุดกึกด้วยสายตาของเพื่อนสาวตรงหน้า
“ก็ได้ งั้นไปหาอะไรกินกันเหอะ ไป๋ก็คอยนานแล้วไม่ใช่เหรอฮะ” หนุ่มลูกครึ่งไม่สนใจ แต่กลับยิ้มละไมให้ไปรยาแล้วพยักหน้ารับแล้วสบตากับเพื่อนที่นั่งตรงหน้าให้ลุกขึ้นไปหาอะไรกินได้แล้ว
นริศ เจฟฟ์ และไปรยา ทั้งสามคนสนิทสนมกันมาตั้งแต่เรียนปีหนึ่งจนตอนนี้ไปรยาเรียนจบแล้วเหลือเพียงรอรับปริญญาเท่านั้น ส่วนนริศกับเจฟฟ์ที่ยังต้องเรียนอีก1 ปี เพราะเขาเรียนคณะสถาปัตยกรรม บังเอิญว่าวันนี้ไปรยาต้องมาติดต่อลงทะเบียนบัณฑิตจึงโทรนัดเพื่อนชายทั้งสองมากินข้าวด้วยกัน
ทั้งสามคนเดินมาที่โรงอาหารของมหาวิทยาลัย
ผมยาวสลวยถึงกลางหลังของไปรยาพลิ้วไหวล้อเล่นกับสายลมยามเมื่อก้าวเท้าเดิน ใบหน้าหวานและดูอ่อนกว่าวัยจนไม่น่าเชื่อว่าเธอจะอายุยี่สิบเอ็ดปีแล้ว ส่วนเจฟฟ์นั้นเป็นหนุ่มลูกครึ่งแต่ภาษไทยชัดแจ๋ว ไปรยากับนริศมาจากโรงเรียนเดียวกัน และเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่มอต้น แต่ตอนเรียนคนละคณะไปรยาเลือกอักษรฯ แต่นริศเลือกมัณฑนศิลป์สาขาเดียวกับเจฟฟ์ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทสมัยประถมแต่แยกย้ายกันไปตอนมัธยม มาเจออีกทีก็ที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้
“เฮ้ย โต๊ะนั้นว่างพอดีเลย” ว่าแล้วก็ไม่รอช้า นริศก็รีบวิ่งไปที่โต๊ะที่นั่งกินข้าวประจำ ไปรยาหัวเราะคิกคักมองเพื่อนที่วิ่งไปชนกับใครคนหนึ่งจนล้มด้วยกันทั้งคู่
“โอ๊ย รีบลุกไปเร็วๆ หน่อยซิ นายทับขาฉันอยู่นะเว้ย”
“ก็กำลังลุกอยู่นี่ แล้วนายนั้นแหละที่เดินไม่ดูทาง”
“พูดให้มันดีหน่อย ใครไม่ดูทางกันแน่” นริศพูดด้วยน้ำเสียงเอาเรื่องไม่แพ้กัน
คนแปลกหน้าสบตาอย่างเขื่องๆสงบอารมณ์ได้ก็เลยเส้นผมที่ยาวจรดบ่า แล้วลุกขึ้นยืนปัดฝุ่นจากกางเกงยีนส์สีซีด
“ต๊ะเป็นอะไรหรือเปล่า” ไปรยาถามอย่างเป็นห่วงก่อนหันมาสบตากับคู่กรณีของนริศ
“ขอโทษแทนต๊ะด้วยนะคะ” เธอเอ่ยเสียงหวานหวามทำเอาหนุ่มผมยาวหัวใจหวั่นไหว
“ทำไมต้องไปขอโทษมันด้วย”
“ต๊ะ” ไปรยาเรียกชื่อของนริศเสียงเข้ม
นริษถอนหายใจอย่างหงุดหงิดก่อนทิ้งหนังสือสองสามเล่มลงบนโต๊ะแรงๆ
“อ้าว...ลอยเหรอเนี้ยนึกว่าใครที่ไหนซะอีก” ประโยคนั้นของเจฟฟ์ทำเอานริศหันกลับไปมองคู่ปรับอีกครั้ง
“แล้วนึกว่าใครล่ะ” เจ้าของชื่อตอบอย่างอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง ชายตามองมาทางสาวสวยเล็กน้อยก่อนเริ่มประโยคสนทนาต่อไป
“รู้จักกันด้วยเหรอคะ” ไปรยาถามบ้าง
“ฮะสองสามปีแล้วฮะ อ้อ...ไอ้หมอนี้เรียกมันว่าลอยฮะลอยนี้ไป๋ ไปรยาเพื่อนเรา แล้วที่ยืนหน้ามุ้ยอยู่นั่นก็ต๊ะ นริศ” เจฟฟ์แนะนำให้เพื่อนๆ รู้จักกัน แต่นริศไม่สนใจบอกจะไปหาซื้ออะไรมากิน ปล่อยให้ไปรยานั่งคุยกับลอยสองคน
“ไป๋รอเดี๋ยวนะ เดี๋ยวเจฟฟ์ไปซื้อข้าวมันไก่มาให้”
“ขอบใจนะเจฟฟ์” เธอเอ่ยกับเพื่อนหนุ่มแล้วหันมาถามหนุ่มผมยาวที่นั่งตรงหน้า “แล้วคุณลอยล่ะคะ”
“ไม่ต้องเรียกคุณหรอกครับ” ลอยยิ้มอย่างเป็นกันเอง “ผมยังไม่หิวหรอก เมื่อกี้เพิ่งแยกจากเพื่อนมาก็เลยได้กินอะไรมานิดหน่อยครับ”
“เหรอคะ เอ่อ...เมื่อกี้ต้องขอโทษอีกครั้งนะคะ คือต๊ะเค้าเป็นคนอย่างนี้แหละ แล้วเค้าก็ชอบนั่งโต๊ะนี้เป็นประจำ นั่งมาตั้งแต่ปีหนึ่งแล้วยังไม่ยอมเปลี่ยนเลยค่ะ” เธอพูดแล้วหัวเราะเบาๆ รอยยิ้มนั้นแทบสะกดคนที่เดินผ่านไปมาให้หันมามอง ร่วมทั้งคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า
“ขอโทษครับ คุณไป๋เรียนคณะอะไรครับ” นานหลายนาทีกว่าที่คนหนุ่มจะเอ่ยถาม
“อักษรค่ะ ไป๋ว่าลองต้องเรียนศิลป์แน่เลย”
“แม่นจังครับ แต่ผมเรียนจิตรกรรมครับแต่เรียนช้าไปหน่อย แต่แปลกที่ไม่เคยเห็นหน้าไป๋เลย” ประโยคหลังเอ่ยอย่างเขินๆ เล็กน้อย
“ก็ไป๋ไม่ใช่คนสวยนี้ค่ะ” เธอหัวเราะเสียงกระแทกจานข้าวลงกับโต๊ะทำเอาหนุ่มผมยาวชะงักปากจะถามอะไรกับไปรยาต่อ
“ต๊ะ เดี๋ยวจานก็แตกหรอก” ไปรยาเอ่ยแล้วรับแก้วน้ำที่นริศส่งมาให้
“ช่างประไร”
สายตาของเขามองที่คู่ปรับอย่างไม่พอใจที่มานั่งคุยกับไปรยาอย่างนี้ เป็นจังหวะเดียวกับที่เจฟฟ์เอาข้าวมันไก่ของไปรยามาให้ ลอยจึงขอตัวออกไปก่อนแต่ไม่ลืมที่จะส่งสายตาหวานให้ไปรยา
“นายมีเพื่อนแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่วะ” นริศถามอย่างหงุดหงิด
“อ้าว ฉันก็มีเพื่อนมีฝูงของฉันบ้างดิ” เจฟฟ์ทำหน้างงแต่ไปรยาหัวเราะออกมา
“อยู่กับพวกนายแล้วฉันสบายใจจัง”
“ใครทำอะไรไป๋เหรอ” น้ำเสียงของนริศมีความอาทรให้กับเพื่อนสาวเสมอ แต่เขาก็หวังว่าเธอจะรับรู้ความรู้สึกเกินเพื่อนของเขา
“ก็ไม่มีอะไร” ไปรยายักไหล่ “แค่เมื่อวานมีเรื่องงี่เง่าที่ผับหน่ะ”
“ก็บอกแล้วว่าไป๋ไม่เหมาะกับงานพริตตี้แบบนั้นหรอก” เจฟฟ์ถอนหายใจเบาๆ “แถมต้องแอบทำงานไม่ให้แม่รู้อีกด้วย”
ไปรยา พรภวิษย์ ถอนหายใจหนักๆ หญิงสาวกำพร้าบิดามาตั้งแต่เด็ก ถ้าจะพูดให้ถูกคือเธอไม่เคยเห็นหน้าพ่อของตัวเองด้วยซ้ำไป ไม่มีแม้กระทั่งรูปถ่าย เธอได้ยินชาวบ้านพูดว่า แม่ท้องไม่มีพ่อ ก่อนหน้าที่แม่จะตั้งท้อง แม่ทำงานเป็นครูรับราชการมีความมั่นคงในชีวิตดีแต่เมื่อวันหนึ่งแม่เกิดตั้งท้องโดยไม่มีการแต่งงานและแม่ไม่เคยเอ่ยว่าใครเป็นพ่อของเด็ก ความนับถือและศรัทธาในตัวแม่ก็จางหาย แม่จำใจต้องย้ายบ้านและลาออกจากการเป็นครูมาทำงานเป็นนักแปล และผลพวงนี้เองละมั้งที่ทำให้เธอเก่งเรื่องภาษาไปด้วย
การที่แม่ต้องเลี้ยงเธอตามลำพังทำให้ฐานะของเธอค่อนข้างลำบากแต่เพราะการเรียนยอดเยี่ยมทำให้เธอได้ทุนเรียนหนังสือมาตลอด แต่กระนั้นเธอก็ทำงานพิเศาช่วยเหลือครอบครัวที่มีกันเพียงสองคนแม้ว่าแม่จะไม่ยอมก็ตาม จนเมื่อตอนที่เธอเรียนอยู่ปีสองเธอก็ได้งานพิเศษเงินดีและไม่กระทบการเรียนนั่นก็คือ ‘พริตตี้’
สองสามปีที่ไปรยาทำงานพิเศษด้วยการเป็นพริตตี้นั้นเป็นความลับที่แม่ของเธอยังไม่รู้ และแน่นอนว่าเธอไม่เคยมีความคิดจะให้แม่รู้ มีน้อยคนที่จะรู้ว่าเธอทำงานพิเศษแบบนี้ เพราะบุคลิกที่คนอื่นๆ เห็นทุกวันก็คือ เด็กสาวธรรมดาๆ ที่แต่งตัวเชยๆ ไม่เคยแต่งหน้าตาทาเครื่องสำอางเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาเรียนและหมกตัวอยู่ในห้องสมุด แต่เมื่อเธอได้กลายเป็นพริตตี้ ใบหน้าฉาบเครื่องสำอางจัด แต่งตัวเปิดเผยเรือนร่างแต่ไม่ถึงกับโป๊เปลือย แต่การที่ได้เจอคนหลายรูปแบบโดยเฉพาะผู้ชายที่พยายามจะ ‘ซื้อ’ เธอด้วยนั้นทำให้เธอแกร่งขึ้นโดยปริยาย
ก็เหมือนเมื่อคืนนั้นแหละ เธอไปเป็นพริ้ตตี้ให้เครื่องดื่มผสมแอลกอฮอร์ยี่ห้อหนึ่งแล้วก็ถูกขี้เมาพยายามลวนลาม ความจริง เธอว่าเธอจัดการรับมือกับเรื่องพวกนี้ได้สบายๆ อยู่แล้ว ถ้า...ถ้าสู้กันแบบตัวต่อตัว
‘ผมแค่คิดว่าเราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่า’
ภาพชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ก็ผุดขึ้นมาในสมอง เธอควรขอบคุณที่เขาเข้ามาช่วยแต่เขาดูมาดเข้มเหมือนพวกเทพบุตรแวมไพร์หรือไม่ก็เจ้าชายจากยุโรปที่มีดวงตาเจ้าเล่ห์ผสมความเจ้าชู้และมีพลังดึงดูดบางอย่างจนเธอต้องหาทางถอยห่างให้เร็วที่สุด
“ไป๋เก็บเงินได้พอสำหรับเช่าชุดครุยแล้วก็น่าจะเลิกงานนั้นน่ะ” เสียของเจฟฟ์ทำให้ไปรยาตื่นจากภวังค์ เขาเตือนด้วยความเป็นห่วงเช่นทุกครั้ง
“ฉันสมัครงานไว้แล้วล่ะ ถ้าได้งานประจำเมื่อไหร่ฉันสัญญาว่าจะเลิกเป็นพริตตี้”
ไปรยายกมือชูสองนิ้วทำท่าสัญญาแบบลูกเสือทำให้เจฟฟ์หัวเราะเบาๆ แต่นริศกลับมองด้วยความหงุดหงิด เขาอยากเรียนจบเร็วๆ มีงานทำและการเงินมั่นคงไม่ต้องขอเงินน้าใช้อย่างทุกวันนี้ นริศได้แต่ถอนหายใจหนักข่มความหงุดหงิดไว้ในใจ
ถ้าเขาพร้อม เขาจะบอกรักไปรยา.