นริศได้แต่เกาหัวแกรกๆ เจ้าของบ้านเดินกลับเข้าบ้านไปแล้วเขาก็เลยไม่รู้จะนั่งทำอะไรอยู่นึกโมโหนิดๆ ทีเวลาคุยกับนายลอยอะไรนั่นทำไมหัวเราะต่อกระซิกกันเหมือนรู้จักกันมานาน ทีกับเขาคุยกันไปทะเลาะกันไปทุกที แต่เอาเถอะ ยังไงเขาก็รักไปรยา หวังว่าสักวันเธอจะเข้าใจความรู้สึกของเขา นริศถอนหายใจเหนื่อยๆ แล้วลุกขึ้นขี่มอเตอร์ไซค์กลับบ้านของตัวเอง
“ลูกยา...”
“ค่ะ” ไปรยาชะงักเท้าที่กำลังจะเดินขึ้นไปที่ห้องนอนแล้วเลี้ยวมาหาแม่ที่โต๊ะทำงาน “แม่มีอะไรหรือคะ”
“เรื่องเรียนต่อนะลูก” คุณบุษบาเอ่ยแล้วหยิบซองสีน้ำตาลส่งให้ลูกสาว “เอกสารสอบปริญญาโทจ๊ะ”
“จะดีหรือคะแม่ หนูไม่อยากเห็นแม่เหนื่อย”
“แม่เคยบอกหรือว่าเหนื่อย” คุณบุษบาลูบผมของลูกสาวเบาๆ “แม่มีความสุขที่ได้เห็นลูกเติบโตนะจ๊ะ หนูลองไปอ่านดูนะลูกเผื่อว่าจะตรงกับความสนใจของลูก”
“ค่ะแม่”
ไปรยาหยิบเอกสารแล้วเดินขึ้นบันไดมาที่ห้องนอนของตัวเอง เธอวางเอกสารไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือแล้วทิ้งตัวบนเตียงนอน
‘ต๊ะก็รู้ว่าไป๋ไม่จัดงานวันเกิด’
ไม่รู้ว่าพูดแรงไปหรือเปล่า ไปรยาถอนหายใจหนักๆ เธอเกลียดการจัดงานวันเกิด ทุกปีเมื่อถึงวันเกิดเธอก็แค่ทำบุญใส่บาตรกับแม่ในตอนเช้า แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษ ตั้งแต่จำความได้เธอมักถูกเพื่อนล้ออยู่บ่อยๆ ที่ไม่มีพ่อ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อตัวเองเป็นใครและหน้าตาเป็นยังไง เธอรู้สึกว่า ถ้าแม่ไม่มีเธอ แม่คงสบายกว่านี้แม้ว่าแม่จะบอกรักเธอมากแค่ไหนแต่เธอก็ยังรู้สึกว่าตัวเองเป็นภาระของแม่
เธอไม่รู้ว่าตัวเองอยากเจอพ่อไหมเธอไม่ต้องการเรียกร้องให้พ่อมารับผิดชอบอะไรในชีวิตเธอเลยแต่ที่แน่ๆ เธออยากรู้ว่าทำไมถึงทอดทิ้งแม่ ปล่อยให้แม่ต้องลำบากขนาดนี้ หรือพ่อไม่เคยรักแม่มีแต่แม่เท่านั้นที่รักอยู่ฝ่ายเดียว
ไปรยาระบายลมหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนแล้วลุกขึ้นไปหยิบซองเอกสารออกมาอ่าน ชีวิตมันคงไม่เลยวร้ายนักหรอก ถ้ารู้จักเลือกทางที่จะเดิน.
.....................
ชายหนุ่มผมยาวลดกล้องลงเมื่อเขามองเห็นบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งกำลังยืนมองดูรถหรูสัญชาติเอเชีย เขาเพ่งสายตาครู่หนึ่งเพื่อทบทวนความทรงจำก่อนจะยิ้มออกมาแล้วเดินตรงไปทักทาย
“สวัสดีครับคุณฟรานเชสโก้”
ฟรานเชสโก้ ซิวีลิอาโน่ย้ายสายตาจากรถสปอร์ตตรงหน้ามาที่ต้นเสียงด้านหลัง ชายหนุ่มยิ้มให้เล็กน้อย “ไม่คิดว่าจะเจอลอยที่นี่”
“ผมต่างหากที่น่าจะพูดประโยคนี้” ลอยยิ้มกว้าง “มาเมืองไทยนานแล้วหรือครับ”
“เพิ่งมาได้สี่ห้าวันนี่เอง” ฟรานเชสโก้พยักหน้ารับแล้วมองหนุ่มรุ่นน้องที่สะพายกระเป๋ากล้องใบใหญ่ “นี่มาทำงานเหรอ”
“ครับ...มาเก็บภาพทำโบว์ชัวร์ให้รุ่นพี่นะครับ” ฟรานเชโก้หลิวตามองไปยังบรรดาพริตตี้สาวๆ ที่โปรยยิ้มให้
“งานแบบนี้ไม่น่ามีคนพลาด”
“พอดีแฟนรุ่นพี่เขาคลอดลูกครับ ผมก็เลยได้มาแทน” ลอยหัวเราะเขินๆ “แล้วคุณฟรานเชสโก้มานี่เพราะเรื่องงานหรือส่วนตัวละครับ”
“ทั้งสองอย่างแต่คราวนี้คงอยู่นานหลายเดือน” ฟรานเชสโก้โคลงศีรษะไปมา “ว่างๆ แวะมาที่ออฟฟิศหน่อยซิ มีงานอยากให้คนมีฝีมืออย่างนายทำ”
“ฝีมือผมไม่เท่าไหร่หรอกครับ” ลอยพูดอย่างถ่อมตัว “ผมก็มัวแต่ทำโน้นทำนี่จนเรียนตามรุ่นน้องไม่ทันแล้ว”
“อ้าวเหรอ นึกจบแล้วนะเนี้ย”
“รุ่นน้องจะเรียกผมปู่รหัสอยู่แล้ว”
“เฮ้ย อย่ายืนคุยเฉยๆ แบบนี้เลย มาช่วยเลือกรถให้ฉันสักคันดีกว่า” ฟรานเชสโก้พยักหน้าเป็นเชิงเรียกลอยให้เดินตาม “ฉันต้องอยู่เมืองไทยนานเลยคิดจะหารถไว้ใช้สักคัน”
ลอยทำหน้าเหลอหลา เออหนอ คนรวยนี่คิดจะซื้ออะไรก็ซื้อ แม้แต่ซื้อรถคันหลายล้านแต่ก็ทำเหมือนซื้อเสื้อตลาดนัด แต่ คนอย่างฟรานเชสโก้ ซิวีลิอาโน่จะเคยเดินตลาดนัดด้วยเหรอ ลอยเดินตามร่างสูงใหญที่สวมชุดสูทสีเข้มสีหลักที่เขาใส่ประจำ คงไม่มีใครเชื่อว่าเขารู้จักผู้ชายคนนั้นแน่ๆ แต่ที่เขารู้จักถึงขั้นค่อนข้างสนิทสนมก็เพราะเมื่อสามปีก่อนฟรานเชสโก้บังเอิญซื้อรูปวาดของเขาที่แกลอรี่ของรุ่นพี่คนหนึ่งแล้วชอบใจงานสไตล์ของเขา และนั้นเป็นเหตุให้เขาและฟรานเชสโก้ได้พบกัน ทีแรกเขาคิดว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนหยิ่งทระนงแต่ในความจริงเขามีความอ่อนไหวและอ่อนโยนโดยดูได้จากงานศิลปะที่เขาเสพ ต่อมาฟรานเชสโก้สนับสนุนทั้งด้านการงานและการเงินจนทำให้ใช้ชีวิตในฐานะศิลปินไม่ลำบากนัก
สีสันของงานมอเตอร์โชว์ที่สำคัญคือบรรดาเหล่าพริตตี้หน้าตาดีทั้งหลาย เจ้าของค่ายรถแต่ละยี่ห้อต่างคัดสรรพริตตี้ดีๆ ที่เป็นตัวแทนรถแต่ละรุ่น ไม่ใช่แค่ความสวยเท่านั้นยังสามารถอธิบายคุณสมบัติของรถแต่ละรุ่นให้ลูกค้าใจมั่นใจที่จะควักเงินซื้อรถอีกด้วย นอกจากรถยนต์และมอเตอร์ไซค์แล้วยังรวมถึงอุปกรณ์ตบแต่งรถทุกชนิด ทั้งยางรถยนต์และเครื่องเสียง
นริศรู้สึกเข่าอ่อนแทบหมดแรงยืนเวลาที่เดินผ่านบูธมอ-เตอร์ไซค์ ค่ายรถต่างๆ ช่างคัดเลือกพริตตี้สวยสุดเซ็กซี่เร้าอารมณ์ชะมัด เสื้อผ้าก็น้อยชิ้นจนแทบอยากจะยื่นมือไปช่วยปิด เขานึกเสียดายที่ไม่ได้เอากล้องถ่ายรูปมาด้วยเห็นแต่คนอื่นถ่ายรูปพริตตี้เสียจนงงว่ามาดูรถหรือดูสาวๆ
“เป็นไรทำไมเหงื่อแตกแบบนี้ละ” เจฟฟ์เอ่ยถามเพื่อนที่เหงื่อแตกพลั่กๆ
“รู้สึกเหมือนความดันขึ้นเลือดกำเดาจะไหลวะ” นริศสารภาพ “ฉันไม่เคยมางานมอเตอร์โชว์เลยวะ ดูแต่ในเนท”
“ตั้งสติหน่อยไอ้ต๊ะ เดี๋ยวไป๋รู้เข้าจะโกรธเอายิ่งขี้งอนอยู่ด้วย” เจฟฟ์เตือนเพื่อนแล้วหัวเราะออกมาอย่างไม่เกรงใจ
“รู้แล้วๆ อย่าไปบอกไป๋ละกัน” นริศพยักหน้ารับแล้วเร่งเดินไปบูทที่ไปรยาอยู่ทันทีแม้ในใจจะเสียดายอยู่ลึกๆ “หวังว่าไป๋คงไม่แต่งตัวโป๊ขนาดนี้นะ”
“ไม่หรอกพวกรถหรูเขาแต่งตัวมิดชิดกว่านั้น” เจฟฟ์หัวเราะ “เป็นห่วงขนาดแอบตามมาดูแบบนี้ทำไมไม่ขอเป็นแฟนไปให้มันสิ้นเรื่องสิ้นราววะ”
“ถึงเวลาแล้วจะพูดเองแหละ” นริศแสร้งทำหน้ารำคาญกลบเกลือนความรู้สึกในใจ เขาขลาดเกินไปที่จะยอมรับเรื่องนี้
ทั้งสองใช้เวลาราวๆ สิบกว่านาทีก็มาถึงบูทที่หมายซึ่งเป็นรถยนต์ค่ายญี่ปุ่นชื่อดัง นริศกวาดสายตามองแค่ไม่กี่นาทีเขาก็พบเจ้าของร่างเพรียวหุ่นนางแบบกำลังโปรยยิ้มหวานพร้อมกับพูดบรรยายถึงโปรโมชั่น นริศรู้สึกเหมือนลืมหายใจไปชั่วขณะที่เห็นไปรยาในชุดเดรสสีดำเป็นมันวาวชายกระโปรงเป็นระยายสองชั้นด้วยผ้าชีฟองเพิ่มความหวานและมีเสน่ห์วันนี้ไปรยาไม่ได้ใส่วิกผมสั้นแต่ปล่อยผมยาวเหยียดตรงถึงกลางหลังแต่แต่งสีไฮไลน์ดูโดดเด่นยามแสงชัตเตอร์มากระทบ เธอเหมือนมีเวทมนต์ที่แปลงร่างได้ ใครจะเชื่อว่าสาวสวยและเซ็กซี่คนนั้นจะเป็นคนเดียวกับเด็กเรียนสวมแว่นตาหนาเตอะในตอนกลางวัน
“อ้าว...พี่ลอย”
เสียงเจฟฟ์ทักทำให้นริศสะดุ้งและหันไปมอง ลอยยืนอยู่ข้างหลังชายคนหนึ่งที่ดูหรูหราไฮโซและดูท่าทางเขาไม่สนใจพวกของนริศกับเจฟฟ์แม้แต่น้อย
“เจฟฟ์ก็มาด้วยเหรอ” ลอยทักตอบแล้วหันไปพูดกับฟรานเชสโก้เป็นเชิงขออนุญาตก่อนก้าวยาวๆ มาทางนริศและเจฟฟ์
“ผมพาเจ้าต๊ะมาหาไป๋ครับ” เจฟฟ์พยักเพยิดไปทางนริศที่ทำหน้าบอกบุญไม่รับ”แล้วพี่ลอยมาดูรถหรือมาทำงานครับเนี้ย
“ทำงานซิ คนอย่างพี่ไม่มีปัญญาซื้อรถหรอก” ลอยหัวเราะในลำคอแล้วมองดูหน้าตาหงุดหงิดของนริศ “ไม่รู้ว่าไป๋ก็มาทำงานที่นี่”