ชีวิตในมอสองเป็นอะไรที่ล่องลอยมากจริง ๆ ค่ะ สำหรับฉันมันเหมือนใช้ชีวิตไปวัน ๆ แค่นั้นเองและบางวิชาก็ไม่รู้ว่าเรียนจบไปแล้วเอาไปทำอะไร ยกตัวอย่างเช่น รำกระบี่กระบอง ...
“ทำหน้าดี ๆ หน่อย กลัวคนอื่นไม่รู้เหรอว่ามึงไม่ชอบเรียนวิชานี้”
“พูดอย่างกับมึงชอบตายแหละ”
“จำใจเรียนอ่ะ เคยได้ยินไหม”
“เฮ้อ...”
“เขาเรียนให้มีความรู้ มึงอย่าสงสัยเยอะสิ”
ฉันไม่ชอบเลยค่ะ อาจารย์ก็เอาแต่พูดว่าถ้าเธอรำเป็นนะ ไปสมัครงานที่ไหนเขาก็รับเลยทันที มันใช่เหรอคะ? มันเป็นศิลปะป้องกันตัวอย่างหนึ่งนะ แต่เหมือนอาจารย์ท่านนี้จะอธิบายแบบขอไปทีแล้วมันทำให้น่าเบื่อ กลายเป็นวิชาที่ไม่อยากเข้าเรียนน่ะ
“ท่องไว้ว่าเขาให้คะแนนเยอะ”
“เฮ้อ...” ถอนหายใจวนไปค่ะ
ไม่เข้าใจตรงไหนให้ถาม พอยกมือถามกลับถูกย้อนมาว่าตอนสอนทำไมไม่ฟัง อ้าว! กว่าจะหมดชั่วโมงคือนานมาก ไม่ชอบเลยเวลาที่ไม่ได้คำอธิบายอะไร แต่ช่างมันเถอะ!
“คาบต่อไปเรียนอะไร”
“คอมสองชั่วโมง บ่ายดนตรี”
“ฝากเปิดคอมด้วยกูไปห้องน้ำก่อน”
“เออ”
คล้อยหลังไอ้จูนฉันก็รีบมาเข้าห้องน้ำทันทีแต่ว่าห้องคอมมันอยู่ตึกสามค่ะ ทางเลือกที่ดีที่สุดก็คือห้องน้ำหลังตึกนั่นเอง
พอทำธุระส่วนตัวเสร็จก็ออกมาล้างมือด้านนอก แต่คราวนี้มีสมาชิกใหม่มาเพิ่มด้วยอีกหลายคน เป็นรุ่นพี่มอปลายค่ะ มีคนหนึ่งไม่ได้เข้าห้องน้ำแต่มายืนล้างมือข้างฉัน หลังจากนั้นเขาก็สะบัดมือเต็มแรงทำให้ละอองน้ำกระเด็นใส่หน้าฉันเข้าอย่างจัง
“ก็งั้น ๆ อย่ามั่นหน้าไปหน่อยเลย” เขาต้องจงใจพูดกับฉันแน่ ความรู้สึกมันบอกแบบนั้น แต่ฉันไม่อยากมีเรื่องกับใครไง “อย่ายุ่งกับทิว” ในที่สุดก็เปิดประเด็นออกมาจนได้ค่ะ
“พี่เป็นแฟนพี่ทิวเหรอ”
“กูบอกอย่ายุ่งก็คืออย่ายุ่ง จะวัดกันก็ได้นะ”
“หนูไม่ได้รู้จักพี่ทิวเป็นการส่วนตัวสักหน่อย ไม่ได้คุยกันอยู่ด้วย”
“ตอแหล!! วันก่อนที่โรงอาหารกูเห็นกับตา หลายครั้งแล้วนะมึงอ่ะ” น้ำเสียงไม่พอใจยังคงเอ่ยออกมาอย่างต่อเนื่อง
“ใครกันแน่ที่ตอแหล บอกว่าไม่ได้เป็นอะไรกันไงวะ”
“รู้ตัวว่าไม่ได้เป็นก็อย่าเสนอหน้าให้มาก!!”
พลั่ก!
“กูเห็นอีกครั้งนะมึงเจอกูแน่” คำขู่ดังขึ้นพร้อมกับฝ่ามือยื่นมาผลักฉันเต็มแรงจนล้มขมำไม่เป็นท่า
“อีเกตุใจเย็น ๆ เดี๋ยวอาจารย์มาก็โดนเล่นหรอก” เพื่อนเขาเข้ามาห้ามก่อนจะลากกันออกไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ฉันนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้นมองตัวเองในกระจก
“เพราะพี่! เพราะพี่คนเดียวเลย” ก่นด่ากับตัวเอง ไม่ชอบเลยที่จะต้องมาทะเลาะกับคนอื่นด้วยเรื่องแบบนี้
“เป็นอะไรวะ หน้าบึ้งมาเชียว” มาถึงห้องคอมไอ้จูนก็เอ่ยถาม
“ช่างแม่ง!” ตอบแบบขอไปที พอเห็นแบบนั้นมันก็ไม่เซ้าซี้อะไรต่อ จนหมดชั่วโมงเรียนก็ลงมาที่โรงอาหารกัน อีต้นไปซื้อน้ำ ไอ้จูนไปซื้อข้าว ส่วนฉันนั่งรอที่โต๊ะค่ะ รู้สึกได้เลยว่าอารมณ์ตัวเองยังไม่เป็นปกติ จนสายตาหันไปเห็นใครบางคนกำลังเดินเข้ามาในโรงอาหารเหมือนกัน ฉันทำเป็นไม่เห็นแล้วมองเลยไปทางอื่นแทน
“กินข้าวเสร็จไปเข้าห้องน้ำกันนะ” ไอ้หมูเอ่ยชวน
“ไปดิ”
ระหว่างมื้อเที่ยงก็จะมีเสียงพูดคุยหัวเราะดังอยู่ตลอด จนกระทั่งกินข้าวเสร็จแล้วมาเข้าห้องน้ำ
“ตาล ไปมินิมาร์ทเป็นเพื่อนหน่อยดิ”
“ปวดท้องว่ะ เอ็งไปกับมุขแล้วกันนะพลอย”
“เออ ๆ เอาไรกันหรือเปล่า”
“อะไรก็ได้ แล้วแต่จะกรุณา” ฉันว่ายิ้ม ๆ ตอบปัดมันไปแบบนั้นแหละ พอคล้อยหลังพลอยฉันก็มานั่งรอในห้องดนตรี แต่เท้าทั้งสองข้างกลับชะงักไปเมื่อเห็นใครบางคนอยู่ในห้องนี้ด้วย ไม่สิ! เขาอยู่กันหลายคนเลยแหละ
“พี่มอห้าเข้ามาทำไมวะ” หันไปถามหัวหน้าห้อง
“อาจารย์เขาสอนควบ”
“หมายความว่าต้องเรียนกับพี่เขางี้เหรอ”
“เออ สองชั่วโมงวนไป”
อยากจะบ้าตายค่ะ! อย่างนี้หรือเปล่าที่เขาเรียกว่ายิ่งหนียิ่งเจอน่ะ ฉันแยกตัวออกมานั่งมุมหนึ่งของห้อง แค่เพียงไม่นานไอ้จูนกับหมูก็ตามมาติดๆ แถมยังมีขนมมาฝากฉันอีกด้วย
“ซื้อแบบนี้มาจากไหน”
“...” นอกจากจะไม่ตอบแล้วมันสองคนยังอมยิ้มใส่อีกด้วย ฉันมั่นใจว่าขนมห่อนี้มันไม่มีในมินิมาร์ทแน่นอน
“ไม่บอกไม่กินนะ”
“ขนมที่มึงคุ้นเคย” ไอ้จูนมันว่ายิ้ม ๆ คราวนี้กลายเป็นฉันเองที่เงียบไป ก่อนจะเบนสายตาไปทางใครบางคนที่กำลังหัวเราะกับกลุ่มเพื่อนเขาอยู่ “เขาฝากให้มึงตอนกูไปซื้อข้าว”
“อืม” พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
“น่าอร่อยอ่ะ แกะดิกินด้วย” ไอ้หมูพูดขึ้น
“แกะดิ กินได้เลย”
“ให้ข้ากินเหรอ แต่เขาให้เอ็งนะ”
คนตรงหน้าดูอึดอัดใจนิดหน่อย เห็นแบบนั้นฉันจึงเป็นฝ่ายแกะคุกกี้ห่อนี้เองแล้ววางลงตรงหน้า หยิบกินไปแค่หนึ่งชิ้น ที่เหลือมันสองคนซัดเรียบค่ะ
ระหว่างชั่วโมงเรียนก็ไม่ได้สนใจเขาอีกเลยจนไอ้หมูสะกิด
“เขามองเอ็งด้วย”
“...” เขาจะมองฉันทำไม? ไม่ได้มีอะไรให้น่ามองเลยด้วยซ้ำ บางทีมันก็เว่อร์เกินไป
หลังจบคาบดนตรี วิชาต่อไปเป็นคณิตศาตร์เพิ่มเติมค่ะ แต่อาจารย์ไม่อยู่และไม่มีใครสอนแทน ก็เลยอยู่ในห้องดนตรียาวเลย
“กูไปห้องน้ำก่อนนะ”
“เออ”
บอกพวกมันก่อนจะแยกตัวออกมา แต่ใครบางคนกลับรั้งฉันไว้ซะก่อน “ถ้าไม่ได้เป็นควายก็คงเข้าใจภาษาคนที่กูพูดนะ”
“พูดอะไร?” น้ำเสียงห้วนเอ่ยจากด้านหลัง เบือนหน้าไปมองเป็นพี่ทิวค่ะ ฉันไม่รู้ว่าระหว่างเขากับพี่เกตุคืออะไร และมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้แทรกกลางความสัมพันธ์ของใครด้วย
“ทิวก็รู้ว่าเรา...”
ฉันเลือกที่จะเดินออกมาแล้วปล่อยให้พวกเขาเคลียร์กันเอง นี่ขนาดแค่แอบชอบนะ
หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จก็กลับเข้ามาในห้องดนตรี บรรยากาศรอบตัวแปลก ๆ ค่ะเหมือนถูกจับตามองยังไงก็ไม่รู้
“มึงจะยุ่งกับใครก็ได้ แต่มึงห้ามยุ่งกับคนของพี่เกตุ” ไอ้น้องเปิดประเด็นขึ้นคนแรก
“ใครเหรอคนของพี่เกตุน่ะ”
“มึงรู้อยู่เต็มอก! อย่าทำเป็นใสซื่อได้ไหม”
“แล้วมึงจะเป็นเดือดเป็นร้อนอะไรด้วยอีน้อง กูเห็นหลายครั้งแล้วมึงออกตัวแทนอีนี่ตลอดเลย” ไอ้ป๊อปเสริมขึ้นอีกคน
“ก็มันเป็นพี่กู”
“มึงคลานตามมันมาหรือไง!! นี่ถ้าไม่บอกกูคิดว่ามึงชอบพี่ทิวนะเนี่ย”
“...” ฉันเองก็แอบคิดเหมือนกัน แต่ไม่มีสิทธิ์โวยวายอะไร เพราะไม่ได้เป็นอะไรกัน แค่แอบชอบเขาเฉย ๆ
น้องมันเงียบไปจนไอ้จูนทนไม่ไหวแล้วตั้งคำถามกับมันแทน
“มึงชอบพี่ทิวเหรอไอ้น้อง”
“เปล่า”
“ขอให้จริงอย่างที่พูด กูไม่ได้เข้าข้างใครมึงก็เพื่อน ตาลก็เพื่อน แอบชอบก็ไม่ผิด แต่มึงจะมาทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของไม่ได้”
“...”
ทุกอย่างเงียบลงจนถึงเวลาเลิกเรียน วันนี้ออกประตูหน้าโรงเรียนค่ะเพราะนัดกับมุขไว้จะไปร้านศึกษาภัณฑ์เพื่อซื้อของมาทำงานกลุ่ม
“ขอคุยด้วยหน่อย” พี่ทิวค่ะ เขามากับพี่ริว
“คุยอะไรคะ”
“เกตุพูดอะไรด้วย”
“พูดอะไรไม่สำคัญหรอก เราไม่ได้เป็นอะไรกัน ไม่เห็นต้องสนใจเรื่องนี้เลย อ๋อ.. เรื่องขนมขอบคุณนะคะ แต่คราวหน้าพี่ไม่ต้องลำบากหรอก หนูเกรงใจ”
“เกรงใจหรืออะไรกันแน่”
“...” ถ้าจะบอกว่ารู้สึกแย่เพราะพี่! ก็คงไม่ถูก การแอบชอบของฉันมันควรมีแค่ฉันที่รู้สึกสิ อีกอย่างก็ไม่ได้อยากผิดใจกับคนอื่นเรื่องผู้ชายด้วยค่ะโดยเฉพาะเพื่อน
“ก่อนพี่จะคุยกับเพื่อนมุข พี่ไปเคลียร์กับคนของพี่ก่อนดีกว่านะ ตาขวางจนจะหลุดออกมาจากเบ้าอยู่ละ” ไม่รู้ว่ามุขมันมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ก็คงได้ยินทุกอย่างหมดแล้ว
“เออ กูเห็นด้วย เกตุแม่งโคตรน่ารำคาญ” พี่ริวเสริมขึ้นอีกคน
“เราไปกันเถอะ” ฉันจูงมือมุขออกมาจากตรงนั้นทันที คิดแบบไม่ได้เข้าข้างตัวเอง การกระทำแบบนี้มันหมายความว่าพี่ทิวกำลังแคร์ความรู้สึกฉันอยู่หรือเปล่านะ แต่คงไม่หรอก...