หลายเดือนผ่านไป...
ตั้งแต่เกิดเรื่องคราวนั้นฉันก็พยายามเลี่ยงที่จะเจอหน้าพี่ทิวมาโดยตลอด บางครั้งก็งงกับตัวเองเหมือนกันนะเป็นอะไรกับเขาก่อน? เป็นแฟนก็ไม่ใช่ คนคุยก็ไม่ใช่ เฮ้อ!!
“มึงกินยาลดน้ำหนักเหรอ” คำถามของพลอยทำเอาขนมที่กำลังจะเข้าปากต้องหยุดลง
“กู?”
“เออ มึงผอมแล้วอ่ะ สมส่วนด้วย”
“ไม่นะ แค่เลิกกินน้ำอัดลมแล้วก็ลดขนมขบเคี้ยวเท่านั้นเอง”
“เรียกอีอ้วนไม่ได้แล้วนะ ใครเรียกมึงอีอ้วนบอกกูมาได้เลยกูจะตบเรียงตัวให้” ไอ้จูนมันว่าขึ้น
“กูจะฝากชีวิตไว้กับมึงได้ใช่ไหม”
“แน่นอน”
วันนี้ไม่ได้เรียนช่วงเช้าค่ะเพราะมีการตรวจสุขภาพประจำปีและสิ่งที่ทำให้น่าตกใจก็คือน้ำหนักของฉันนั่นเอง
จากหกสิบตอนนี้เหลือห้าสิบสอง ดีใจเป็นบ้าเลยค่ะ ถ้าเทียบกับส่วนสูงที่ไม่ถึงร้อยหกสิบของฉันก็ยังดูอวบ ๆ อยู่ดีนั่นแหละ แต่ช่างเถอะ! เอาเป็นว่าผอมลงก็แล้วกัน
“ตาล มึงเอ็กซเรย์ยัง” ไอ้หมูเอ่ยถาม หอบแฮกมาเลยค่ะ มันเพิ่งมา
“กูเสร็จหมดละ มึงไปไหนมาเพิ่งจะเสด็จ”
“ตื่นสายดิ”
“เออ พวกกูรอที่โรงอาหารนะ”
“โอเค”
หลังจากนั้นฉันก็ลงมารอพวกมันที่โรงอาหารค่ะ มีฉัน จูน แล้วก็พลอย ที่เหลือยังไม่เสร็จกัน
“น้ำตาล เอ็งลดน้ำหนักเนี่ยเพื่อตัวเองหรือเพื่อใคร” มีแวบหนึ่งที่ฉันแอบคิดว่าจะสวยเพื่อใครคนนั้น จะผอมเพื่อใครคนนั้น แต่เวลาต่อมาฉันว่าฉันสวยเพื่อตัวเองดีกว่าค่ะ มีผลประโยชน์กับตัวเองโดยตรงแน่นอน
“เพื่อตัวเองดิ”
“จริง?”
“จริงดิ ตอนนี้ยังไม่สวยไม่เป็นไร เดี๋ยวโตไปหมอก็ทำให้สวยเอง” ฉันตอบมันไปอย่างไม่จริงจังมากนะ แต่คิดจริงนะคะ ฮ่า ๆ
“ยังคุยกับพี่ทิวอยู่ไหม?” ปากมันถามฉันก็จริง แต่สายตามันเสมอไปด้านหลังฉันค่ะ ถ้าเดาไม่ผิดกลุ่มพี่ทิวต้องนั่งอยู่โต๊ะถัดไปแน่
“ไม่เคยคุยนะ พลอยรู้มาจากไหนว่าเราคุยกับพี่ทิว”
“คิดเอาเอง ก็เราเห็นพี่ทิวเอาขนมมาให้บ่อย ๆ นี่หว่าสรุปไม่ได้เป็นอะไรกัน?”
“อืม แค่แอบปลื้มอ่ะ แต่ตอนนี้ไม่แล้วไม่ยุ่งกับเขาด้วย” ฉันมั่นใจว่าตัวเองเสียงดังมากพอที่จะทำให้คนด้านหลังได้ยิน และแน่นอนค่ะว่ามีเสียงตอบกลับมาแต่มันเป็นคำพูดที่ไม่ค่อยน่าฟังสักเท่าไหร่
“น้องครับ! พูดเหมือนตัวเองสวยเลยอ่ะ”
“ฮ่า ๆ ๆ ”
“หุบปาก!” ไม่รู้ว่าใครเป็นคนพูดแต่ประโยคสุดท้ายแต่น่าเป็นเสียงพี่ริวค่ะ บอกตามตรงว่าหน้าชามากแต่ก็ทำเป็นไม่ได้ยินไปแทน
“กูเข้าใจแล้วที่มึงบอกว่าสวยเพื่อตัวเองมีประโยชน์กว่าน่ะ” ไอ้จูนพูดขึ้นพร้อมกับตบไหล่ฉันเป็นการให้กำลังใจหรือความจริงแล้วฉันควรหันมาสนใจตัวเองแบบจริงจังสักทีนะ...
วันเวลายังคงผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว เทอมหนึ่งผ่านไป เทอมสองก็กำลังจะผ่านไปเช่นกัน ตั้งแต่วันนั้นฉันก็ไม่เคยสนใจพี่ทิวอีกเลยค่ะ มีบ้างที่เดินสวนกันระหว่างเปลี่ยนคาบเรียน ก็มองแหละ แต่ไม่ได้เฝ้าตามติดเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ไม่ได้เลิกชอบหรอกแค่น้อยใจกับคำพูดพวกนั้นมากกว่า สังคมเพื่อนมันสำคัญมากนะใครบอกไม่สำคัญนี่เถียงขาดใจเลย
“แป๊บเดียวจะสอบไฟนอลอีกแล้ว ทำไมเวลามันเดินเร็วแบบนี้วะ”
“มึงไม่เคยได้ยินเหรอหมูว่าเวลามันไม่เคยคอยใคร”
“จริง! อีกปีเดียวก็จะจากกันแล้วอ่ะ”
“...” คิดแล้วก็ใจหายเหมือนกันค่ะ เทอมหน้าขึ้นมอสามแล้ว จะถึงเวลาที่พวกเราต่างแยกย้ายกันไปเจอสิ่งใหม่ ๆ แล้วเหมือนต้องเผชิญโลกใบใหม่อีกครั้งเลยค่ะ
ตัดมาถึงวันสอบเลยแล้วกันค่ะ ห้องฉันถูกย้ายขึ้นมาสอบที่ตึกเดียวกับมอปลายเนื่องจากตึกเดิมมีการต่อเติมอยู่ในขณะนี้ แน่นอนว่าเราอยู่ห้องใกล้กัน อาจารย์นี่กลั่นแกล้งกันชัด ๆ เลยเหอะ
หลังจากสอบวิชาแรกเสร็จฉันก็ออกมานั่งรอด้านนอกเพราะว่าตัวเองทำเสร็จก่อนเวลาไง จนใครคนหนึ่งนั่งลงตรงที่นั่งข้างฉัน
“...”
“ทำข้อสอบได้หรือเปล่า”
“ได้ค่ะ”
“พี่...”
“ไอ้ทิว! มึงชอบแบบนี้จริงเหรอวะ ฮ่า ๆ ” เสียงหัวเราะดังขึ้นพร้อมกับคำพูดที่ฟาดหน้าฉันกลางอากาศ
“เสือก!!”
“ฮ่า ๆ ไอ้ควายผู้หญิงมาชอบตั้งเยอะตั้งแยะไม่เอา ฮ่า ๆ ”
“กูบอกให้หุบปาก!!” พี่ทิวตวาดออกไปเสียงดังลั่นจนอาจารย์ในห้องได้ยิน
“นักเรียนเงียบ ๆ หน่อยค่ะ”
“...” ฉันลุกออกจากตรงนั้นทันที มันอยากร้องไห้มาก ๆ ไม่เคยรู้สึกอายหรือเจ็บปวดกับคำพูดคนอื่นขนาดนี้มาก่อนเลยค่ะ
หมับ!
แขนข้างหนึ่งถูกรั้งอย่างถือวิสาสะ
“ขอโทษ”
“ขอโทษทำไมคะ เราไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัวสักหน่อย พี่ไม่ได้เป็นอะไรกับหนู แล้วหนูก็ไม่ได้เป็นอะไรกับพี่ แล้วไม่ต้องห่วงว่าหนูจะทำอะไรให้พี่รู้สึกอับอายแบบนี้อีกเพราะหนูจะไม่ยุ่งกับพี่อีกแล้ว” ฉันพูดออกไปตามความรู้สึกของตัวเอง การไม่ต้องพูดคุยกัน ไม่ต้องทักทายกันอีกมันน่าจะดีที่สุดเพราะมันปลอดภัยต่อความรู้สึกของฉันมาก
“ไม่จำเป็นต้องอายนะ พี่ไม่ได้กำลังคุยกับใครและก็ไม่มีแฟนด้วย” มันน่าแปลกที่ตอนนี้ฉันไม่ได้รู้สึกดีกับประโยคนี้เลยสักนิด ทั้งที่ความจริงฉันต้องดีใจสิที่เขายังไม่มีแฟน
“แล้วมาบอกทำไม? ถ้าจะจีบก็รอหนูสวยก่อนแล้วกันจะได้ไม่ต้องมีใครมาว่าอีก” ไม่รู้รวบรวมความกล้ามาจากไหนถึงได้พูดออกไปแบบนั้น พี่ทิวนิ่งไปเลยค่ะ เขาคงไม่คิดว่าฉันจะพูดอะไรแบบนี้ แต่มันโพล่งออกไปแล้วไง ช่างมันเถอะ!