Episode-๐๒ ความสุขส่วนตัว

2168 คำ
หลายวันผ่านไป ฉันซักเสื้อให้พี่ทิวแล้วนะคะ ตั้งใจไว้ว่าจะเอามาคืนแต่ยังหาจังหวะไม่ได้สักที จนกระทั่งถึงวันกีฬาสี ไอ้จูนกับป๊อปมันแข่งวิ่งค่ะ ฉันก็มาเชียร์มัน แน่นอนว่าชัยชนะเป็นของพวกเรา “สุดยอด! กูไม่เคยรู้มาก่อนว่าพวกมึงจะวิ่งเร็วขนาดนี้” เอ่ยแซวมันสองคนค่ะ จูน : กูวิ่งหนีแม่บ่อย “ทำไมวะ” “กวนตีนเขาไง แต่เขาไม่ได้วิ่งตามกูนะ ใช้รองเท้าขว้างมาแทน” “ฮ่า ๆ ๆ ” ป๊อป : แล้วเอ็งกับไอ้หมูล่ะได้ลงแข่งวอลเล่ย์บอลหรือเปล่า “ข้าลง ไอ้หมูเป็นตัวสำรอง” “เออ แข่งกี่โมงวะ” “สิบเอ็ดโมงมั้ง” รอบนี้เป็นรอบชิงชนะเลิศ เอาจริง ๆ มันโคตรกดดันเลย โชคดีที่ถูกฝึกมาตั้งแต่ปอสาม ไม่ได้จะอวดว่าเก่งนะ แต่ก็พอตัวแหละ ฮ่า ๆ “สู้ ๆ เว้ย แพ้ก็ไม่เป็นไร แต่ไม่แพ้เลยจะดีมาก” ไอ้หมูมันว่าขึ้น แต่ฟังแล้วรู้สึกกดดันยังไงไม่รู้ “นี่ให้กำลังใจอยู่ใช่ไหม” “ฮ่า ๆ เออ” การแข่งขันกำลังจะเริ่มขึ้นในไม่กี่นาทีข้างหน้านี้แล้ว ฉันไม่ได้โฟกัสอะไรเลยนอกจากตัวเองในสนามเท่านั้น ถ้าไม่มีสมาธิขาดไหวพริบทุกอย่างคือจบค่ะ แมตช์แรกชนะ แมตช์ที่สองแพ้ เท่ากับเสมอกันหนึ่งต่อหนึ่งจึงทำให้แมตช์ที่สามกลายเป็นแมตช์กดดันไปเลย แม้แต่แต้มเดียวก็พลาดไม่ได้ “ห้ามแพ้นะโว้ย” “ไอ้ตาลพี่ทิวมา” เสียงแหกปากตะโกนของพวกมันดังเข้ามาในโสตประสาทฉัน เหลือบไปมองเป็นกลุ่มเพื่อนพี่ทิวจริงด้วยค่ะ เห็นแบบนั้นแล้วประหม่าแปลก ๆ แต่ก็ต้องเรียกสติตัวเองกลับมาใหม่ ในสนามต้องจดจ่ออยู่กับคู่ต่อสู้เท่านั้น แต่เสียงใครบางคนกลับทำให้สติของฉันกระเจิงไปในชั่วพริบตา... “สู้ ๆ นะ” “...” เขาไม่ได้เจาะจงบอกฉันหรอกค่ะ ก็พูดเชียร์สีตัวเองตามปกตินั่นแหละ แต่ว่านาทีนี้ขอเข้าข้างตัวเองก่อนแล้วกันนะ เซตนี้เป็นอะไรที่สนุกมาก โต้กันไปมาไม่มีใครยอมใคร กว่าจะจบเกมส์เสียพลังงานไปเยอะเลยทีเดียว “กรี๊ด...!! มันต้องอย่างงี้” ไอ้จูนค่ะ “กรี๊ดได้ตอแหลมาก” “โทษทีกูดีใจจนลืมตัว” “ดีใจทำไม ไม่เห็นมีส่วนได้ส่วนเสียกับเขาเลย” “ไม่ได้ ๆ เราจะแพ้ไม่ได้” พูดคุยหยอกล้อกันตามประสาก่อนจะพากันเดินไปโรงอาหารค่ะ “มึง ๆ เมื่อกี้พี่ทิวมาเชียร์ด้วยแหละ” ไอ้หมูมันกระซิบใส่พร้อมกับบิดเร้าไปมาประหนึ่งว่าตัวเองถูกสารภาพรัก “ข้าเห็นเขาก็ดูไปทั่ว เราอย่าเข้าข้างตัวเองเกินความเป็นจริงดีกว่านะ” มันต้องมีพื้นที่สำหรับเซฟความรู้สึกตัวเองด้วยค่ะ “เอ้า! ก็ชอบอ่ะเลยอยากคิดเข้าข้างตัวเอง” มันว่าพลางป้องปากหัวเราะอย่างชอบใจ เข้ามาด้านในพลอยก็จองโต๊ะไว้ก่อนแล้วค่ะ “กูได้ข่าวว่าสนามวอลเล่ย์บอลดุเดือดมาก” “ข่าวมึงไวเนอะพลอย” “นี่ใคร? นี่เจ้พลอยไงคะ” “จ้า ๆ ” ในแก๊งพวกเรามีทั้งหมดสิบคนค่ะ อย่างที่บอกว่าสนิทสุดก็คือไอ้จูนกับหมูเพราะว่ามันสองคนไม่เคยว่าหรือพูดอะไรให้ฉันเสียความมั่นใจเลยสักครั้ง นี่คงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ฉันสนิทใจมากขึ้น “เดี๋ยวกูไปซื้อข้าวเอง มึงเอาไรกูอยากกินกระเพราไข่ดาว” อีต้นหันมาพูดกับฉันพร้อมกับยื่นเงินค่าน้ำให้ “เออ เหมือนกันเลย กูไปซื้อข้าวเอง มึงไปซื้อน้ำละกัน” “เออ” เอากระเป๋าวางไว้ที่โต๊ะ จากนั้นก็แยกกันไปซื้อข้าว ซื้อน้ำค่ะ ฉันมากับไอ้จูน ก็ต่อคิวเข้าแถวตามปกติแต่ว่าคิวก่อนหน้าฉันเขาซื้อให้เพื่อนหลายคนค่ะ เลยรอนานหน่อย “น้อง! ทำไมไม่สั่งล่ะ ยืนบื้ออยู่ได้” น้ำเสียงไม่พอใจดังมาจากด้านหลัง แน่นอนค่ะว่าฉันหันกลับไปมองหน้าเขา เป็นรุ่นพี่มอสาม “ก็เห็นอยู่ว่ายังไม่ถึงคิวนี่คะ จะให้สั่งอะไร” “แหกตาดูค่ะว่าคนข้างหน้าเขาสั่งเสร็จแล้ว ไม่เห็นเหรอว่าคนอื่นเขาก็รอเหมือนกัน” ... : แล้วตัวเองทำไมไม่รู้จักรอบ้างล่ะ มีเงินอย่างเดียวไม่ได้นะ ต้องมีมารยาทด้วย “...” ฉันกับไอ้จูนมองหน้ากันนิ่ง ๆ เพราะประโยคเมื่อครู่นี้ถูกเอ่ยออกมาจากปากของพี่ทิว ซึ่งเขาเองก็กำลังต่อคิวอยู่เหมือนกันค่ะ ส่วนพี่มอสามคนนั้นก็เดินออกไปเลย ไม่รู้ว่าไม่พอใจหรืออายกันแน่ หันหน้าไปทางพี่ทิวอีกครั้งพร้อมกับก้มศีรษะให้เล็กน้อยเป็นเชิงขอบคุณเขา “สั่งเผื่อกูด้วยนะ เอาเหมือนมึงอ่ะ” สรุปก็กินเหมือนกัน ที่มันเดินตามมาด้วยเพื่อจะช่วยถือเท่านั้นเอง ตัดมากิจกรรมช่วงบ่ายเลยแล้วกันนะคะ ทุกสีจะต้องขึ้นสแตนเชียร์ค่ะ เพราะกีฬาประเภทสุดท้ายก็คือฟุตบอลนั่นเอง พวกเราก็นั่งเชียร์กันปกติ พี่สตาฟก็จะคอยเอาน้ำกับขนมมาแจกให้ “ตาล ไปสีเขียวเป็นเพื่อนกูหน่อย” “ไปทำไมวะ” “เอาขนตาปลอมไปให้อ้อ มันฝากไว้ในกระเป๋ากูลืมหยิบให้” “ไปดิ” ลงจากสแตนเชียร์ก็เดินเลาะไปด้านหลัง ฉันยืนรออยู่ห่าง ๆ ค่ะ ให้ไอ้จูนมันเดินเข้าไปคนเดียว และจังหวะนี้เองก็เห็นพี่ทิวนั่งพักอยู่ มองซ้ายมองขวาไม่มีใครสนใจฉันจึงเดินตรงไปหาเขา “หนูเอาเสื้อมาคืนพี่ ซักให้หลายวันแล้วแต่ไม่มีโอกาสสักที” ฉันว่าพลางหยิบเสื้อที่อยู่ในกระเป๋านักเรียนออกมาให้เขา “ครับ” เหลือบมองฉันแวบหนึ่งก่อนจะหยิบเสื้อไป “พี่... สู้ ๆ นะคะ” “...” ไม่รู้ว่าเอาความมั่นใจที่ไหนมาถึงได้กล้าพูดกับเขาไปแบบนั้น พี่ทิวไม่ได้พูดอะไรแค่พยักหน้าให้พร้อมรอยยิ้ม ตึกตัก! ตึกตัก! ใจเต้นแรงเป็นบ้าเลยค่ะ ใครจะกล่าวหาว่าอ่อยหรือแย่งซีนคนอื่นฉันไม่สนหรอกนะ ฉันแค่มีความสุขในพื้นที่ของตัวเองก็เท่านั้น “อะแฮ่ม! เบาได้เบา กูเผลอแป๊บเดียวมาแอบส่งยิ้มให้เฉยเลยนะ” “ส้นตีนเถอะ! กูแค่เอาเสื้อมาคืนเขา มึงอย่ามั่ว” “เสื้ออะไรวะ” “ไม่บอกอย่าหลอกถาม” “เออ... จำไว้นะ! เพื่อนป่ะล่ะ” “กูเกลียดคำนี้” หลังจากไม่ได้คำตอบอะไรมันก็ไม่เซ้าซี้ต่อนะคะ พวกเราเดินกลับสแตนเชียร์เหมือนเดิม ผลการแข่งขันสีส้มชนะค่ะ กิจกรรมต่อไปคือการวิ่งเด็กสมบูรณ์ ในความหมายของคุณครูก็คงมองว่ามันน่ารัก ปุ๊กปิ๊กอะไรแบบนี้ แต่สำหรับฉันมันไม่ได้รู้สึกสนุกด้วยเลย เหมือนถูกวางลงสนามแล้วกลายเป็นตัวตลกซะมากกว่า “น้องชื่ออะไร ลงวิ่งสิ ทำเพื่อสีเราหน่อย” พี่สตาฟคนหนึ่งบอกฉันพร้อมกับรั้งแขนให้ฉันลุกขึ้น “ไม่ลงค่ะ สนามฟุตบอลตั้งกว้างหนูวิ่งไม่ไหวหรอก” “เขาวิ่งผลัดกัน นะ ๆ ลงสนามให้หน่อย สีเรามีแต่คนหุ่นดี ๆ น้องแหละเหมาะสุดแล้ว” รู้สึกหน้าชามาก สายตาหลายคู่เอาแต่มองมาทางฉัน ถึงจะไม่มีใครพูดอะไรแต่คนตรงหน้าก็พูดออกไปแล้วอยู่ดี “น้อง! ให้ตายเถอะกูไม่เคยอ้อนวอนใครขนาดนี้เลยนะเนี่ย” เขาหันไปพูดกับเพื่อนด้วยน้ำเสียงติดตลก และนั่นก็ทำให้ฉันรู้สึกแย่เข้าไปอีก “เขาเอาคนที่สมัครใจนะ พี่ก็ไปหาคนอื่นสิคนเขาไม่เต็มใจยังจะมาพูดจาแบบนี้อีก” ไอ้จูนพูดแทรกขึ้นมาบ้าง “แหกตาดูเพื่อนก่อนค่ะน้อง ค่อยพูดแบบนี้น่ะ” “แหกแล้วค่ะ!! ทั้งตาซ้ายตาขวา ก็เห็นอยู่ว่ามันไม่ได้สมัครใจยังมายืนว่าฉอด ๆ อยู่อีก เพื่อนตัวเองแต่ละคนก็ไม่ใช่น้อย ๆ สมบูรณ์กันทั้งนั้นไม่ไปตามมาวิ่งล่ะ เขาไม่ได้จำกัดสักหน่อยว่ามอต้นหรือมอปลาย” ไอ้จูนมันร่ายประโยคยาว ๆ เสียงดัง ฟังชัด จนคนอื่นได้ยินเกือบทั้งแสตนเชียร์เลยทีเดียว “เออ ๆ ไม่วิ่งก็ไม่วิ่ง แค่นี้ต้องโวยวาย” พูดจบเขาก็ลงไปหาเพื่อนเพื่อดึงตัวไปวิ่ง มันเป็นวิ่งผลัดน่ะค่ะ สีละหกคน ไม่จำกัดระดับชั้น “ใจเย็น ๆ มึง อย่าเพิ่งของขึ้น” “กูเกลียดฉิบหายเลยคนส้นตีนแบบนี้ มันมีวิธีพูดอีกมากมายนะไม่ให้คนอื่นดูแย่อ่ะ” “เออ ช่างแม่งมันเหอะ” แน่นอนว่าอีพี่คนนั้นจะกลายเป็นศัตรูในสายตามันตลอดไป ฮ่า ๆ หลังจากนั้นเด็กสมบูรณ์ก็ลงสนามค่ะ ล้มลุกคลุกคลานกันเลยทีเดียว บางคนก็วิ่งไม่ไหว สะดุดล้มก็มี เพราะว่าน้ำหนักตัวเยอะไง กิจกรรมวิ่งแข่งมันเลยไม่เหมาะ รอบตัวฉันมีแต่เสียงหัวเราะเต็มไปหมด ต่างจากฉันที่รู้สึกว่ามันไม่น่าขำเลยสักนิด ใครจะคิดยังไงไม่รู้แหละ ... ฉันคนหนึ่งที่ไม่ชอบ! พรึ่บ! “ฝากของแป๊บนะ” ระหว่างที่ฉันกำลังใช้ความคิด กระเป๋านักเรียนใบหนึ่งก็วางลงบนตักฉันก่อนที่เจ้าของมันจะพูดขึ้นแล้วรีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ฉันได้แต่นั่งงงและมองมันอยู่แบบนั้น “อะไรของเขาวะ” “ทำไมพี่ทิวฝากกระเป๋าไว้กับเอ็งล่ะ” เพื่อนต่างห้องเอ่ยถามขึ้น “ไม่รู้อ่ะ เขาบอกฝากปีบนึงแล้วก็วิ่งไปเลย” “สงสัยรีบไปเข้าห้องน้ำมั้ง สภาพแบบนี้ถ้าพี่ทิวชอบกูก็หมดคำพูดว่ะ” ประโยคหลังมันหันไปพูดกับเพื่อนตัวเองค่ะ ถึงเสียงจะเบาแต่ฉันก็ได้ยินอยู่ดี ไม่นานพี่ทิวก็วิ่งกลับมา ฉันยื่นกระเป๋าคืนให้เขา พี่ทิวรับไปและยื่นขนมมาให้ฉันแทน “ให้หนูเหรอ?” “อืม” “ขอบคุณค่ะ” รับมาแบบงง ๆ มันเป็นคุกกี้ค่ะ รสช็อกโกแลต พี่ทิวไม่ได้ลุกไปไหนเขานั่งดื่มน้ำอยู่ที่เดิมจนเพื่อนเขาตะโกนเรียก “ไอ้สัสทิว กรุณาลงมาช่วยพวกกูด้วยครับ” “พวกมึงเป็นประธานสีก็ทำไปสิ กูเป็นนักกีฬาขอโทษด้วย” น้ำเสียงกวนอารมณ์ตอบกลับ “แล้วไม่ทราบว่าไปนั่งทำเหี้ยไรบนนั้นครับ มึงดูหน้าน้องด้วย เขากลัวมึงกันหมดแล้ว” “ไม่ขึ้นมานั่งบนนี้จะเห็นเหรอว่ามึงกำลังหน้าม่ออยู่” “ไอ้สัสอย่าเสียงดังเดี๋ยวเด็กกูได้ยิน” “เด็กมึงไม่ใช่เด็กกู” กิจกรรมทุกอย่างจบลง ตอนนี้ถึงเวลาประกาศรับถ้วยรางวัลค่ะ ใครแข่งอะไรคนนั้นก็ลงไปรับ จนกระทั่งถึงชื่อฉัน “ยินดีด้วยนะ” เป็นประโยคแผ่วเบาที่ลอยเข้ามาในหูอีกเช่นเคย ไม่ได้สนใจที่จะมองก่อนจะรีบเดินตามเพื่อนในทีมไปรับรางวัลกัน ตอนนี้เป็นเวลาห้าโมงเย็นแล้วค่ะ กว่าจะจบกิจกรรมวันนี้ก็คือโคตรเหนื่อย ดีนะว่าเป็นวันศุกร์พรุ่งนี้จะนอนตื่นสายได้ “เพื่อนไปไหนหมด” เป็นพี่ทิวอีกแล้วค่ะ “กลับประตูหน้าโรงเรียนค่ะ” “แล้วทำไมเรากลับประตูหลังคนเดียวล่ะ” “หนูกลับวินอ่ะ ถ้าขึ้นรถเมล์มันก็ต้องต่อวินเข้าบ้านอีกทีนึง เลยเลือกทางนี้สะดวกกว่า” “อ๋อ...” “แล้วพี่กลับยังไง” “ไอ้ริวไปส่ง รถยางรั่วรอเปลี่ยนอยู่ฝั่งโน้นไง” มองตามไปพี่ริวกำลังช่วยช่างเปลี่ยนยางอยู่ค่ะ อย่างที่รู้ว่าอู่ซ่อมรถจะเต็มไปด้วยวัยรุ่น และตอนนี้หลายคนก็กำลังมองมาทางฉันกับพี่ทิวเช่นกัน “วินมาแล้ว งั้นหนูไปก่อนนะ” “อืม” จากโรงเรียนมาบ้าน ไม่เกินสิบห้านาทีก็ถึงแล้วค่ะ โยนกระเป๋าไว้บนที่นอนแล้วอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะกลับมาเปิดกระเป๋าเพื่อหยิบขนมที่พี่ทิวให้ไว้มากิน รสชาติมันดีมาก... ไม่คิดมาก่อนเลยว่าวันนี้จะได้คุยกับเขาด้วย ก็อย่างที่บอกค่ะ ฉันแค่แอบชอบ แอบปลื้ม ไม่ได้คาดหวังว่าเราจะต้องเป็นแฟนกัน แบบนี้ก็ดีเหมือนกันค่ะ อย่างน้อยก็มีความสุขได้เต็มที่
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม