ความแตกต่างและห่างชั้นทำให้นางเกลียดชังเจ้าหญิงผู้มีศักดิ์เป็นพระเชษฐภคินีต่างมารดาเป็นที่ยิ่ง ไม่ว่าเนเฟอร์ติตีจะกระทำสิ่งใดก็ให้เป็นที่รักใคร่หวงแหนของพระบิดา ส่วนนางนั้นเพียงลูกสนมหาได้เป็นที่ต้องตาดังเจ้าฟ้าหญิงแห่งธีบส์องค์นั้นไม่
“โอ...เทพอมุน-รา ข้าชังมันนัก เนเฟอร์ติตี!...นางมีอันใดดีเสด็จพ่อจึงเอาใจใส่มันเยี่ยงนั้น แค่คนร้ายเข้าไปในตำหนักทำให้มันได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย ถึงขนาดต้องขนเหล่าทหารองครักษ์ไปดูแล ข้าอยากให้เทพแห่งความตายเอานางไป เอานางไปอยู่ในปรโลกโดยมิต้องเกิดใหม่เพื่อมาทำร้ายหัวใจของข้า!”
“อังเคเซนามุนลูกแม่...เจ้าควรสงบใจหน่อย หากข้าราชบริพารข้างนอกผู้ใดมาได้ยินอาจเป็นที่ครหาแก่ตัวเจ้าได้”
ไอดุตลุกจากเก้าอี้ไม้ทาทับด้วยสีเหลืองอร่าม ใบหน้าเรียวเล็กภายใต้วิกผมประดับลูกปัดแสดงความเรียบเฉย หากแต่ดวงตาที่ถูกวาดด้วยผงถ่านคมเข้มลากไปจรดขมับทั้งสองกลับฉายความเกลียดชังมิได้ต่างกันกับธิดาของนาง
“ท่านแม่ใจเย็นนัก!...ท่านสงบนิ่งเช่นนี้ได้อย่างไรในเพลาที่คนอื่นมีความสำคัญเหนือท่าน”
“เจ้าจะรุ่มร้อนไปเพื่อให้ได้อะไร!”
คราวนี่เสียงของไอดุตกร้าวขึ้นขณะร่างบางในชุดผ้าลินินจับจีบด้านหน้ายาวกรอมเท้าและแผงคอทำจากหินหลากสีหันไปทางหน้าระเบียงห้อง เบื้องนอกนั้นคือมหาวิหารมากมายและใหญ่โตภายในนครธีบส์ ที่ซึ่งนางมองข้ามไปยังขอบฟ้าในทุกเวลาของความวาดหวัง
“จะตื่นเต้นไปใยให้ใครมาล่วงรู้ว่าคนร้ายที่เกือบเอาชีวิตของเนเฟอร์ติตีไปสังเวยต่อเทพโอซิริสเป็นคนของแม่เจ้าเอง!”
“ท่านว่าอย่างไรนะ!”
นางสนมในวัยสามสิบกว่าหันมาแสยะยิ้มร้ายกับอังเคเซนามุนก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นยิ่งกว่าเดิม
“ใยเจ้าจึงคิดว่าแม่เฉยเมย...ใยเจ้าจึงคิดว่าแม่ไม่ใส่ใจ ไม่มีสนมคนใดมิปรารถนาการยกย่องเชิดชูตนทัดเทียมเจ้าฟ้าหญิงเคียงข้างมหาราช เจ้ารู้ไว้เถิดว่าแม่ของเจ้าปวดร้าวนักที่พระบิดาของเจ้ามิเคยหันกลับมาสนใจเราสองแม่ลูก ถึงเราจะอยู่ในฐานะที่คนอื่นก็ให้ความเคารพเพราะเป็นสนมและธิดาของฟาโรห์ หากก็มิเป็นที่น่าจดจำและยำเกรงแก่ผู้ใดทั้งสิ้น อังเคเซนามุนลูกแม่...”
ไอดุตก้าวเข้ามาหาบุตรสาวและวางมือทั้งสองลงบนไหล่บางใต้แพรผ้าลินินเนื้อเบาขณะเหยียดรอยยิ้มอำมหิตที่อีกฝ่ายมินึกฝัน
“อย่ากังวลอันใด...ขวากหนามในหัวใจของเจ้า แม่จะเป็นผู้หักโค่นมันให้ราพณาศูนย์ ไม่วันไดก็วันหนึ่ง...จำไว้!”
ในยามสายที่แดดกล้าแผดแรง ไอระอุจากโคมทองสาดส่องตกต้องเหนือเกลียวน้ำไหวระยับภายในสระบัวที่กระเพื่อมขึ้นลงยามเมื่อเรือนร่างบางระหงขยับไปมาเพื่อเอื้อมเก็บดอกไม้งามทั้งตูมสลับบานสีขาวและน้ำเงินลานตาขณะที่บางครั้งนกเป็ดน้ำว่ายวนเข้ามาและว่ายห่างออกไปอีกทั้งนกช้อนหอยขาวตัวใหญ่น้อยร่อนลงเกาะใกล้กอปาปิรัส (กอกก) ริมสระราวจะให้กำลังใจแก่ผู้กอบกุมดอกบัวไว้ในอ้อมแขน
ละอองแดดจ้าที่สาดกระทบลงบนพระพักตร์ของเนเฟอร์ติตีทำให้นางต้องยกพระกรข้างที่เปียกน้ำลูบลงบนพระฉวีสีน้ำผึ้งเพื่อไล่พระเสโทที่ผุดพรายตามพระนลาฏและไหลร่นลงมาถึงปลายพระนาสิกโด่งออกไปอย่างทุลักทุเล
ฉลองพระองค์เนื้อบางชุ่มน้ำจนเกือบหมดหากแต่นางก็หาได้สนพระทัยนักแม้ทรงยืนในระดับความลึกถึงบั้นพระองค์ นอกจากรีบดอกบัวในสระที่ห่างจากตำหนักซึ่งพ้นสายตาคูอิตออกมามากนักแล้ว นับแต่มีคนร้ายเข้าไปในวังพระองค์ต้องประทับอยู่แต่ในห้องบรรทมโดยมีพระนมคอยเฝ้าดูแลอีกทั้งราชองรักษ์ที่ไม่ยอมพูดจาเวลานางตรัสถามสิ่งใด ให้อยากรู้นักว่าหากเจ้าฟ้าหญิงมีอันต้องคลาดจากสายตาองครักษ์หนุ่มผู้เฉยชาจะทำเยี่ยงไร
“องค์หญิง!...องค์หญิงพะย่ะค่ะ!”
เสียงหนักที่ดังมาจากที่อันใกล้ทำให้นางต้องหันกลับไปทางเจ้าของเสียงเรียกที่ยืนอยู่ริมสระ เมมนอนซึ่งอยู่ในชุดราชองรักษ์สวมกระโปรงตัวสั้นและมีเพียงแผงคอที่มิอาจปกปิดกล้ามเนื้อแข็งแกร่งบนอกและหน้าท้องเป็นลอนทำให้เจ้าฟ้าหญิงต้องชะงักการกระทำอันแสนรื่นรมย์ลงในทันใด ใบหน้าคมเข้มภายใต้ผ้าโพกศีรษะสีดำสนิทดูกังวลมากกว่าเครียดขรึมดังปกติ
ร่างสูงใหญ่ค่อย ๆ เดินลุยน้ำตามเนเฟอร์ติตีลงไปกระทั่งหยุดอยู่ห่างจากนางไม่มากด้วยมิอาจล่วงล้ำเข้าไปได้ใกล้กว่านั้น
“ขออภัยพะย่ะค่ะ...กระหม่อมขอเชิญองค์หญิงเสด็จกลับตำหนักบัดเดี๋ยวนี้”
เมมนอนค้อมศีรษะลงอย่างนอบน้อมหากทว่าน้ำเสียงนั้นบอกความไม่สบายใจออกมาชัดเจน แม้โล่งใจที่พบว่าเจ้าหญิงหายตัวจากห้องบรรทมมาอยู่ที่นี่ หากแต่ด้วยหน้าที่ที่มีทำให้เขารู้สึกลำบากใจยิ่งนัก
“เป็นบัญชาของเสด็จพ่อหรือไร?”
“มิได้ฝ่าบาท...หากแต่เป็นหน้าที่ ที่กระหม่อมต้องคอยดูแลพระองค์ตามพระบัญชาของฟาโรห์”
“ข้ายังไม่อยากกลับ ท่านไม่เห็นหรือว่าข้ากำลังทำอะไรอยู่”
เนเฟอร์ติตีทรงหันหลังให้แต่แล้วกลับต้องหยุดชะงักเมื่อมือหนาของราชองครักษ์หนุ่มยื่นมาเกาะกุมดอกบัวในอ้อมพระพาหาขณะส่งสายตาดุดันมายังพระองค์
“ขอพระราชทานอภัย...หม่อมฉันเกรงว่าจะไม่ได้พะย่ะค่ะ”