“ว่า?”
[เมื่อคืนนายทิ้งฉันแล้วหนีกลับก่อนได้ยังไง แถมยังปล่อยให้ฉันนอนที่นั่นจนถึงเช้าอีก ใจร้ายมากเกินไปแล้วนะ]
เอมิเลียกรอกเสียงขุ่นมาตามสาย ทำเอาผมย่นคิ้วยู่ที่จู่ๆ เธอก็โผล่มาวีนไม่รู้จังหวะ
“ก็เธอเมาพับ แล้วฉันก็เหนื่อยด้วย เลยกลับมาก่อน”
[ไม่ใช่ว่าตอนฉันเมา นายควงคนอื่นไปฟาดกันที่ไหนหรอกนะ]
เอมิเลียทำผมหงุดหงิดมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัวเมื่อเธอพูดประโยคนี้ขึ้นมา ผมรู้ว่าเธอระแวง แต่มันใช่เวลาที่จะมาสร้างความรำคาญให้ผมมั้ย
“ถ้าเธอไม่เชื่อใจ ก็ไม่ต้องมายุ่งกัน รำคาญ!” ผมขึ้นเสียงเล็กน้อยตามอารมณ์
อีกฝ่ายชะงักไป ก่อนจะตามมาด้วยเสียงหวานทันควัน
[ฉันก็แค่ถามเฉยๆ ทำไมต้องโมโหด้วย อย่าโกรธกันเลยนะ นายก็รู้ว่าฉันชอบนายมาก ฉันเลยหวงเป็นธรรมดา ขอโทษนะเควิน อยากได้อะไรเป็นพิเศษมั้ยล่ะ เดี๋ยวฉันซื้อไถ่โทษให้]
เธอทักจะเอาสิ่งของมาล่ออย่างนี้ตลอดเวลาทำให้ผมหัวเสีย แต่เอาจริงๆ ผมก็ไม่เคยขอให้เธอซื้ออะไรให้นะ นอกจากเธอจะซื้อให้เอง
“ช่างมันเถอะ” ผมตอบส่งๆ ด้วยไม่อยากจะต่อความยาวสาวความยืด ทว่าเอมิเลียก็ยังไม่หยุด
[งั้นมาเจอกันตอนนี้มั้ยล่ะ เดี๋ยวฉันจะบริการอย่างเต็มที่เลย]
บริการที่เธอว่าก็คือเรื่องเซ็กส์นั่นแหละ
“ไม่ต้อง วันนี้ฉันปวดหัว อยากจะพัก” ผมตอบปฏิเสธโดยแทบไม่ต้องคิด ถ้าเป็นเวลาปกติ ผมคงจะไม่รีรอที่จะตอบรับเธอไปแล้ว
[ไม่ค่อยสบายเหรอ ให้ฉันไปหาที่ห้องมั้ย] เธอเสนอขึ้นมาอีก
“บอกว่าไม่ต้อง ให้ฉันอยู่คนเดียว อย่ามาวุ่นวายกับฉันจนกว่าฉันจะติดต่อกลับไปเองก็พอ”
[เดี๋ยวสิเควิน แต่ว่าฉันอยากเจอ...ตู๊ดๆๆ]
ผมกดวางสายเอาดื้อๆ ไม่สนใจเสียงของเอมิเลียที่ร้องเรียกแต่อย่างใด พลันทรุดตัวลงนั่งบนโซฟา ทึ้งผมตัวเองไปมาอยู่ครู่หนึ่งด้วยความกลัดกลุ้มยังคงเกาะกุมจิตใจ แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าเอมิเลียที่โทรมาหาเมื่อครู่ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรกับเหตุการณ์ที่ผมเจอเมื่อคืนเลยแม้แต่น้อย ทำเอาผมฉุกใจ โทรกลับไปหาเธออีกครั้ง
“เอมิเลีย”
[โทรกลับมาอย่างนี้ แสดงว่าจะให้ฉันไปหาสินะ] เธอว่าด้วยน้ำเสียงเริงรื่น
“เปล่า ฉันแค่มีเรื่องจะถาม”
[เรื่องอะไร]
“แบบว่า...” ผมเงียบไปครู่ ชั่งใจว่าจะพูดอย่างไรให้เอมิเลียไม่เอะใจดีว่าผมมีส่วนรู้เห็นกับการตายของผู้ชายคนนั้น
[แบบว่าอะไร] เอมิเลียเร่งเร้า ให้ผมโพล่งออกไป
“แบบว่าที่ไนท์คลับน่ะ มีอะไรแปลกๆ มั้ยตอนที่เธอกลับออกมา”
[อะไรเหรอที่ว่าแปลกๆ]
“ก็แบบ... เรื่องร้ายๆ หรือเรื่องน่าตกใจอะไรประมาณนี้” ผมว่าอ้อมๆ เอมิเลียเงียบไปครู่แล้วก็ตอบกลับมา
[ก็ไม่นะ เรื่องร้ายๆ เรื่องเดียวที่ฉันเจอก็คือตื่นมาแล้วเห็นว่านายหนีกลับไปก่อนนี่แหละ]
พอได้ยินอย่างนี้ ผมก็โล่งใจขึ้นมาเปาะหนึ่ง ถ้าเอมิเลียที่อยู่ในที่เกิดเหตุจนถึงเช้าไม่รู้ ก็แสดงว่ายังไม่มีใครไปเจอศพแหงๆ
[ถามอะไรแปลกๆ นี่มีอะไรหรือเปล่า ให้ฉันไปหาที่ห้องมั้ย]
เธอก็วกกลับมาเรื่องเดิมอีกจนได้ นี่ก็อยากจะมาหาผมให้ได้เลยสินะ
“ไม่ต้อง” สุดท้าย ผมก็ตัดบทโดยการตัดสายไปอีกครั้ง
คงจะต้องรอดูต่อไปอีกสักหน่อยก่อน ไม่แน่ว่าอีกสักพักอาจจะมีข่าวออกมาก็ได้
10 ชั่วโมงหลังหลบหนี (เวลา 13.00 น.)
ผมยังคงนั่งประจำที่โซฟา สายตาจับจ้องไปยังจอโทรทัศน์ที่กำลังรายงานข่าวอย่างใจจดจ่อ ไม่นานนัก รายงานข่าวก็จบลงและไร้ซึ่งข่าวที่ผมเฝ้ารออีกเช่นเคย ผมถอนหายใจยาว ไม่รู้ว่าถอนหายใจเพราะโล่งใจที่ไม่ได้เห็นมัน หรือถอนหายใจที่ไม่รู้ชะตากรรมของตัวเองหลังจากนี้สักที
ผมเปลี่ยนช่องหารายการข่าวอีกครั้ง ก่อนจะหยุดลงที่ช่องหนึ่งแล้วเอนหลังพิงพนักโซฟาอย่างไร้เรี่ยวแรง ผมไม่แปลกใจนักว่าทำไมผมมีสภาพเหมือนจะตายให้ได้อย่างนี้ เพราะตั้งแต่กลับมาถึงห้องเมื่อคืน ผมก็ยังไม่ได้นอนเลยแม้แต่งีบเดียว แถมยังไม่ได้กินอะไรด้วย เอาแต่เฝ้าระแวงจนไม่เป็นอันทำอะไร มิหนำซ้ำ ตอนนี้ผมก็เริ่มจะปวดหัวหนึบขึ้นมาด้วยแล้ว ทั้งปวดหัวจากอาการแฮ้งค์เมื่อคืน และปวดหัวเพราะเครียดเรื่องบ้าๆ นี่ด้วย
ผมหลับตาลง นวดคลึงขมับไปมาด้วยหวังว่าจะทำให้อาการปวดบรรเทาลงได้บ้าง แต่เปล่าเลย นอกจากจะไม่บรรเทาแล้ว ยังจะมีอาการคลื่นไส้แทรกซ้อนขึ้นมาอีก ก่อนตัดสินใจลุกขึ้นมาหายาแก้ปวดกิน ทว่าไอ้สลากยาบนขวดสีขาวมันดันระบุไว้ว่าให้ทานหลังอาหาร ผมก็เลยต้องไปจัดการเปิดตู้เย็น หาอะไรมายัดลงกระเพาะเพื่อรองท้องสักหน่อยก่อน