และพอผมกลืนมันลงไป คนขโมยจูบก็ถอนริมฝีปาก ผมได้สติในตอนนี้ ง้างหมัด กระชากคอเสื้อเขาเตรียมจะซัดทันใด
“คิดว่าตัวเองทำอะไรอยู่วะ!”
“วางไข่...” อีกฝ่ายว่ามาเท่านี้ ก่อนที่ดวงตาคู่สวยจะค่อยๆ ปรือและปิดลง พร้อมกับร่างใหญ่ที่อ่อนปวกเปียกทรุดไปกับพื้น
ผมรีบปล่อยมือออกจากหมอนั่นทันทีที่เห็นใบหน้าหล่อซีดเผือดราวไร้เลือด ความโมโหเมื่อครู่มลายหายไป เหลือเพียงความตกใจที่จู่ๆ ก็เห็นมันฟุบแน่นิ่งไป
“นะ...นาย... เฮ้ เป็นอะไรน่ะ” ผมถาม
หมอนั่นไม่ไหวติง ผมจึงรวบรวมความกล้า ยื่นมือไปสะกิด แต่ผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม ไม่มีการตอบรับใดๆ แม้แต่น้อย ซ้ำร้าย ร่างนั้นยังเย็นชืดจนก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายผมเต้นถี่จนแทบจะระเบิดออกมาให้ได้ ผมรวบรวมความกล้า ยื่นนิ้วอันสั่นเทาไปอังจมูกอีกฝ่ายใกล้ๆ
มะ...ไม่หายใจ!
ผมเด้งตัวขึ้นยืนทันที
ฉิบหายละ จูบกันอยู่ดีๆ ก็ตายเสียอย่างนั้น ซวยแล้วไอ้กวินทร์!
ผมยืนทึ้งหัวตัวเองอย่างตระหนก หันซ้ายหันขวา ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี ใจหนึ่งก็อยากจะโทรแจ้งตำรวจ แต่อีกใจก็กลัวว่าถ้าโทรแจ้งไป ผมจะกลายเป็นผู้ต้องสงสัยหมายเลขหนึ่งในข้อหาฆาตกรรม เพราะก่อนหน้านี้ ผมเพิ่งจะจับด้ามมีดที่ปักตัวเขาไปหมาดๆ ถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็ ผมหมดอนาคตแน่
แล้วความเห็นแก่ตัวก็เข้าครอบงำผม ผมรีบถอดเสื้อตัวเองออก เอามาเช็ดรอยนิ้วมือของตัวเองบนด้ามมีดที่ตัวเขา แล้วสวมกลับเหมือนเดิม ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปในไนท์คลับและมุ่งหน้ากลับอพาร์ตเม้นต์อย่างรวดเร็ว
ใครมันจะอยู่ให้โดนจับกัน! คนที่จะโดนจับคือฆาตกร ไม่ใช่กวินทร์คนนี้เว้ย!
6 ชั่วโมงหลังหลบหนี (เวลา 09.00 น.)
ก๊อกๆๆ
“ใครครับ”
“นักสืบทราวิสจากสำนักงานนักสืบ ผมมีเรื่องอยากจะถามคุณสักหน่อย”
“เรื่องอะไรครับ”
“เรื่องชายนิรนามที่กลายเป็นศพหลังไนท์คลับ คุณตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรม ผมคงต้องขออนุญาตเชิญคุณไปคุยแบบส่วนตัวที่โรงพัก”
“ชะ...ชายนิรนามไหน ผมไม่รู้เรื่อง เฮ้! อย่ามาจับตัวผมนะ! ปล่อย!”
“คุณมีสิทธิที่จะไม่พูด เพราะสิ่งที่คุณพูด เราจะใช้ปรักปรำคุณในชั้นศาลได้ คุณมีสิทธิที่จะเรียกทนายความ หากคุณไม่มีทนาย ทางรัฐจะจัดหาให้ คุณมีสิทธิที่จะไม่ตอบคำถามใดๆ คุณเข้าใจสิทธิที่แจ้งมา เชิญไปโรงพัก”
“ผมไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น! ผมไม่รู้เรื่อง! ปล่อยนะเว้ย!”
ปิ๊บ!
ผมกดรีโมทปิดโทรทัศน์ที่กำลังฉายซีรีย์ชื่อดังที่มีนักสืบหนุ่มหน้าหล่อนามทราวิสเป็นตัวดำเนินเรื่อง พลันใช้นิ้วมือคลึงบริเวณหัวคิ้วอย่างหัวเสีย ทำไมไอ้ซีรีย์บ้านี่ถึงได้มาฉายในเวลาประจวบเหมาะกับเหตุการณ์ที่ผมประสบมาเมื่อคืนด้วยก็ไม่รู้ คนยิ่งกังวลอยู่ว่าจะมีตำรวจตามมาจับตัวถึงบ้านเหมือนกับไอ้อ้วนโง่เง่าในซีรีย์นั่น
ผมลุกขึ้นยืน เดินไปเดินมาทั่วห้องเมื่อนึกถึงภาพชายร่างใหญ่ล้มฟุบหมดลมหายใจไปต่อหน้าต่อมา ตั้งแต่กลับมาจากไนท์คลับเมื่อตอนตีสามและซุกตัวอยู่ที่อพาร์ตเม้นต์ของตัวเอง ผมก็มีอาการพารานอยด์ไม่หยุดจนถึงตอนนี้ ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี จะแจ้งตำรวจก็กลัวว่าตัวเองจะซวยเพราะเป็นคนสุดท้ายที่อยู่กับศพนั่น แต่จะเก็บตัวเงียบอย่างนี้ ผมก็วางตัวปกติไม่ได้อีก
คนตายต่อหน้าต่อตาเลยนะ! จะให้ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ไง!
ผมกดรีโมทเปิดโทรทัศน์อีกครั้ง เปลี่ยนช่องไล่หาช่องข่าวพร้อมกับเหงื่อกาฬที่ผุดพรายขึ้นบนใบหน้า ที่ผมต้องไล่หาข่าวอย่างนี้ทั้งคืนก็เพราะผมอยากจะรู้ว่าป่านนี้มีใครไปเจอศพผู้ชายคนนั้นหรือยัง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีข่าวของผู้ชายคนนั้นเลยแม้แต่ข่าวเดียว จนผมอดคิดไม่ได้ว่ามันแปลกที่ไม่มีใครไปเจอศพหมอนั่น นี่มันก็ผ่านมาหลายชั่วโมงแล้วนะ อย่างน้อยๆ ก็ต้องมีพวกพนักงานไนท์คลับ ไม่ก็พวกพนักงานทำความสะอาดออกไปทิ้งขยะหลังร้านบ้างสิ
เอ... หรือว่าจะเจอศพแล้ว แต่ตำรวจยังไม่ยอมให้ปล่อยข่าวกัน? แต่ถ้าตำรวจเจอศพแล้ว แสดงว่าตอนนี้คงถึงขั้นตอนเสาะหาตัวคนร้ายแล้วล่ะมั้ง
ผมคิดวุ่นไปทั่ว เผลอยกนิ้วมือขึ้นมากัดเล็บอย่างลืมตัว ก่อนจะสะดุ้งไปเมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะหน้าโซฟาร้องลั่น พอตั้งสติได้ ผมก็เอื้อมมือไปคว้ามันมาดูชื่อคนโทรเข้าที่หน้าจอแล้วกดรับอย่างหงุดหงิด