เอี๊ยดดดด โครม!!!
เสียงของใครบางคน ที่ดังมาพร้อมกับเสียงอะไรสักอย่างที่กระแทกไปกับพื้นแข็งๆ ลากยาวจนฟังดูน่ากลัว ทำให้ใบหน้านวลงามหันกลับมาทันที แล้วก็ต้องตกใจสุดขีด มือเรียวสองข้างยกขึ้นมาปิดเสียงร้องของตัวเองไว้
เธอไม่ได้ทำอะไรเลยนะ...!
ชลิดาร้องบอกกับตัวเองในใจ สายตากลอกไปมาอย่างหวั่นเกรง มองดูรถและคนที่กำลังตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากคูข้างทางแล้วย้อนสายตากลับมาตามรอยครูดเป็นทางยาวของพื้นถนน และหยุดตรงที่รถและคนไปกองอยู่ในขณะนี้ ซ้ำๆ
ร่างหนาลุกขึ้นจับบาดแผลที่เพิ่งได้รับมา และเพิ่มเข้ามาอีกในเวลาไล่เลี่ยกัน กัดฝันแน่นกดความปวดเอาไว้ แล้วปัดๆ เศษหญ้าตามแขนขา ในขณะที่สายตาจับจ้องมายังคนต้นเหตุ แต่ไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรออกไปทางสายตาหรือการกระทำ ก่อนจะก้มประคองรถ เพื่อยกขึ้นมาจอดบนไหล่ทาง แต่แผลที่ได้มาก่อนหน้า และซ้ำรอยอีก มันทำให้เบนเริ่มมีอาการซวนเซ บวกกับน้ำหนักรถที่ต้องใช้แรงมากขึ้น จึงทำให้ถึงกับกัดฟันทนฝืนความเจ็บปวด
“คือ... ขอโทษนะคะ คุณเมาหรือเปล่า?”
แม้คำถามจะดูไม่เหมาะที่จะถามนัก แต่คำถามก็ถูกส่งไปแล้ว เพราะอาการทรงตัวของชายหนุ่ม ที่ดูเก้ๆ กังๆ ไม่เข้ากับร่างแกร่ง สมส่วน ทำให้เธอสรุปว่าหากยกรถแค่นั้นไม่ไหว ก็คนเมาเท่านั้นแหละ...
“ฮะ...! คุณว่าไงนะ?”
เสียงทุ้มเอ่ยถามเหมือนกำลังตกใจอะไรสักอย่าง แผลที่รู้สึก ปวดแปลบอยู่แล้ว กลับรู้สึกปวดมากขึ้น แต่เขาสาบานได้ว่าจุดที่รู้สึกเจ็บมากที่สุด ก็คือจุดเล็กๆ ที่หน้าอกด้านซ้าย
อุตส่าห์หลบให้ดันหาว่าเมา...! เบนต่อว่าในใจ เขาได้ยินชัดเจนกับคำถามของสาวสวยที่ทำให้ตัวเองซวย แต่ก็ถามซ้ำไปอย่างนั้นเอง
หญิงสาวสะดุ้งเล็กเล็กน้อยกับน้ำเสียงที่ถามออกมาของอีกฝ่าย “ฉัน... เอ่อ ถามว่าคุณน่ะ... เมาหรือเปล่า” หล่อนรู้สึกกลัวอยู่บ้างนะ แต่ก็ทำใจกล้าก้าวไปหาอีกฝ่ายอีกนิด เพราะเสียงตอบมันคงติดอยู่ภายในหมวกกันน็อคของชายหนุ่ม ทำให้ได้ยินคำตอบไม่ถนัด
“นี่คุณจะบ้าหรือไง คุณดูตรงไหนว่าผมเมา” เสียงทุ้มเอ่ยถามไม่สบอารมณ์ขึ้นมาบ้าง แต่ก็ไม่ดูดุจนอีกฝ่ายต้องผวา
ดูเหมือนถ้าคุยในรูปแบบนี้คงไม่รู้เรื่องละ ... เบนคิดว่าการสนทนาโต้ตอบไม่ค่อยได้ดั่งใจ จึงถอดหมวกบนศีรษะออก เหลือไว้แค่แว่นดำปิดบังดวงตาไว้
“เอ่อ...ฉันไม่ได้บ้านะ ก็แค่แปลกใจที่อยู่ๆ คุณก็ลงไปนอนอยู่ตรงนั้น” ปากบางขยับเอ่ยย้อน
ไม่รู้จริงๆ นะ... ตอบย้ำในใจ หลบตาต่ำ
แม้รู้สึกอยากขำแต่ก็ขำไม่ออก และที่สำคัญไม่กล้าขำด้วย เมื่อมองเห็นใบหน้าเข้มเต็มตา มันดูไร้ความรู้สึก และไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมามากนัก แต่รู้ได้เลยว่าภายใต้กรอบแว่นดำนั้น ดวงตาคงคมกริบเหมือนกับใบหน้าที่หล่อนกำลังเห็นอยู่เป็นแน่ ที่แถมมาด้วยกรามใหญ่ดูเป็นคนแข็งแรงและกล้าหาญ อย่างนี้หล่อนไม่กล้าเสี่ยงต่อปากต่อคำ และที่สำคัญคางยื่นเด่นชัด แสดงว่าเป็นคนที่เชื่อว่าตนเองคือพระเจ้า ไม่ฟังใครทั้งสิ้น แถมยังทำตัวสูงกว่าคนอื่นอีกด้วย
ไม่ดีเลยนะเนี่ย ห่างๆ ไว้ชลิดา... เตือนตัวเองในใจ รู้สึกขำกับคำวิเคราะห์ของตัวเองที่จำมาจากเว็บไซต์ ที่เธอได้เรียนรู้ข้อมูลอะไรได้มากมาย
“ผมไม่ได้อยากลงไปนอน...” รู้สึกหงุดหงิดกับคำตอบ ไม่รู้ตัวเองเลยหรือไง...? “แต่เพราะคุณ!” พร้อมกับใบหน้าที่ชี้ย้ำว่าเขาพูดจริงๆและนั่นคือคำตอบที่หล่อนต้องรู้
“ฉันหรือ...?” นิ้วชี้เรียวยาวชี้มายังหน้าอกตัวเอง สีหน้างวยงง เหมือนของแข็งหล่นใส่หัว
“อือ ใช่... ถนนเขามีไว้ดูข้างหน้า ไม่ใช่มองไปด้านหลังอย่างเดียว” ได้ทีต่อว่าออกไป เพราะช่วงจังหวะกระชั้นชิดเขาเห็นว่าหล่อนก็ไม่ได้มองทางข้างหน้า ไม่ต่างกับเขา
“อ้าว ถ้าอย่างนั้นคุณก็สมควรแล้วละ” เสียงหวานแหลมโต้กลับทันควัน
ชายหนุ่มหน้าเหวอกับคำตอบย้อนนั้น อะไรของหล่อน... “หมายความว่าไง?” ไม่เข้าใจว่าตนเองพูดอะไรผิดไป ถึงได้คำตอบกลับมาเช่นนั้น
“ก็คุณขับรถไม่ดูทางไง หากคุณดูทางข้างหน้า ก็เห็นว่ามีคนเดินอยู่ และฉันไม่ได้เห็นคุณ คุณก็สมควรหลีกทางให้ฉันไง นอกเสียจากคุณเองก็ไม่ได้ดูทางเหมือนกัน คุณจึงมีสภาพอย่างที่เห็น” ใบหน้าเชิดขึ้นอย่างมั่นใจในคำตอบของตัวเอง
อืม... ตอบได้ดี... ชายหนุ่มครางในลำคอ ไม่ได้เปล่งคำชมให้อีกฝ่ายได้ยิน
หล่อนพูดถูก หากเขาขับรถและมองข้างหน้าเร็วอีกนิด เหตุการณ์เมื่อกี้คงไม่เกิด มันน่าตีจริงๆ กับคำตอบที่ได้ฟังนั้น...
“ตกลงผมผิด คุณถูก” สรุปเมื่ออีกฝ่ายทำสีหน้าเหมือนเข้าใจอย่างที่ตัวหล่อนเองสรุปไปแล้ว
“แล้วคุณเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” ชลิดาวกมาถามอาการของอีกฝ่าย ไม่สนขอสรุป
“คงไม่เป็นไร” เมื่อสรุปเรียบร้อยก็ไม่มีอะไรจะคุยกันอีก หมวกกันน็อคถูกสวมกลับเข้าที่ ร่างหนาคร่อมรถคู่กายและทะยานออกไป
คนอยู่ข้างหลังได้แต่ผ่อนลมหายใจออกมา ด้วยความมึนงง สายตายังคงมองแผ่นหลังของคนที่ขับรถห่างออกไป หล่อนนึกขอบคุณเข้าด้วยซ้ำแต่ทำเป็นไม่รู้เห็น เพราะจุดที่หล่อนยืนอยู่ตอนเกิดเหตุมันเป็นเส้นทางของผู้ชายคนนั้น แต่ทำไงได้ล่ะ กลัวเขาเรียกร้องแล้วเรื่องราวจะไปกันใหญ่...
ใบหน้าหวานที่มีร่องรอยความอ่อนล้าครุ่นคิดกับการกระทำของตัวเองเพิ่มขึ้นมาอีกเรื่อง
ขอเห็นแก่ตัวสักหน่อยละกัน... ยิ้มขำ อดคิดและไม่อยากสำนึกในความผิดของตัวเองในตอนนี้
ร่างสูงใหญ่สมส่วนมองดูบาดแผลตรงหัวไหล่ ที่รับมาสดๆ ร้อนๆ ความเคยชินที่กลายเป็นเรื่องชินชารีบจัดการบาดแผลของตัวเองอย่างไม่ทุกข์ร้อน สำลีแผ่นบางพร้อมน้ำยาฆ่าเชื้อสีขาวใส ทับไปลงบนปากแผล เสียงฟองแตกกระจายสัมผัสลงไปดังซู่ “ให้มันได้อย่างนี้ งานเป็นงาน ไม่ตายอย่าหยุดมัน” คำพูดเบาๆ เหมือนประชด แต่มันไม่ใช่อย่างนั้น คำพูดนั้นเรียกแรงฮึดให้เขาได้รู้สึกมีมานะต่อไป
ยิ่งเสียงแตกฟองพร้อมกระจายดังได้ยินทุกสัมผัส มันยิ่งทำให้เจ้าของบาดแผลรู้สึกสะใจเป็นเท่าตัว ทุกวันนี้ชีวิตและร่างกายตนเองหนีไม่พ้นกับเรื่องเลือดตกยางออกจากการทำงาน แม้บาดแผลจะไม่กว้างและลึกมากนัก แต่หากเป็นบุคคลธรรมดาคงแหกปากร้องลั่นบ้านไปแล้ว ‘หน้าที่ก็คือหน้าที่คนอย่างเราไม่เคยปฏิเสธอยู่แล้ว’
แต่สำหรับเขา เบนบูรพา มันกลายเป็นเรื่องธรรมดา สิ่งแวดล้อมรอบกายตั้งแต่เยาว์วัยมันสอนให้ผู้ชายอย่างเขาได้เรียนรู้อะไรมากมาย และสิ่งนั้นได้กลายมาเป็นความแข็งแกร่งและช่วยเยียวยาหัวใจและความรู้สึกให้แกร่งตามไปตามกาลเวลาของมัน ในทุกๆ เรื่อง แม้กระทั่งเรื่องของความรัก ที่มันเริ่มสมานเข้าหากันจนเกือบสนิท แต่ใช่ว่าคนอย่างเขาจะไม่โหยหามัน